ความคิดเห็นที่ 1 คือพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นตอบนายสุเทพซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับ ว่ารู้เรื่องการประชุมเรื่องการลดค่าเงินบาทที่ทำเนียบรัฐบาลเพราะมีคนแจ้งไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้ "เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม ( 2540 ) กลางคืนวันนั้น บังเอิญผมทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่ผมนับถือร่วมกับนักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่ง ประมาณ 4 ทุ่ม มีคนโทรมาบอกผมว่า ได้มีการพบปะกันอย่างซีเรียสมากที่ทำเนียบ มีคน 4 คน คือ นายกฯ ( พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ นายเริงชัย มะระกานนท์ ( ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยขณะนั้น นายทนง พิทยะ และ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ( รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ) เพราะผมรู้ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นผู้จัดการกองทุนรักษาระดับ ผมเลยเดาแล้วยังบอกกับผู้ใหญ่คนนั้นกับนัก นสพ. อาวุโส ว่า สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาทแน่ เพราะถ้ามีผู้จัดการทุนรักษาระดับเข้าไปร่วมด้วยในการพิจารณาซีเรียสอย่างนั้น ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือคือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ครับ ผมอยู่กับท่านวันที่ 1 กรกฏาคม ตอน 4 ทุ่ม" http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=26144&catid=25 จากคุณ : เปิ้ล นะคอน - [ 4 เม.ย. 51 17:40:24 A:118.173.2.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ข่าวนี้น่าอ่านกว่า............โคตรขี้โกงเลยผู้ว่าคนนี้ ยิ่งสาวยิ่งลึก “ดีเอสไอ” ได้กลิ่น.. พบเอกสารนำเข้ารถโดยสารยาว 12 เมตร ของเบสท์ริน ราคาเพียง 6 แสน รวมภาษีทั้งหมดแค่ 1 ล้านต้น ๆ แต่เอามาขาย 4.4 ล้าน ขนาดใกล้เคียงกับที่ กทม.ซื้อ 7.5 ล้าน ขณะที่ “บช.น.” ปฏิเสธไม่เคยรู้เรื่องกทม.เปลี่ยนสเปกความยาวรถ “พนิช” ยืนยันรถกทม.ซื้อไม่แพงสเปกต่างจากรถที่ลงโฆษณาในนิตยสาร Bus&Truck ชี้ทีโออาร์กำหนดเบื้องต้นเท่านั้นไม่ได้ระบุยี่ห้อเครื่องยนต์หรือซัสซีขึ้นอยู่กับบริษัทเสนอ   วันที่ 3 เม.ย. 2551 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการจัดซื้อรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (บีอาร์ที) ของ กทม.ที่มีความน่าเคลือบแคลงจากการแก้ไขสเปกความยาว 18 เมตรให้เหลือ 12 เมตร คล้ายกับต้องการเปิดทางให้รถโดยสารจากประเทศจีน และนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าฯกทม.ได้ชี้แจงว่า จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน เนื่องจากเส้นทางต้องข้ามสะพานหลายจุด ไม่เหมาะกับรถที่มีขนาดยาว อีกทั้งได้ปรึกษากับกองบังคับการตำรวจจราจรก็มีความเห็นตรงกัน             เรื่องนี้จากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่า นายพนิช เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 20 เม.ย.2550 และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 26 เม.ย.2550 โดยระบุเหตุผลการเปลี่ยนสเปกความยาวของรถบีอาร์ที จาก 18 เมตรหดเหลือ 12 เมตร เพราะมีผู้ผลิตน้อยราย หากลดความยาวลงมา ก็จะมีบริษัทเข้าร่วมประมูลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงวันประมูลจริง ๆ คือวันที่ 21 พ.ย.2550 พบว่า มีเพียง 2 บริษัทเข้าประมูลเท่านั้นคือ บริษัทเบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด และบริษัทปรินทร์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด จราจรของบช.น.ปฏิเสธไม่เคยรู้เรื่องกทม.เปลี่ยนสเปก แหล่งข่าวระดับสูงจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เปิดเผยว่า การกำหนดขนาดความยาวของรถโดยสารไม่น่าจะมีปัญหากับสภาพการจราจรภายนอก เนื่องจากรถบีอาร์ทีมีช่องเดินรถเฉพาะอยู่แล้ว หากจะเป็นปัญหาก็คงเพราะการกั้นเลนพิเศษให้รถบีอาร์ทีวิ่ง ทำให้ผิวการจราจรบนถนนเดิมหายไปซึ่งก็จะทำให้เลนที่เหลือมีปริมาณรถหนาแน่นมากขึ้น ส่วนการกำหนดขนาดความยาวรถ ผู้ที่จะให้รายละเอียดได้ต้องเป็นกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะดูแลการจดทะเบียน การตรวจสภาพรถ อุปกรณ์ส่วนควบ ขนาด ลักษณะของรถที่นำมาวิ่งบนถนนให้เกิดความปลอดภัย ส่วนการขับรถขึ้นสะพานจะเป็นปัญหาด้วยหรือเปล่านั้น การสร้างทางในเส้นทางที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของสะพานข้ามแยกของกทม.และ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาของกรมทางหลวงชนบท ก็มีมาตรฐานในการสร้างที่รถชนิดใดจะขึ้นไปใช้ได้อย่างปลอดภัย ขส.มก.เผยใช้รถเมล์ปอ.ยาว 18 เมตรกึ่งพ่วง ยันยันปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ด้านแหล่งข่าวจาก ขส.มก. ระบุว่า ปัจจุบัน ขส.มก.ใช้รถโดยสารปรับอากาศกึ่งพ่วง ขนาด 18 เมตร ในเส้นทางสาย 145 ปากน้ำ-หมอชิตใหม่ และสาย 511 ปากน้ำ-สายใต้ใหม่ รถทั้งสองสายแม้จะมีความยาวมาก แต่เป็นรถแบบพ่วงที่มีข้อต่อตรงกลางด้วยระบบไฮดรอลิคส์ จึงไม่เป็นปัญหาในการเลี้ยว ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นรถตอนเดียวหรือขนาด 12 เมตร จะใช้พื้นที่ตีโค้งกว้างกว่าซึ่งจะทำให้กีดขวางการจราจรได้ โดยในเส้นทางของรถเมล์ทั้ง 2 สายก็มีช่วงที่ต้องผ่านบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น เช่น ย่านประตูน้ำ ถนนเพชรบุรี ก็สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย แหล่งข่าวจาก ขส.มก.