ความคิดเห็นที่ 1
ถอดเทป
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
------------------------------------------
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ รายการ สนทนาประสาสมัคร มาพบเหมือนเคยนะครับ เวลาจะมาพูดโทรทัศน์ พูดไป ๆ พูดมา 6 หนแล้ว พูดหนที่ 6 ปรากฏว่าใครต่อใครสั่งเสียกันใหญ่ ไปที่โน่นที่นี่ มีแต่คนสั่งเสียบอกว่าขอไม่ให้พูดเรื่องหนังสือพิมพ์ ไม่ให้ตำหนิหนังสือพิมพ์ ไม่ให้ว่าหนังสือพิมพ์ ไม่ให้ออกความเห็นตอบโต้หนังสือพิมพ์ แล้วผมจะจัดรายการนี้ทำไมละครับ เขาว่ากันโครม ๆ เขาบอกเขาเป็นกระจกส่อง แล้วผมก็บอกอะไรเป็นอย่างไร รายการนี้คือรายการที่ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเสพข่าวเสพหนังสือพิมพ์ เสพอะไรต่าง ๆ แล้วบ้านเมืองนี้ก็มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะตำหนิติเตียนอย่างไรก็ทำได้ สถานีราชการตำหนินายกรัฐมนตรียังว่าได้เลยครับ ไม่เป็นปัญหา สถานีโทรทัศน์บางช่องเขาก็มีคนจัดรายการ มาจากไหน ๆ ไม่รู้ ก็จัดรายการ พูดจาว่ากล่าวกระแทกแดกดัน เรายังไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรเลยครับ ทีนี้ปัญหาว่าจะให้เขานั่งถลุงเล่ากันข้างเดียว แล้วไม่ตอบไม่พูดเลย ไม่ช้าไม่นานก็มีปฏิวัติยึดอำนาจอีก ถ้าแบบนั้นละก้อ ก็เลวตามที่เขาด่าว่ากล่าว แต่ถ้าเรามีช่องทางตรงนี้จะอธิบายความ ผมก็ขอบพระคุณที่แนะนำที่ตักเตือนว่าไม่ให้พูดอะไรต่าง ๆ แต่ว่าเมื่อผมพูดแล้ว เขาก็มีวิพากษ์วิจารณ์กลับมา เราตำหนิติเตียนบ่นเขาไป เขาก็พูดจา ผมก็ต้องทำความเข้าใจ ท่านผู้ชมเป็นผู้ชม คนหนังสือพิมพ์เขาเป็นคนเขียนวิพากษ์วิจารณ์ผม วิทยุก็วิพากษ์วิจารณ์ โทรทัศน์ก็วิพากษ์วิจารณ์ แต่ปัญหาว่ามันต้องร่วมผสมผสานกัน ปล่อยให้เขาถลุงอยู่ข้างเดียว แล้วอย่างไรครับ เขาบอกว่าจะเอางานพวกเราส่งงานต้องแสดงเรื่องงาน ๆ ผมก็ทำเรื่องงาน ๆ
เอาละครับคราวที่แล้วเขาตำหนิว่า นั่งแต่พูด ๆ ไม่ทำอะไร แปลว่าที่ทำที่นั่งมานี่ ไม่ได้ประโยชน์ ผมต้องทำความเข้าใจเสียก่อนครับ มันต้องมีประโยชน์บ้าง แล้วจริง ๆ การจะทำงานอะไร งานที่ผมไปทำก็พอมี แต่ว่าผมมีคนอีก 35 คนทำงานอยู่กับผมนะครับ มี 35 คนนั่งทำงานอยู่กับผม ผมมาพูดจาอะไรต่าง ๆ คนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องแสดงให้คนที่เขาเป็นประชาชนที่เขาดูเราอยู่ได้รู้ว่าเป็นคนที่มีความคิดบ้าง เพราะฉะนั้น มาก็จะมีพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ จัดการผมเสร็จเรียบร้อย ผมก็จะต่อท้ายเรียกว่าสารคดีของผม พูดเพื่ออะไร พูดเพื่อจะให้ได้รู้ว่า หนทางที่มีปัญหาก็หาหนทางแก้ บางครั้งดูเหมือนไกลเกินไป แต่ผมคิดว่า ถ้านักวิชาการเขียนหนังสือ ทำโน่นทำนี่ ยกย่องสรรเสริญกันได้ ทำไมคนเป็นนายกรัฐมนตรีจะแสดงความเห็น ผมไม่เขียนเป็นหนังสือ ครับ ผมพูดอะไรต่าง ๆ ผมจะขออนุญาตตรงนี้ใช้เวลาตอนต้นทบทวนให้ดูหน่อย
อธิบายวิธีแก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์
