มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการก่อตั้งาหลังจากการเปลี่นแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 โดยมีเหตุหนึ่งดังนี้
"โดยในคำประกาศของคณะราษฎรในวันยึดอำนาจกล่าวว่า การที่ราษฎรยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตยนั้น 'เป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่'* นโยบายหรือหลักประการที่ 6 ใน หลัก 6 ประการของคณะราษฎร จึงระบุไว้ว่า 'จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร'* สถาบันศึกษาแบบใหม่ที่เปิดกว้างให้ประชาชนชาวสยามได้รับการศึกษาชั้นสูง โดยเฉพาะที่จะรองรับการปกครองบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมาคู่กันกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง"
(จาก wikipedia มธ)
*(จาก wikipedia ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑)
ซึ่งมหาลัยก็ได้เป็นที่เผยแพร่ความรู้ทางการเมือง กฏหมาย และสังคมมาตลอด ในอดีตที่ผ่านมามหาวิทยาลัยได้มีส่วนร่วมใการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ มาอย่างต่อเนื่อง นศ ในมหาวิทยาลัยได้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านเผด็จการมาตลอดเช่นกัน
แต่บทบาทของ มธ ในฐานะของผู้ต่อต้านเผด็จการก็ลดลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นศ ไม่ใช่ผู้นำการต่อต้านเผด็จการ แต่เป็นเพียงแค่ผู้สนับสนุน คนที่ไปต่อสู้ส่วนใหญ่คือประชาชน
หลังจากนั้นบ้านเมืองสงบสุข ประชาชนได้รับโอกาสและข่าวสารมากขึ้น มีบทบาทและส่วนร่วม ทางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนรากหญ้า ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้มีโอกาสทางการศึกษา และการรับรู้ข่าวสารเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูญจากการใช้งานโทรศัพท์มือถืออย่างแพร่หลายและจากการใช้งานระบบ Internet
ในปัจจุบัน ทุกสิ่งเปลี่ยนไป:
1. ในปัจจุบันนั้นประชาชนไม่ได้ "โง่" ในทางการเมืองเหมือนในปี 2475 ในทางตรงกันข้ามประชาชนทกคนไม่ว่าระดับของการศึกษาใด รู้ว่าอะไรดีสำหรับตน เลือกเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีนักวิชาการหรือ นศ หรือใครที่ใหนมาชี้นำ
2. ประชาชนไม่ได้ต้องการให้ใครมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแทนตนเหมือนในอดีต ทำเองได้ ดูอย่างคุณลุงนวมทอง หรือกลุ่มต่างๆที่เกิดขึ้นหลัง 19 กย
3. ประชาชนไม่ได้เชื่อใครง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ทีวี นสพ หรือ นักวิชาการอาจารย์ จะพูดเขียนอย่างไร ประชาชนเชื่อวิจารณญารของตนเอง
นับได้ว่าจุดประสงค์ของคณะราษฎร ในปัจจุบันนั้น ได้รับความสำเร็จมาในระดับหนึ่งทีเดียว สิ่งที่มหาวิทยาลัยได้สร้างสู่สังคม เป็นสิ่งหนึ่งทำให้ประชาชนเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยมากขึ้น มากจนกระทั่งประชาชนไม่จำเป็นต้องมีธรรมศาสตร์ เป็นผู้นำทางความคิดอีกต่อไป (ซึ่งชาวธรรมศาสตร์ทุกท่านควรจะภูมิใจที่สื่งนี้เกิดขึ้น)
ข้อสรุปนี้มีสิ่งบ่งชี้ชัดเจน
ความนิยมหรือความเชื่อถือของประชาชนกลุ่มใหญ่(หรือส่วนใหญ่)ในประเทศ ไม่ได้เชื่อถือ นักวิชาการ อาจารย์หรือ นศ ธรรมศาสตร์ เมื่อนักวิชาการนำเสนอหรือกระทำการที่ขัดกับความคิดเห็น ความรู้สึกของตน จะเห็นได้ว่าตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ไม่ว่า อาจารย์ หรือ นศ ธรรมศาสตร์จะออกมาเชียร์พันธมิตร เสนอ มาตราเจ็ด หรือพยายามลงชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ กับรัฐบาลทักษิณ อย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความนิยมต่อนโยบายคุณทักษิณได้ กระทั่งเมื่อไม่มี ทรท แล้ว พปช ยังได้รับเสียงข้างมากอยู่ดี ยิ่งนักวิชาการจาก มธ หรือสื่อต่างๆ ด่ารัฐบาลมากเท่าไร ประชาชนก็ยิ่งด่ากลับมากเท่านั้น
ต่อให้ ธรรมศาสตร์ เข้าร่วมกับพันธมิตรอย่างเป็นทางการ เอา ทั้งอาจารย์ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยและ อมธ ทั้งหลายมาร่วมเดินขบวน ป่วนเมือง หรือจัดกิจกรรมด่าทอรัฐบาลใดๆ ในว้นที่ 28 นี้ ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจประชาชนได้ ต่อให้รัฐบาลใช้วิธีปราบจลาจลจับประชาชนที่เป็นพันธมิตร และคนจากมหาวิทยาลัยเข้าคุก ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจประชาชนได
ทำไมหรือ... ประชาชนไม่ได้เกลียดธรรมศาสตร์... แต่ประชาชนไม่แคร์ เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของเขา (นักวิชาการหรือ นศ เองก็ไม่ได้ใส่ใจกับการต่อสู้กับเผด็จการ คมช ด้วย ในทางตรงกันข้ามทำอยู่อย่างเดียวคือ ด่าทักษิณ) คนในมหางิทยาลัยจะเชียร์รัฐบาลหรือด่ารัฐบาล นศ จะคุ้มดีคุ้มร้ายเดี๋ยวต่อต้านรัฐบาล เดี๋ยวเงียบหายไปเฉยๆ ประชาชนเขาไม่แคร์ เขาจะมองและวิจารณ์อาจารย์แต่ละคนตามที่คนๆนั้นเป็น
ยิ่งธรรมศาสตร์ แสดงตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่าเป็นพวกพันธมิตร ประชาชนก็จะวิจารณ์มากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และกล้าที่จะท้าทายนักวิชาการ สงสัยตำรา เชื่อวิจารณญานของตนเป้นหลัก ยิ่งนักวิชาการด่าว่าประชาชนโง่ ประชาชนก็จะแข็งแรงขึ้น กล้าที่จะหาความจริงด้วยตัวเองมกขึ้น
เราไม่ต้องการผู้ชี้นำ เราไม่ต้องการใครมาพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า "รักประชาชน"...
นี่คือก้าวใหม่แห่งการพัฒนาของการเมืองและสังคมของเรา... คิดและทำ โดยประชาชน อย่างแท้จริง
แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 51 21:24:57
จากคุณ :
ปูบ้าน
- [
12 มี.ค. 51 21:15:23
A:124.121.0.8 X:
]