ยืนยันด้วยว่า รถโดยสารกึ่งพ่วงยาว 18 เมตรที่ใช้อยู่ ไม่มีปัญหาในการขึ้นสะพาน เช่น ให้รถสาย 511 ขึ้นสะพานศรีเอี่ยมได้ แต่จุดอื่น ๆ ห้ามเนื่องจากการบังคับรถเข้าจอดและออกจากป้ายเพื่อขึ้นสะพานข้ามแยก จะไปกีดขวางเส้นทางจราจรหรืออาจเกิดอันตรายกับผู้โดยสารขณะขึ้นลงจากรถ ไม่ได้เกี่ยวกับข้อจำกัดรถ DSIได้กลิ่น... นำเข้ารถราคาเพียง 6 แสน รวมภาษีแค่ 1 ล้านต้น ๆ แต่เอามาขาย 4.4 ล้าน อีกด้านหนึ่ง จากการตรวจสอบข้อมูลการนำเข้ารถโดยสารยี่ห้อโกล์ดเดนดรากอนความยาว 12 เมตร รุ่น XML6129 ที่บริษัท เซียะเหมินโกล์ดเดนดรากอน อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต ส่งมาให้บริษัทเบสท์ลิน จากเมืองเซียะเหมินมาถึงแหลมฉบัง เมื่อปี 2549 ราคาตามเงื่อนไขการจัดส่งแบบ CIF อยู่ที่คันละ 1.8 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาทในช่วงนั้น ก็จะเป็นเงินไทย 5.94 แสนบาทเท่านั้น เมื่อนำไปคำนวณภาษีศุลกากร 80 เปอร์เซ็นต์ และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ รวมต้นทุนทั้งสิ้นอยู่ที่ 1.14 ล้านบาท แต่ราคาขายที่บริษัท เบสท์ริน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่ที่ 4.4 ล้านบาท ขณะที่รถบีอาร์ที ที่กทม.ซื้ออยู่ในราคา 7.5 ล้านบาท จากคุณ : พญากระรอกดำ - [ 4 เม.ย. 51 17:44:50 A:125.25.142.48 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 รวยเละ แค่ข้ามคืน ประเทศชาติเป็นไง ไม่ต้องสนใจ จากคุณ : น้องฝน - [ 4 เม.ย. 51 17:46:37 A:203.144.130.176 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ฝน 2.4 จากคุณ : สระพังทอง - [ 4 เม.ย. 51 17:52:16 A:61.7.132.234 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมก็ "สงสัย" น่ะ ว่ามันต้องมีการใส่ร้าย ป้ายสีกันแน่นอน เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมามันฟ้อง จากคุณ : i am ang - [ 4 เม.ย. 51 17:53:49 A:124.121.45.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 รวยเละ แค่ข้ามคืน ประเทศชาติเป็นไง ไม่ต้องสนใจ จากคุณ : น้องฝน   - [ 4 เม.ย. 51 17:46:37 A:203.144.130.176 X: ] น้องฝนเอ๊ย น้องคงคิดว่า หลัง 4 ทุ่มคืนนั้น อดีตนายกทักษิณก็เลยให้บริษัท ฯ ไปกว้านซื้อดอลล่าร์ทั้งตลาดมาเก็บไว้สินะ ชั่วข้ามคืนเลยรวยไม่รู้เรื่อง อ่อนอีกแล้ว . จากคุณ : ปากตรงกับใจ - [ 4 เม.ย. 51 17:59:31 A:124.121.35.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=2379 ศึกษาไว้นะน้องฝน อันนี้ศาสดาน้องเขียนเองเลยว่าทำไมทักษิณถึงรอดเงินบาทมาได้ ถึงทีของชินวัตร ในขณะที่ทุนสื่อสารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเทเลคอมเอเซียคอร์ปอเรชั่น (ทีเอ) กลุ่มยูคอม บริษัทจัสมิน ต่างก็บาดเจ็บจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกันเป็นแถว เจ็บตัวมากน้อยต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครกู้เงินมาลงทุนมากกว่ากันเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะมีก็เพียงกลุ่มชินวัตรเป็นเพียงบริษัทเดียว ที่เจ็บตัวน้อยที่สุดจากภาวะในครั้งนี้ กระทั่งได้ชื่อว่าติดอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการบริหารงานมากที่สุด มีการวิเคราะห์กันง่ายๆ ว่า เป็นเพราะสไตล์การทำธุรกิจของกลุ่มชินวัตรที่ระมัดระวังการลงทุน ไม่เน้นการลงทุนแบบหวือหวา เมื่อเทียบกับทุนสื่อสารอื่นๆ ที่มีการลงทุนโครงการใหม่ๆ ไม่ขาดสาย ทั้งในธุรกิจสื่อสารเองและยังแตกแขนงไปยังธุรกิจอื่นๆ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มยูคอมที่ขยายการลงทุนทั้งในธุรกิจธนาคาร รถไฟฟ้า ร้านค้าปลีกเอเอ็ม/พีเอ็ม หรือแม้แต่การขยายการลงทุนของเทเลคอมเอเซีย แต่ชินวัตรยังคงมีแค่สัมปทานสื่อสารเดิมๆ ที่ได้มาเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว อาทิ โทรศัพท์มือถือ วิทยุติดตามตัว ดาต้าเน็ต ไม่ได้มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ อะไร จะมีก็แต่การลงทุนขยายเครือข่ายในธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่เป็นรายได้หลักเท่านั้น จนดูเหมือนกับว่า ชินวัตรกำลังเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพราะไม่ได้ขยับขยายธุรกิจเหมือนกลุ่มทุนสื่อสารอื่นๆ จะมีอยู่บ้างก็เป็นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำในนามของบริษัทชินวัตร แอดเซท นอกเหนือจากทำหน้าที่บริหารอาคาร หรือที่ดิน ที่ได้มาจากการซื้อต่อจากคนรู้จักในวงการธุรกิจ จะเป็นอาคารที่สร้างเสร็จแล้วและบอกขายให้ในราคาไม่แพง ไม่ว่าจะเป็นอาคารชินวัตร ริมถนนพหลโยธินของไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์แห่งกลุ่มบ้านฉาง หรืออาคารที่ทำการของเอไอเอส รวมทั้งศูนย์ประชุมสิริกิติ์ที่ซื้อมาจากกลุ่มบ้านฉางเช่นกัน ล่าสุดคือการซื้อที่ดินเกือบพันไร่ที่ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานีเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสถานีไทยคม 2 และใช้จัดตั้งมหาวิทยาลัยโทรคมนาคมทรัสท์ (Trans Discitlinary Research Unit of Science and Technology) เปิด สอน 3 วิชา คือ วิศวกรรมไฟฟ้าและสิ่งแวดล้อม สถาปัตยกรรม และบริหารการจัดการสมัยใหม่ สถานีไทยคม 2 แห่งนี้ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 560 ล้านบาท จะมีไว้สำหรับให้บริการเสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม บริการไดเรคทูโฮมทีวี เรียกว่าเป็นจุดศูนย์รวมของบริการเสริมต่างๆ ที่จะมีขึ้นมาในอนาคต ที่สำคัญสถานีไทยคมแห่งนี้ไม่ต้องส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินของรัฐ เพราะเป็นสถานีสำรอง จะเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์การลงทุนของกลุ่มชินวัตรจะมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์จากธุรกิจที่มีอยู่เดิม ไม่ได้ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นๆ อาการเจ็บตัวของชินวัตรจึงมีให้เห็นไม่มาก แถมในเวลานี้ชินวัตรยังกลายเป็นธุรกิจสื่อสารในสายตาของนักลงทุน เพราะมีการจัดการที่ดี ไม่มีหนี้มากเหมือนรายอื่นๆ จะว่าไปแล้ว ความสำเร็จที่ผ่านมาของกลุ่มชินวัตรเป็นความเก่งผสมกับความเฮงของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรก็คงไม่ผิดนัก เพราะอย่างที่รู้ว่าทุกวันนี้ ดร.ทักษิณไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจสื่อสาร ที่ประสบความสำเร็จจากการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจก่อนใครอื่นเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เขายังเป็นทั้งนักการเมืองที่ผ่านมาหลายสมัย ล่าสุดแม้ ดร.ทักษิณจะไม่ได้นั่งในทำเนียบรัฐบาล แต่ก็ยังโชว์ฝีมือกู้ชาตินอกทำเนียบ ด้วยการไปชักชวนโมฮัม เหม็ด อัลฟาแยต เศรษฐีเจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอด ประเทศอังกฤษ บิดาของโดดี อัลฟาแยต พระสหายสนิทของเจ้าหญิงไดอาน่าให้เข้ามาลงทุนในเมืองไทย หลังจากพาโมฮัมเหม็ด อัลฟาแยต เข้าพบนายกรัฐมนตรีแล้ว ดร.