ผมพูดเรื่องแก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ เจตนาของผมคือว่าให้เก็บเหรียญเอาไว้ พูดถึงบ้านอื่นเมืองอื่น ก็เอาสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่าง เขาเก็บเหรียญ 4 เหรียญไว้ ร้อยปีเขายังอยู่ เขายังซื้อ 98 ทอน 2 97 ทอน 3 เราก็บอกว่าเหรียญของเราก็บอกให้เก็บ เหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ เจตนาคือว่าต้องการจะให้ว่าขึ้นราคา ราคา 20 บาท ขึ้น 1 บาท ก็อยู่ได้แน่นอน ขึ้น 1 บาทก็ขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ก็เทียบให้ดูอาหาร 5 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้นะครับ พูดอย่างนี้ ถ้า 25 บาทก็อยากให้ 26 บาท แต่ว่าที่พูดแล้วผลคืออย่างไร ผลคือว่าทางฝ่ายราชการ คิดว่าจะให้เศษสตางค์คือเหรียญสลึง เหรียญห้าสิบ เข้าใจผิดไปเลย เขาคิดว่านั่นคือเศษสตางค์ บาทไม่ใช่เศษสตางค์ นั่นเป็นความเข้าใจผิด อาจเป็นความบกพร่องของผมเอง เรียกเหรียญบาทว่าเศษสตางค์ เจตนาคือให้เก็บเหรียญบาทไว้ และก็นินทาไว้ว่าตัวเหรียญแพงหน่อย จะปรับปรุงอย่างไรก็สุดแท้แต่ แต่ไปปรับปรุงเป็นเหรียญ 2 บาท ผมไม่เห็นด้วย นี่ก็คือว่าเราก็แสดงความคิดเห็น เขาจะผลิตใหม่ เขาจะได้ไม่ผลิต ให้เก็บเหรียญไว้เพื่อว่า 20 บาทจะเป็น 21 บาท 26 บาทเป็น 25 บาท ผลที่ออกมาเป็นอย่างไรรู้ไหมครับ 30 บาทลด 1 บาท คนที่ร่วมมือลด 1 บาท ขายข้าวแกง 29 บาท ก็คุยบอกว่าลด อย่างนั้นก็เข้าใจ ลด 1 บาท ก็ยังดีกว่าไม่ลด แต่สำคัญผมจะบอกว่า 25 บาทเป็น 26 บาท ไม่ใช่ 25 บาทเป็น 30 บาท หรือไม่ใช่ 30 ถ้า 30 บาทเป็น 31 บาท แต่เหลือ 29 เราต้องการว่าให้ขึ้นทีละขั้น ให้ขึ้นบันได 5 หน อย่างนี้ครับ ก็พูดเรื่องแก้เศรษฐกิจด้วยเศษสตางค์ก็เจตนาอย่างนี้ ก็คุยแล้วจะต้องมีความหมายว่า เราต้องพยายาม ถ้าเก็บเศษสตางค์ได้ ต้องมีคนร่วมมือด้วย อธิบายให้เห็นเลยว่าพ่อค้าแม่ค้ากำไรเท่านั้นอย่างไร นั่นแหละครับได้แต่พูด ๆ แต่ผลที่ได้นั้น ถ้าร่วมมือกันจริง ๆ ถ้าเหรียญบาทใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เก็บไว้เหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ มันก็จะขยับขึ้นได้จริง ๆ เพราะเราพิสูจน์ได้ว่า 20 บาทขึ้น 1 บาท คือขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ ใช่ไหมครับ แต่ว่า 20 บาท ขึ้น 25 บาท ขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ครับ อย่างนี้ไม่ไหว ต้องให้เห็นว่าอาหารขึ้นที 25 เปอร์เซ็นต์ ขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ นี่คือคนเป็นนายกรัฐมนตรีมาพูดแสดงความเห็น อย่างน้อยต้องได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภค ทั้งคนผลิตเหรียญ ทั้งพ่อค้าแม่ค้าต้องได้คิด พูดเพื่ออย่างนี้นะครับ
อธิบายเรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
ถัดไปยกตัวอย่างมีเรื่องหนึ่ง เรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค ผมต้องการให้รู้ว่าผมไปถึงผู้ผลิตขายส่งเป็นอย่างไร แล้วมาขายพอไปจ่ายตลาดเป็นอย่างไร จังหวะตรงนี้ละครับ จากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค มันห่างกันมาก ถ้าสัก 2 ช่วง ถึงจะนั่น คือดูแล้วคนขายกำไรมาก คนขายนั่งขายต้องกำไร คนขนก็กำไร 2 คนเท่านั้น แต่ลองสิครับถ้า 5 บาท 25 บาท คนปลูกได้ 5 บาท คนกินจ่าย 25 บาท คนขนและคนขายเอาไป 20 บาท อย่างนี้เกินเหตุไหม หมายความว่าคนซื้อ ๆ 20 บาท คนขาย ๆ 8 บาท และคนที่นั่นเอาไป 12 บาท