"การเมือง"
.มันคือการประมูลอำนาจ
"นักการเมือง".
ก็คือกลุ่มผู้รับเหมาที่เข้ามาร่วมกันประมูลอำนาจ
ประมูลเอาอะไร ?....เบื้องต้นก็คงจะเปรียบได้กับคทาแห่งอำนาจ คทาดังกล่าวฤทธิ์เดชของมันเป็นที่เลื่องลือว่า ชี้ไปตรงไหนความอุดมสมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น
ปัญหาทั้งหมดจึงอยู่ที่ผู้ได้มันไปจะนำคทาแห่งอำนาจชี้ไปในทิศทางใด ?
ผู้ขันอาสาหากเป็นรัฐบุรุษก็คงจะนำคทาไปใช้เพื่อแก้ปัญหาสร้างประโยชน์สุขให้แก่คนส่วนใหญ่
แต่ในทางกลับกันหากเขาเหล่านั้นเป็นคนคิดคด:-) ก็คงจะมัวแต่สาระวนนำคทาวิเศษไปชี้ที่กระเป๋าของตัวเองและหมู่คณะ จนลืมทุกข์-สุขของพี่น้องชาวประชาเจ้าของคทาที่แท้จริงไป
การประมูลอำนาจรัฐ ตามตำหรับของผู้รับเหมาก็คือ การใช้อำนาจและอิทธิพลนอกระบบในทุกวิถีทางที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ คนที่มีความชำนาญในศาสตร์ทำการฮั้วพวกเขาจะมีลูกน้องเป็นนักเลงหัวไม้ ลูกน้องเขาจะเก่งในเรื่องการใช้เล่ห์กลเอาชนะคู่แข่งขัน เขาจะใช้เคล็ดวิชาเอี้ยศาสตร์ทุกรูปแบบเพื่อให้ได้งานประมูลมา เช่น ใส่ร้ายคู่แข่ง ใช้เงินยัดปากซอง ดึงผู้กว้างขวางในพื้นที่มาเป็นหมู่พวก คบหาแต่พวกเจ้าพ่อ เจ้าแม่ นักเลงหัวไม้ และขาดไม่ได้คือนักเดินโพยซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการลงมือทำงาน
เมื่อรวมกันเป็นกลุ่มก๊วนได้แล้ว พลังมารก็จะยิ่งใหญ่ ชัยชนะจะรออยู่แค่เพียงเอื้อม....จบจากงานประมูลอำนาจแล้ว การต่อรองผลประโยชน์และฤดูการเก็บเกี่ยวก็จะติดตามมา
นี่หรือคือคะแนนเสียงที่เรียกกันสวยหรูว่า มาจาก สัญญาประชาคม ตามคำกล่าวอ้างกัน
น้ำไหนยัง ตะพังไหนเย็น ยังคงเป็นคำเปรียบเปรยที่เหมาะในทุกสถานการณ์สำหรับเมืองไทย บรรดาสัมภเวสีทางการเมืองก็ชอบที่จะเป็นเช่นนี้ คือนิยมที่จะสิงสถิต ณ ที่ใดก็ได้ที่ให้ผลประโยชน์ก้อนโตกว่า
กระหรี่เหล่านี้มีค่าตัวเดือนละสองแสนทั้งจากน้ำเลี้ยงของอาซ้ออาโกนายทุนตัวจริงของพรรค หรือเจ้าของมุ้งที่ตัวเองสังกัด
.มีพี่น้องผมในชนบทกี่คนกันที่รู้เท่าทันคนพวกนี้ ?
ซื้อ ส.ส ไปคนก็เท่ากับได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนไปนับแสน ร้อยคนก็เป็นสิบแสนแล้วอย่างนี้จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าพี่น้องประชาชนเขาเทความไว้วางใจให้พรรคของตัวเองคุยนักคุยหนาว่าประชาชนสนับสนุนมา
ระบบอุปถัมภ์ที่พี่น้องที่อยู่ในชนบทเคยชิน มันมีหลายสิ่งทีอยู่นอกหลักเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกใครสักคนมาเป็นผู้แทน เช่น เคยใช้บริการรถขนศพ เคยช่วยประกันตัวลูกชายออกจากคุก เคยฝากลูกเข้าโรงเรียนในจังหวัด ฯลฯ
คะแนนเสียงที่เราเห็นจึงยังคงไม่สามารถสะท้อนความนิยมที่แท้จริงเชิงคุณภาพออกมาได้
ตราบใดที่พวกเขายังรอคอยเศรษฐีผู้ใจบุญมาแจกทาน และยังคงยึดมั่นในค่านิยมบุญคุณต้องทดแทน ตราบนั้นเมืองไทยก็ยังคงต้องรอคอย
วัฒนธรรมการเป็นผู้รอรับมีมานานแล้วในเมืองไทย ส่วนหนึ่งเกิดมาจากระบบอุปถัมภ์ ส่วนหนึ่งเกิดมาจากค่านิยมของคนไทยที่เชื่อในเรื่องโชคชะตา
..หวยคือภาพสะท้อนตัวหนึ่งของวัฒนธรรมการรอโชคชะตาและวัฒนธรรมการเป็นผู้รอรับ
นักการเมืองที่เราเคยเข้าใจกันว่าอยู่ในยุคประชาธิปไตยเพราะมันมีการเลือกตั้ง ก็คือเหล่าคนหิว ที่ปากก็พร่ำพรรณนาว่ารักประชาชน อยากจะเข้ามาช่วยเหลือประชาชน พ่นผ่านสื่อออกมาอย่างโน้นอย่างนี้ทุกวี่วัน เสร็จแล้วก็รวยเอารวยเอาจนต้องซุกตรงนู้นซุกตรงนี้
นักการเมืองไทยจะคุ้นกับคำว่าปั้นน้ำเป็นตัว คนที่อยู่ในวงการนี้จะมีกิเลสเหนือกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ทุกยุคทุกสมัยจะได้ยินเรื่องการทาสี พ่นสี ระบายสี จนหาความจริงอะไรไม่ได้จากคนกลุ่มนี้ นักการเมืองที่จะเก่งได้ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดเยอะๆ
การตลาดคือยุทธวิธีการเข้าถึงกิเลสคน ใครหลอกให้คนเชื่อได้มากฝ่ายของตนก็จะเป็นผู้กุมชัยชนะ
การปรุงแต่งเพื่อการสร้างภาพต้องใช้วิชาการตลาด การตลาดจึงกลายเป็นยุทธศาสตร์ก่อนและหลังของงานประมูลอำนาจรัฐสำเร็จลง
อเนจอนาถใจกับภาพที่เห็นภายหลังการเลือกตั้งเกือบทุกครั้ง ที่คทาแห่งอำนาจถูกกลุ่มก๊วนในทางการเมือง นำไปใช้เป็นการต่างตอบแทนให้กันและกัน เพื่อฤดูการแห่งการเก็บเกี่ยวอันเป็น...ผลประโยชน์ของชาติ ?/ผลประโยชน์ของพรรค ?/หรือผลประโยชน์ของหมู่พวก ??....ติดตามดูกันให้ดีครับว่าคทาถูกชี้ไปทางใดมากกว่ากัน ???
.
จากคุณ :
ไทยพันธุ์แท้
- [
23 ก.พ. 51 20:22:39
A:118.172.217.68 X:
]