ทักษิณก็ไปชักชวนเอาบริษัทอเมริกันยูโรเปี้ยนแอสโซซิเอท ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการรวมตัวของผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทชั้นนำของโลก อาทิ บริษัทจีพีมอร์แกน อดีตประธานบริษัทไอบีเอ็ม บริษัทเอไอจี เข้าพบนายกรัฐมนตรีเป็นรายถัดไป ดร.ทักษิณ กล่าวว่า ขณะนี้โมฮัมเหม็ด อัลฟาแยตได้ตัดสินใจจะลงทุนในธุรกิจน้ำมันและแก๊สในเมืองไทย และพร้อมจะนำเงินมาลงทุนทันที ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลไทยจะอนุมัติให้เมื่อไหร่เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีกองทุนการเงินระหว่างประเทศจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในธนาคารของเมืองไทยทุกขนาด ไม่จำกัดว่าเป็นขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ที่เจ้าของเดิมเต็มใจให้เพิ่มทุน ดร.ทักษิณกล่าว สิ่งที่ทำไปทั้งหมดนี้เขาทำในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่อยากช่วยประเทศชาติให้ดีขึ้นจากภาวะวิกฤติที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในเวลานี้เท่านั้น ไม่ได้หวังผลทางธุรกิจแต่อย่างใด "ผมไม่ได้มองว่าใครจะได้หรือใครจะเสีย แต่อยากให้บ้านเมืองเรามีความสุขมากขึ้น อย่างโมฮัมเหม็ด อัลฟาแยตจะมาลงทุนในธุรกิจน้ำมัน หรือ แก๊ส ก็เป็นเรื่องของเขาชินวัตร หรือผมไม่ได้เข้าไปมีส่วนในโครงการเหล่านี้" ดร.ทักษิณกล่าว สำหรับธุรกิจโทรคมนาคมก็เช่นกัน ในทัศนะของ ดร.ทักษิณมองว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุนสื่อสารของไทยจะต้องร่วมมือกัน เช่น ในกรณีของการรวมตัวระหว่าง ไอบีซี และยูทีวี ก็เป็นการร่วมมือกันเพื่ออยู่รอดไม่ใช่การผูกขาด รวมทั้งการหาพันธมิตร ในเชิงกลยุทธ์จากต่างประเทศ อันถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในสายตาของ ดร.ทักษิณ ซึ่งชินวัตรเองก็มีนโยบายที่จะขายเงินลงทุนในต่างประเทศ "การทำธุรกิจสื่อสารทุกวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องมี 3 ข้อนี้ คือ ข้อแรกต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี สองมีสายสัมพันธ์ทางการเมือง และข้อสุดท้ายจะต้องมีเครือข่ายต่างประเทศ" งานนี้แม้จะได้แต่กล่อง แต่ก็เป็นกล่องใบใหญ่ เพราะหากทำสำเร็จจะทำให้เมืองไทยได้ดอลลาร์จากต่างประเทศเข้ามาเมืองไทยจำนวนมาก ซึ่งอยู่ในช่วงภาวะขาดแคลนเงินดอลลาร์ขนาดหนัก แน่นอนว่าย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์โดยตรงของ ดร.ทักษิณและกลุ่มชินวัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพพจน์ของกลุ่มชินวัตรในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะงานนี้ชินวัตรไม่เพียงไม่บาดเจ็บจากค่าเงินบาทเหมือนกับทุนสื่อสารอื่นๆ แถมเจ้าของบริษัทยังมีศักยภาพดึงนักธุรกิจติดอันดับของนิตยสารฟรอบมาลงทุนในไทยได้ อย่างนี้ต้องเรียกว่า เป็นทีของชินวัตร กันบ้าง จากคุณ : ณ.ปากช่อง (เหตุเกิดที่ปากช่อง) - [ 4 เม.ย. 51 18:08:17 A:117.47.175.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=4525 อันนี้เป็นวิธีการแก้เรื่องเงินบาทของทักษิณนะครับ ศาสดาขอน้องฝนก็เป็นคนเขียนเองอีก "เอไอเอสหันกู้บาท ไม่หวั่นดอกเบี้ย 13%" ช่วง 2-3 ปีก่อนครั้งที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในยุคเฟื่องฟู บริษัทเอกชนไทยทั้งหลายแห่กู้เงินนอกเข้ามาขยายการลงทุนกันอย่างเอิกเกริก ด้วยว่าหาแหล่งเงินกู้ได้ง่ายมากทั้งจากญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกสุด ๆ ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของบริษัทมหาชนขนาดใหญ่จะอยู่ประมาณ 8-9% เท่านั้น ทุกวันนี้ยุคสภาพคล่องล้นเหลือเป็นเพียงอดีตไปแล้ว เศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงปรับตัว สถาบันการเงินทุกแห่งหันมาระดมเงินฝากในประเทศเป็นหลัก ธนาคารขนาดเล็กบางแห่งเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากลูกค้าสถาบันรายใหญ่สูงถึง 12% ชนเพดานตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ภายหลังที่รัฐบาลตัดสินใจปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว บริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศเจ็บตัวกันทั่วหน้า เว้นแต่ใครไหวตัวทันป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ก่อนก็รอดตัวไป บุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการบริหารสายธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไร้สายกลุ่มชินวัตรเปิดเผยว่า บริษัทมีหนี้สินต่างประเทศประมาณ 70% ของหนี้สินรวม เป็นหนี้สินระยะ 3 ปีและ 5 ปี ดังนั้นการลอยตัวค่าเงินบาทย่อมทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น อย่างไรก็ดีเพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) จึงหันมาระดมทุนภายในประเทศด้วยการเสนอขายหุ้นกู้ระยะสั้นอายุ 3-9 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 13% บุญคลี กล่าวถึงเหตุผลในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ว่า "เพื่อใช้ในการขยายเครือข่ายทั้งในระบบอะนาล็อก และดิจิตอล เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้บริการมือถือที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งพัฒนาระบบดังกล่าวเพื่อเพิมประสิทธิภาพในการให้บริการให้ครอบคลุมพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้น" สาเหตุที่ออกเป็นหุ้นกู้ระยะสั้นเนื่องจากเป็นตราสารที่ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการบริหารเงินโดยสามารถเลือกเวลา วงเงิน และอายุของหุ้นกู้ในการจำหน่ายแต่ละครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและความต้องการของบริษัทได้ "ในภาวะที่อะไรก็ยังไม่แน่นอนอย่างนี้ เราคาดว่าต่อไปอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวลง เพราะแะนั้นการออกหุ้นกู้ระยะสั้นนอกจากจะมีความเหมาะสมกับบริษัทเนื่องจากเรามีความจำเป็นต้องใช้เงินเป็นช่วง ๆ แล้ว ยังเหมาะกับสถานการณ์อีกด้วย" บุญคลีกล่าว