ผมคิดอย่างนี้นะครับว่า คนบริโภคจะได้จ่ายน้อยลงหน่อย คนผลิตจะได้มากขึ้นหน่อย และคนกลาง คือทั้ง 3 คนต้องอยู่ได้ ที่พูดเรื่องนี้เรื่องน่าคิดจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค มาแจกแจงราคาผักต่าง ๆ ต้องการให้เห็นอย่างนี้ หน่วยราชการใครที่ไหนเขาเห็น ถ้าเขาเห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรี เขาจะไปจัดการดำเนินการที่ไหนต่อไหน คนบริโภคก็ต้องนึกว่าต้องไปตามดู จะซื้อให้ถี่ถ้วนหน่อย คนจะปลูกจะขาย ไปซื้อเขามาจากไร่ จะได้ไม่กดกันเกินไป พูดก็เพื่อเจตนาต้องการอย่างนี้ครับ
แนะเอาหนี้เข้าระบบเพื่อลดหนี้
ผมบอกว่าทุกข์เพราะเป็นหนี้และวิธีแก้ทุกข์ ก็ต้องการให้เห็นมีหนี้ ครูตัวสำคัญต่างๆ ผมก็ไม่ได้ประกาศนโยบายจะปรับหนี้ แต่ว่าให้เป็นแนวทางว่าหนทางมี คนเป็นหนี้ร้อนฉ่ามา ก็อุตส่าห์ไม่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหนี้อย่างไร คือว่าเอาละเป็นหนี้ เป็นหนี้น้อย 80,000 บาท เป็นหนี้มาก 800,000 บาท ให้เห็นตัวเลขอย่างนั้น และอธิบายให้ฟังว่า เราถ้าเผื่อไปซื้อบ้านก็เอาบ้านค้ำประกัน เหมือนเอาเงินเดือนค้ำ ถ้าเงินเดือนค้ำแล้วก็ผ่อนชำระ แนวทางของผมก็คือว่า หนี้ไปจ่ายหนี้นอกระบบ 80,000 บาทก็จ่ายเดือนละ 8,000 บาท เขียนเช็คไว้ล่วงหน้าเลย เผลอประเดี๋ยวเดียว 10 เดือน 80,000 บาทแล้ว ดอกเบี้ยทั้งนั้นไม่ได้จ่ายต้น แนวความคิดให้ฟังว่า สมัยที่ดอกเบี้ยแพงร้อยละ 15-16 15 เปอร์เซ็นต์ 15 ปี 80,000 บาทจ่ายคืน 1,065 บาท เพราะฉะนั้น ใครเป็นหนี้ 80,000 บาท เคยจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 8,000 บาท ก็สามารถที่จะเอามาเข้าระบบได้ เอาเงินเดือนไปค้ำประกัน ก็จ่ายเพียง 1,065 บาท นั่นดอกเบี้ยร้อยละ 15-16 บัดนี้ดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 8 เคยจ่าย 1,065 บาท เหลือ 750 บาท ก็บอกว่าคนเป็นหนี้ 80,000 บาท เคยจ่ายแต่ดอกเบี้ยเดือนละ 8,000 บาท ก็จ่ายทั้งต้นทั้งดอกเดือนละ 750 บาท ก็เอามาเข้าระบบ ใครมีอะไรต่าง ๆก็ช่วยจัดการ ถ้าสงเคราะห์ก็เอามาเข้าระบบ อธิบายแนวทางไว้ เป็นหนี้ 800,000 บาทเคยจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 80,000 บาท มีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี ก็สามารถที่จะเอามาเข้าระบบ และจ่ายเดือนละ 7,500 บาท 180 เดือนหมดทั้งต้นทั้งดอก เป็นหนี้ 800,000 บาท จ่ายเดือนละ 7,500 บาท อย่างนี้ครับเอาเงินเดือนค้ำประกัน นายกรัฐมนตรีพูดเป็นแนวทาง ใครจะเอาไปช่วยไปทำอย่างไร ครูจะทำอย่างไร ผมจะตามไปดูของผม แต่การพูดนี่มันไร้ประโยชน์หรือครับ พูด ๆ อย่างนั้นหรือครับ คนฟังนะครับ ราชการเขาต้องฟังว่านายกรัฐมนตรีคิดอย่างไร ไม่เป็นคำสั่งไป แต่ผมต้องตามไปดูของผมแน่ โครงการจะช่วยครูเป็นอย่างไร คนโน้นเป็นอย่างไร คนนี้เป็นอย่างไร ก็ต้องตามไปทำ แต่พูดให้ฟังเสียก่อนว่าคนบริหารบ้านเมืองมีความคิด ไม่ใช่มานั่งทื่อ ๆ ไปเปิดงานตัดริบบิ้น ไม่ใช่ คิดให้ฟังว่าคิดอะไรอย่างไร ....
(มีต่อ)
--- ^ ^ ^ เอาหนี้เข้าระบบ คล้าย อิม ซังอ๊ก เมื่อวาน ไม่มีผิด เอิ้กๆ จิซู ดูๆ ไปเหมือน มาร์ค ไม่มีผิด เอาแต่กำไร ไม่คำนึงถึงวิธีการ
จากคุณ :
โมบายยิ้ม
- [
23 มี.ค. 51 10:49:58
A:58.8.187.221 X:
]
|
|
|