ทั้งนี้เอไอเอส ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจำหน่ายและนายทะเบียน โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะเป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ขายในราคาหน่วยละ 1,000 บาท มีวงเงินการจำหน่ายรวมทั้งโปรแกรมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด โดยเสนอขายเป็นแบบหลายครั้ง ซึ่งจะทะยอยออกจำหน่ายตามความเหมาะสมของสภาวะตลาดและความต้องการใช้เงินของบริษัท จากการเสนอขายครั้งแรก เอไอเอสสามารถจะระดมทุนเข้ามาได้ 1,387 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 1,000 ล้านบาท โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบริษัทประกันชีวิต อย่างไรก็ดี ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้กำลังมีปัญหากองทุนรวมตราสารหนี้ 8 กองปิดตัวลงแบ่งเป็นกองทุนรวมภายใต้การบริหารของ บลจ. บัวหลวง 4 กอง บลจ. วรรณ 3 กอง และ บลจ. บริหารทุนไทย 1 กอง มีการคาดการณ์กันว่าเหตุการณ์นี้จะต่อเนื่องไปยังกองทุนตราสารหนี้ค่ายอื่น ๆ อีก สาเหตุมาจากนักลงทุนตื่นตระหนกแห่ถอนเงินคืนจนกองทุนตราสารหนี้เหล่านั้นขาดสภาพคล่อง ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อตลาดสารหนี้ ซึ่งจะต่อเนื่องมายังบริษัทเอกชนที่ต้องการออกหุ้นกู้ระดมทุนในประเทศต่อไป โดยต้องออกหุ้นกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงและขายได้ยากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนสถาบันจะให้ความสำคัญในเรื่องความเสี่ยงเป็นอันดับแรก และอัตราผลตอบแทนเป็นอันดับสอง โดยหลายฝ่ายเริ่มตระหนักมากขึ้นว่าอัตราผลตอบแทนยิ่งสูงนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย หลังจากหลงลืมกฎข้อสำคัญในการลงทุนข้อนี้ไปเสียนาน สำหรับหุ้นกู้ระยะสั้นของเอไอเอส ซึ่งนับว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนค่อนข้างมากนั้น เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งค่อนข้างมั่นคงเป็นบริษัทใหญ่ในเครือชินวัตร เป็นผู้นำตลาดมือถือ โดยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% นอกจากนี้ยังมีอันดับความน่าเชื่อถือในการออกตราสารหนี้เงินตราต่างประเทศระยะยาวจาก Standard&Poor's ในอันดับ BBB "ตราสารหนี้ในระยะหลัง ๆ นี้มีปัญหาอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องที่บริษัทไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้เมื่อครบกำหนดชำระ แต่หุ้นกู้ของเอไอเอสดีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นหุ้นกู้ระยะสั้น 3-9 เดือน เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนเช่นนี้จึงยังสามารถขายได้ดี" นักลงทุนสถาบันรายหนึ่งออกความเห็น อย่างไรก็ตามผลจากการที่ค่าเงินบาทลอยตัวนี้ ทำให้ต้นทุนของเอไอเอสเพิ่มสูงขึ้น 10-20% เป็นเหตุให้เอไอเอสต้องประกาศปรับราคาโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% โดยจะเริ่มในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ราคาใหม่ครอบคลุมกับต้นทุนใหม่ และมีกำไรเพียงพอที่จะชำระดอกเบี้ยเงินกู้ได้อย่างไม่มีปัญหา จากคุณ : ณ.ปากช่อง (เหตุเกิดที่ปากช่อง) - [ 4 เม.ย. 51 18:12:32 A:117.47.175.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 น้องฝนครับถ้าน้องอยากรู้ว่าใครไปตามทักษิณมาเล่นการเมืองบอกมานะครับเดียวไปเอาข้อมูลมาให้อีกนะครับ ชอบจริงๆ คนอย่างน้องฝนนี้ที่ไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ จากคุณ : ณ.ปากช่อง (เหตุเกิดที่ปากช่อง) - [ 4 เม.ย. 51 18:14:33 A:117.47.175.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 คห.9  คนที่ตามทักษิณมาเล่นการเมือง ใช่คนเดียวกับที่บอกทักษิณ ออกไปหรือเปล่าครับ จากคุณ : เปิ้ล นะคอน - [ 4 เม.ย. 51 18:40:06 A:118.173.2.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่ใช่ค๊าบ.......................บ แต่เขาเคยเป็นคนที่มีอุดมการณ่เดียวกันมาก่อน จากคุณ : ณ.ปากช่อง (เหตุเกิดที่ปากช่อง) - [ 4 เม.ย. 51 18:45:58 A:117.47.175.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 บริษัทนายกทักษิณซื้อดอลล่าร์ร่วม ๕๐๐ ล้านเหรียญก่อนลอยค่าเงินแค่ ๒ วัน ท่านคิดว่า http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/2007/06/P5536944/P5536944.html กรณีความลับเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6478317/P6478317.html ความคิดเห็นที่ 31 --------------- "บิ๊กจิ๋ว"แฉบันทึกลับวิกฤติปี''40 //---------------------------------------------------- http://www.mthai.com/webboard/5/60066.html โดยหนังสือดังกล่าวมีขนาด 396 หน้า จำนวน 20 บท เนื้อหาทั้งหมดบ่งบอกถึงเงื่อนงำ จนเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งที่มาและที่ไป และใครได้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องก่อนเกิด วิกฤตและหลังวิกฤติว่าใครเป็นละครร่วมอยู่ในเหตุการณ์บ้าง โดยได้เรียบเรียงตั้งแต่เหตุการณ์ การพยายามแก้ปัญหาวิกฤติการเงินของประเทศ จนถึงการประกาศลดค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงิน บาทอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องจาก 25 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 36 บาท จนประชาชนโกรธแค้นและ ขับไล่ และในที่สุดพล.อ.ชวลิตต้องลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 หลังจากบริ หารประเทศเพียง 11 เดือน 9 วัน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้ก่อปัญหาที่แท้จริง ทั้งนี้ใน บทที่ 1 ได้ระบุว่าเศรษฐกิจไทยล่มสลายก่อนที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ที่เข้ามาบริหารประ เทศ เพราะภาวะเศรษฐกิจปี 2539 ไทยมีหนี้ต่างประเทศรวมกัน 108,742 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น หนี้ภาครัฐเพียง 16,801 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นหนี้ภาคเอกชน 91,941 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าทุน สำรองระหว่างประเทศที่มีเพียง 38,724 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงมีฐานะการเงินไม่ต่างจากผู้ล้มละ ลาย เพราะไม่มีเงินตราไปชำระหนี้คืน ไม่ใช่พล.อ.ชวลิตทำให้ไทยต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนบทที่ 9 ได้มีการเรียบเรียงย้อนไปให้เห็น กลุ่มบุคคลที่เสนอให้ลดค่าเงิน และอีกกลุ่ม ที่คัดค้าน กล่าวคือ นายสุรศักดิ์ นานานุกูล ที่ปรึกษานายกฯเสนอว่านอกจากควรลดค่าเงินบาทแล้ว ยังเสนอให้เตรียมวงเงินกู้ต่างประเทศ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยับยั้งการไหลของเงินและ ผู้ที่เห็นด้วยว่าควรลดค่าเงินได้แก่ นายชาตรี โสภณพนิช นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ นายนิมิตร นน ทพันธาวาทย์ นายวีรพงษ์ รามางกูร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (เป็นรองนายกฯ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๐ - http://www.cabinet.thaigov.go.th/cab_52.htm ) นายวรากรณ์ สามโกเศศ นายนิพนธ์ พัวพงศกร จากทีดีอาร์ไอ นายไพศาล พืชมงคล ม.ร.ว.จัตุมง คล โสณกุล และนายศุภชัย พานิชภักดิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ขณะที่ฝ่ายคัดค้านการลอยตัวค่าเงินได้แก่ นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลัง นายโอฬาร ไชย ประวัติ นายกสมาคมธนาคารพาณิชย์แห่งประเทศไทย แม้กระทั่งนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธาน เครือเจริญโภคภัณฑ์ เพราะเห็นว่าหากลอยตัวค่าเงินจะกระทบต่อหนี้เอกชนที่สูงถึง 90,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ -------------------------- 21 มิถุนายน 2540 นาย อำนวย วีรวรรณ ออกเพราะ เหตุใด ??? http://www.cabinet.thaigov.go.th/cab_52.htm ---------------------- ดูแค่ 2 วัน ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ สำหรับ สัญญาณ อันตรายที่ ออกเหลืองจะแดงอยู่แล้ว (ภูเขาไฟจะระเบิดอยู่แล้ว) ---------------------- คำพิพากษาคดี  เริงชัย  ชดใช้แบงก์ชาติ 1.8 แสนล้าน http://72.14.235.104/search?q=cache:iFWh7Oesm8UJ:www.dsi.go.th/dsi/news_index.jsp%3Fid%3D545+%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A2+%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93+2540&hl=en&ct=clnk&cd=2&gl=th ----------------- จากคุณ : mcu51 - [ 4 เม.ย. 51 19:03:12 A:124.120.8.119 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 สื่อมันลงพาดหัวเว่อร์ซะ ขอโค้ดจากเนื้อข่าวมาให้ดูแล้วกันว่าเว่อร์ยังไง "เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม ( 2540 ) กลางคืนวันนั้น บังเอิญผมทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่ผมนับถือร่วมกับนักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่ง ประมาณ 4 ทุ่ม มีคนโทรมาบอกผมว่า ได้มีการพบปะกันอย่างซีเรียสมากที่ทำเนียบ มีคน 4 คน คือ นายกฯ ( พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ นายเริงชัย มะระกานนท์ ( ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยขณะนั้น นายทนง พิทยะ และ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ( รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ) เพราะผมรู้ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นผู้จัดการกองทุนรักษาระดับ ผมเลยเดาแล้วยังบอกกับผู้ใหญ่คนนั้นกับนัก นสพ. อาวุโส ว่า สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาทแน่ เพราะถ้ามีผู้จัดการทุนรักษาระดับเข้าไปร่วมด้วยในการพิจารณาซีเรียสอย่างนั้น ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือคือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ครับ ผมอยู่กับท่านวันที่ 1 กรกฏาคม ตอน 4 ทุ่ม" ....................................................... จากประโยค... ...ผมเลยเดาแล้วยังบอกกับผู้ใหญ่คนนั้นกับนัก นสพ. อาวุโส ว่า สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาทแน่ เพราะถ้ามีผู้จัดการทุนรักษาระดับเข้าไปร่วมด้วยในการพิจารณาซีเรียสอย่างนั้น ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น... - ทักษิณไม่ได้บอกแบบฟันธงว่า ทางนั้นโทรมาบอกว่าจะลดค่าเงิน แต่ทักษิณ "เดา" หรือคาดคะเนด้วยตัวเองว่า น่าจะมีการลดค่าเงิน จากประโยค... ...ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือคือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ครับ ผมอยู่กับท่านวันที่ 1 กรกฏาคม ตอน 4 ทุ่ม... โดยเพิ่มเติมจากเนื้อข่าว ...วันประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540... - งงว่าทักษิณจะได้รับประโยชน์จากการลดค่าเงินครั้งนั้นได้อย่างไร ในเมื่อทักษิณได้รับโทรศัพท์ตอนกลางคืน 4 ทุ่มวันที่ 1 ก.ค. ซึ่งนับว่าดึกพอควร แต่วันรุ่งขึ้นรัฐบาลก็เปลี่ยนแปลงอัตราแลกเงิน ถ้าทักษิณต้องการจะหาประโยชน์จากการลดค่าเงินจริง แล้วทักษิณจะทำธุรกรรมโอนย้ายเงินเข้าไปเพื่อการนี้ทันได้อย่างไร และเห็นว่า เขาได้รับผลโยชน์ในครั้งนี้นับหมื่นล้านบาท นั่นหมายความว่า ทักษิณจะต้องทำธุรกรรมการเงินนับหลายหมื่นล้านภายในไม่ถึง 24 ชม. ถามว่า ธปท. ณ ตอนนั้นไม่ผิดสังเกตบ้างหรือ และกาเรคลื่อนไหวเงินหลายหมื่นล้านในชั่วเวลาไม่กี่ชม. ย่อมต้องส่งผลต่อระบบการเงินทั้งระบบ ซึ่งก็ต้องมีการตรวจสอบ แต่ก็ไม่เห็นมีการตรวจสอบใดๆ ในเรื่องดังกล่าว เลยอยากจะถามผู้รู้จริงๆ ว่า 1. สมมติทักษิณได้รับรู้เรื่องการลดค่าเงินไม่ถึง 24 ชม. จะสามารถหาผลประโยชน์จากค่าเงินนั้นได้ทันเวลาหรือไม่ ? และ 2. ข่าวว่าทักษิณได้ผลประโยชน์เป็นเงินจากการลดค่าเงินครั้งนี้นับหมื่นล้าน เงินเข้าเงินออกจากสถาบันการเงินหลายหมื่นล้าน ในชั่วเวลาไม่ถึง 24 ชม. ไม่เกิดผลกระทบใดๆ ต่อระบบการเงินของสถาบันการเงินนั้นๆ เลยหรือ ? ....................................................... เพราะส่วนตัวเรามองว่า ทักษิณคงไม่เดือดร้อนต่อการลดค่าเงินในคราวนั้น น่าจะมาจากการวิเคราะห์สถานการณ์มาโดยตลอดมากกว่า ที่สำคัญ การจะหาประโยชน์จากค่าเงิน ไม่ใช่จะทำกันปุ๊บปั๊บภายในเวลาไม่กี่ชม. ยิ่งเป็นเงินจำนวนมากๆ นับพันนับหมื่นล้าน เป็นไปไม่ได้เลยที่มีการเคลื่อนไหว แล้วจะไม่กระทบต่อสถาบันการเงินที่รับฝากเงินก้อนนี้อยู่ คือถ้าบอกว่า ทักษิณได้รับประโยชน์จากการลดค่าเงินไม่ 4-5 ล้านบาท ใน 4-5 ชม.ยังน่าเชื่อมากกว่า เพราะเขาสามารถนำเงินไปเก๊งกำไรค่าเงินได้เหมือนเล่นหุ้นทั่วๆ ไป แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 51 19:14:53 จากคุณ : TSC - [ 4 เม.ย. 51 19:10:07 A:65.49.14.26 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ mcu 51 จะเอาเรื่องไหนก่อนครับ วางเป็นกระด้งขนาดนี้ ไม่ทราบว่าจะสือว่าอะไร เอาเป็นประเด็น ๆ ไปเลยครับ คนอื่นจะได้เข้าใจด้วย ไม่เอาแบบตีขลุม จากคุณ : ณ.ปากช่อง (เหตุเกิดที่ปากช่อง) - [ 4 เม.ย. 51 19:20:22 A:117.47.175.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 รู้สี่ทุ่ม รุ่งเช้าลดค่าเงิน.. อนาจักรซินคอร์ป มูลค่าหลายหมื่นล้าน สมัยนั้น จะทำอะไรได้.. หาเรื่องเขาขอให้มีเหตุผลหน่อย ครับ จากคุณ : ทรงวิทย์ - [ 4 เม.ย. 51 19:31:11 A:125.24.175.135 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 ก่อนจะถกเรื่องนี้กันต่อไป ... ผมขออนุญาตนำเสนอบทความบางส่วนจากหนังสือ "บันทึกลับ2540" มาให้อ่านประกอบ เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติม ... (มีประมาณ 20 หน้าได้มั๊งครับ) ถ้าสนใจมากกว่านี้ ก็ลองหามาอ่านดูนะครับ P167 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:32:58 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 P168 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:33:44 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 P169 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:34:32 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 P170 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:35:03 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 P171 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:35:29 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 P172 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:36:08 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 P173 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:36:33 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 #14 ไม่มีอะไร แค่ให้เป็นข้อมูล ในการต่อ -ยอดจากเดิม- ไม่ต้องเริ่มต้นกันใหม่ เพราะมีการตั้งกระทู้ -เชื่อได้ว่า- เหมือนจะเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่ อยู่ 3-4 กระทู้ จากคุณ : mcu51 - [ 4 เม.ย. 51 19:36:47 A:124.120.8.119 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 P174 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:37:04 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 P175 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:37:41 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 P176 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:38:28 A:125.26.201.91 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 P177 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:40:06 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 P178 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:40:36 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 P179 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:41:01 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 P180 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:41:28 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 P181 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:41:51 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 P182 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:42:22 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 P183 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:42:57 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 P184 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:43:29 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 P185 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:43:57 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 36 P186 (จบบทที่ 13) จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:44:41 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 บทที่ 14 .. เป็นตอนที่ 2 (ต่อจาก 13) ซึ่งพูดถึงการทำธุรกรรมของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้เขียนสรุปเป็นตารางกิจกรรมที่เกิดขึ้น ดังนี้ (มี 2 หน้า) รายละเอียด .. ก็หาอ่านเอาตามหนังสือนะครับ P198 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:49:13 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 P199 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:49:48 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 อันนี้เป็นข่าวในเวลานั้น ...  ประมาณ 1 อาทิตย์ ก่อนประกาศลอยตัวค่าเงิน ข่าวจาก "ผู้จัดการ" วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2540   ภาวะเก็งกำไรดอลล่าร์ลามตลาดมืด "ผู้ค้าเงินตราตลาดมืด" เผยคำสั่งซื้อตุนดอลล่าร์ล้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนเกลี้ยงตลาด ดันค่าพุ่งถึง 26.6 บาทต่อดอลล่าร์ เพราะคนไทยเชื่อว่าจะลดค่าเงินบาทแน่นอน P200 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 51 20:23:01 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:54:46 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 จบท้ายด้วย ... จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 19:55:53 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 1. สมมติทักษิณได้รับรู้เรื่องการลดค่าเงินไม่ถึง 24 ชม. จะสามารถหาผลประโยชน์จากค่าเงินนั้นได้ทันเวลาหรือไม่ ตอบ  ตามความคิดของผม ผมว่ามีประโยชน์อย่างมากมาย เอาง่ายๆ แค่ ปตท. ประกาศขึ้นราคาน้ำมันในวันพรุ่งนี้ คนที่รู้ข่าว เขาก็ต้องแห่กันไปเติมน้ำมัน ส่วนกรณีของทักษิณนั้น ที่บอกว่ารู้ตอนสี่ทุ่ม ของวันที่ 1 ก.ค   นั่นเป็นคำพูดของทักษิณเอง เขาจะพูดจริงพูดเท็จก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่พูดเท็จแน่ๆคือบิ๊กจิ๋ว และโภคิน ก็เลยมีข้อสงสัยว่าทำไมต้องโกหก ว่าโภคิน ไม่ได้ร่วมประชุมด้วย ------------------------------------------------------- 2. ข่าวว่าทักษิณได้ผลประโยชน์เป็นเงินจากการลดค่าเงินครั้งนี้นับหมื่นล้าน เงินเข้าเงินออกจากสถาบันการเงินหลายหมื่นล้าน ในชั่วเวลาไม่ถึง 24 ชม. ไม่เกิดผลกระทบใดๆ ต่อระบบการเงินของสถาบันการเงินนั้นๆ เลยหรือ ? ผมประโยชน์จะถึงหมื่นล้านหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่สุเทพได้บอกว่า เก่งขนาดทำเงินได้ 2 วัน 4,000,000,000 บาท อีกอย่างตลาดเงินไม่ได้มีแต่ประเทศไทย สมมุติ ผมมีเงินบาทอยู่ในต่างประเทศซัก 10 ล้าน หรือผมมีคนที่รู้จักชอบพอ มีเงินบาทอยู่ที่ต่างประเทศ เมื่อผมรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีการลดค่าเงินบาท ผมก็ต้องทำการขายเงินบาท เพื่อซื้อเงินสกุลอื่น แล้วอีก 1-2 วันผมก็ซื้อเงินบาทคืน เงินบาทของผมก็จะงอกขึ้นในชั่วข้ามคืนเลย จากคุณ : เปิ้ล นะคอน - [ 4 เม.ย. 51 20:50:00 A:118.173.2.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 คิดเองเอ้อเองเหอะ จากคุณ : i am ang - [ 4 เม.ย. 51 21:11:09 A:124.121.50.251 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 น้องฝนเอ๊ย น้องคงคิดว่า หลัง 4 ทุ่มคืนนั้น อดีตนายกทักษิณก็เลยให้บริษัท ฯ ไปกว้านซื้อดอลล่าร์ทั้งตลาดมาเก็บไว้สินะ ชั่วข้ามคืนเลยรวยไม่รู้เรื่อง อ่อนอีกแล้ว . จากคุณ : ปากตรงกับใจ อย่าอ่อนครับ  ทักษิณ รู้ตั้งแต่วันที่ 29  แล้ว แต่ต้องบอกว่ารู้วันที่ 1 เพราะต้องการให้คน อ่อนๆ คิดได้แบบคุณนั้นแหล่ะ อ่อนแท้ จากคุณ : หมอโคนัน - [ 4 เม.ย. 51 21:14:06 A:58.8.163.52 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 " ... ทักษิณ รู้ตั้งแต่วันที่ 29  แล้ว แต่ต้องบอกว่ารู้วันที่ 1 เพราะต้องการให้ ... คิดได้แบบคุณนั้นแหล่ะ ..." +++++++++++++++++++++++ เอาข่าวช่วงนั้นมาให้ดูครับ (สงสัยรูปใน #39 โดนรูป #40 ดึงดูดความสนใจไปหมด) จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 21:50:45 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกกกก (มั๊ง) ... ว่าเงินบาทจะลอยตัว จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 22:09:24 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 ...... จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 22:10:54 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 ฝรั่งจ๋า ... คุยฟุ้งเลยนะจ๊ะ ว่า "เตือนมาเป็นปีแล้ว" ... จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 22:13:33 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้ามีการกะเก็งล่วงหน้าว่าจะมีการลดค่าเงินบาทแล้วเตรียมตัว รับสถานะการโดยการปล่อยบาท ถือดอลาร์ ก็คงไม่มีใครว่าหรอครับ เพราะมันเป็นความสามารถในการกะเก็ง แต่ถ้ามารู้เอาวันที่ 29 มิ.ย แล้วรีบเทขายบาทซื้อดอลาร์ คนที่ทำแบบนี้สมควรที่จะทำยังไงดีครับ จากคุณ : เปิ้ล นะคอน - [ 4 เม.ย. 51 22:35:29 A:118.173.2.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 ข่าว วันที่ 1 กรกฎาคม 2540 (วันประกาศลอยตัวคือ 2 กรกฎาคม 2540) *** แต่เหตุการณ์ในข่าวนี้ น่าจะต้องเกิดก่อนวันที่หนังสือพิมพ์วางแผง *** แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 51 23:02:49 จากคุณ : King Hades - [ 4 เม.ย. 51 22:36:18 A:125.26.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้าย้อนสถิติดู ฐานะการเงินไทยแย่สมัยปี 38 ลามปี 39 สมัยชวน 1 ครับ พอบรรหารมาไม่ได้ทำอะไรก็ยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนชวลิตมาประเทศไทย ก็ขึ้นเมนเผาแล้ว สรุปพรรคประชาธิปัตย์ คือต้นเหตุหลัก และสมาชิกในเครือได้รับกำไรจาก เหตุการณ์ชาติล่มมากที่สุดครับ ผมติดตามมาตั้งแต่ต้น ลาขาดพรรคแมลงสาป แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 51 03:38:49 จากคุณ : Kiama - [ 5 เม.ย. 51 03:38:34 A:58.64.75.254 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 ไร้ สติ  เอา เวลา ไป ทำอย่างื่น ดีกว่า มา ใส่ร้ายคนอื่น จากคุณ : นายสุดแสนหล่อ - [ 5 เม.ย. 51 07:35:51 A:58.147.68.162 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 AIS เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาจะประเมินสถานการณ์ไม่ออกเลยหรือ ว่า ตอนนั้น จะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้น ค่าเงินบาท ทุกคนเริ่มหมดความมั่นใจ ถ้ามีช่องทางถือดอลล่าห์ เขาก็ต้องซื้อไว้ก่อน ไม่เห็นผิดตรงไหน หรือ ต้องรอให้เจ๊งก่อน ถึงจะซื้อได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษรัฐบาล บริหารประเทศยังไง รักษาค่าเงินไว้ไม่ได้ และ ผมไม่เชื่อหรอกว่า ทักษิณ จะได้กำไร ตรงนี้เป็นหมื่นล้าน เพราะ ถ้าได้กำไรมหาศาลขนาดนั้น ต้องมีหลักฐานการโยกย้ายเงิน ไม่ใช่เอามากล่าวอ้างลอยๆ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 51 09:26:31 จากคุณ : ขาจร...ขอแจม - [ 5 เม.ย. 51 09:20:16 A:58.8.174.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 54 เปิ้น เอ๋ย เปิ้น ไปได้น่ำขุ่นๆ นะเอ็ง จากคุณ : ชนะมาร - [ 5 เม.ย. 51 10:42:45 A:124.120.10.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 55 ใจคอคนไทย ถ้าใครไม่เจ๊งไปด้วยกัน ก็ต้องโดนข้อหาว่ารู้วงใน นี่คือนิสัยเสียของคนไทย สังคมทอนกำลัง ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี อิจฉา จากคุณ : NiyomC - [ 5 เม.ย. 51 11:25:40 A:61.19.66.162 X: ]

ความคิดเห็นที่ 56 ลองเรียงลำดับเหตุการณ์  (จากข้อมูลในหนังสือ "บันทึกลับปี 40") -- ตามความเข้าใจของผม ต้น ก.พ. 40       -  ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ                            ไปทำการปกป้องค่าเงินบาทได้อย่างสำเร็จ ปลาย ก.พ. 40   -  ศ.สุรศักดิ์ นานานุกูล เสนอว่า                            "ประเทศไทยมีหนี้สินต่างประเทศประมาณ 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ                            มีทุนสำรองระหว่างประเทศประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ                            ประเทศไทยมีหนี้สินสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศถึง 70,000                            ล้านเหรียญสหรัฐ และขาดดุลยัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง                            หากได้ลดค่าเงินบาทมาอยู่ที่ระดับ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ก็จะมีผลต่อ                            การป้องกันไม่ให้เงินไหลออกไปต่างประเทศได้"                           แต่ก็มีคนในรัฐบาล ซึ่งเห็นด้วยกับการปกป้องค่าเงินบาทแสดงความไม่เห็นด้วย   ในช่วงนั้น คนที่คิดว่าประเทศไทยต้องลดค่าเงินบาทหรือขยายความยืดหยุ่น ในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนจนถึงขั้นลอยค่าเงินนั้น ก็มิใช่ ศ. สุรศักดิ์ นานานุกูล พียงคนเดียว แต่ภายหลังต่อมาก็ยังมี 1. นายชาตรี โสภณพานิช 2. นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ 3. ดร. นิมิตร นนทพันธาวาทย์ 4. ดร. วีระพงษ์ รามางกูร 5. พ.ต.ท.  ทักษิณ ชินวัตร 6. ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ 7. ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร 8. ม.ร.ว. จตุมงคล โสณกุล 9. นายไพศาล พืชมงคล 10. ดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ กลุ่มที่เห็นด้วยกับการปกป้องค่าเงินบาทจนถึงที่สุด 1. นายอำนวย วีรวรรณ 2. ดร. โอฬาร ไชยประวัติ 3. นายธนินทร์ เจียรวนนท์ 14 พ.ค. 40        -  กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้เสนอให้ประเทศไทย                             ลดค่าเงินบาทลงประมาณร้อยละ 10-15 โดยเปิดให้มี                             ความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนให้กว้างขึ้น                             19-20 พ.ค. 40  -  บทบรรณาธิการจาก ฐานเศรษฐกิจ "เงินบาทยังไม่ปลอดภัยจริง"                              กล่าวไว้ว่า มีการโจมตีค่าเงินบาทอีก 2 ระลอกในเดือน พ.ค.                              แต่ฝ่ายไทยก็เป็นฝ่ายชนะ 28 พ.ค. 40        - ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งบันทึก                               'รายละเอียดและขนาดของธุรกรรมในการปกป้องค่าเงิน                             ระหว่างวันที่ 8 ถึง 15 พค 40'   ถึงนายอำนวยวีรวรรณ                             พร้อมข้อมูลทุนสำรองสุทธิ 19 มิ.ย. 40            - นายอำนวย วีรวรรณ ลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ                                และรมต.กระทรวงการคลัง                             - ข่าวจาก ผู้จัดการ                               " คนไทยทิ้งบาท กวาดซื้อดอลล์ เชื่อลดค่าเงินหลังยุค 'อำนวย' " 21 มิ.ย. 40        -  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายทนง พิทยะ                              เป็นรมต.กระทรวงการคลัง                          -  จากรายงานของ ศปร. ระบุว่า                              "มีการประชุมเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย 6 คน                               (โดยไม่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) เรื่องระบบค่าเงิน                               ที่ประชุมได้มีความเห็นว่าระบบที่ดำเนินการอยู่นี้คงอยู่ไม่ได้                               เนื่องจากทุนสำรองสุทธิเหลืออยู่น้อยมาก จึงมีมติเป็นเอกฉันท์                              เปลี่ยนระบบค่าเงินเป็นแบบลอยตัว ซึ่งก่อนหน้านี้มีการหารือกับ                              นายสแตนลีย์ ฟิชเชอร์แห่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ                              ก็เห็นชอบกับแนวทางดังกล่าวนี้เช่นกัน                             หลังประชุม จึงได้โทรศัพท์ไปเรียน ผู้ว่าการแห่งประเทศไทย                              ว่าที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็น                             ระบบลอยค่าเงินและได้มีการเตรียมการกันอยู่แล้ว" 24-26 มิ.ย. 40     - มีกระแสการเทขายเงินบาทและซื้อเงินเหรียญสหรัฐแรงมากขึ้น 26 มิ.ย. 40         - ผู้ว่าการฯ และรองผู้ว่าการฯ ประชุมร่วมกับ นายทนง (รมต.คลัง)                             นายทนง ได้ขอให้ฝ่ายธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานสถานะของเงินสุทธิ                             เมื่อทราบสถานะแล้ว นายทนงก็ตัดสินใจในการประชุมเลยว่า                             "จะต้องเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน"                             แต่ผู้ว่าการฯ กลับตอบรมต.คลัง ว่า "จะขอไปปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่                             ของธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน" 29 มิ.ย. 40         - นายทนง(รมต.คลัง) ได้ตกลงกับนายเริงชัย (ผู้ว่าการฯ)และนายชัยวัฒน์                            (รองผู้ว่าการฯ) ว่าจะไปเรียนนายกรัฐมนตรีในเช้าวันที่ 29 มิ.ย. 40                             ซึ่งเมื่อถึงวันดังกล่าว ปรากฏว่ามีนายโภคิน พลกุลร่วมประชุมอยู่ด้วย 30 มิ.ย. 40         - ผู้ว่าการฯ เอาเอกสารรายละเอียดการลดค่าเงินบาทไปมอบให้นายกฯลงนาม                           ** ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินในวันนี้ ** 1 ก.ค. 40            -  ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่ประกาศอีก โดยให้เหตุผลว่า                               วันที่ 1 กค เป็นวันหยุดของธนาคารแห่งประเทศไทย 2 ก.ค. 40            - ประกาศลอยคัวค่าเงินบาท (อย่างเป็นทางการ)                           **รายละเอียดก็อ่านจากที่ scan นะครับ ** --- ผิดพลาด/ตกหล่น ประการใด ... ขออภัยด้วยครับ --- จากคุณ : King Hades - [ 5 เม.ย. 51 12:52:50 A:125.26.200.42 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 ไฟแห่งความเกลียดชัง ทำให้เกิด อคติ จิตเสื่อม.... จากคุณ : JJ_jibjed - [ 9 เม.ย. 51 08:37:29 A:202.47.239.194 X: ]