ประเทศมันเป็นเหมือนสหกรณ์ของความมีชีวิต จะเจริญงอกงามขึ้นมาได้ก็ต้องด้วยปัจจัยในกระบวนการจากสมาชิก ว่าจะช่วยกันรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยกันได้ขนาดไหน ไม่ใช่เอาแต่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายด่ากันไปมาตามอารมณ์ รัก-หลง-คลั่ง ไม่สร้างสรรค์
ผมมองว่าคนต่างหากที่เข้ามาแสดงบทบทสำคัญกับความเป็นชาติ...ที่ผ่านมาคนได้แสดงบทบาทสมมติแต่งเติมแนวทางการบริหารประเทศ สร้างรูปแบบการปกครองของตัวเอง สร้างคัมภีร์ประกอบเพื่อให้แนวทางมันแจ่มชัดขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
คัมภีร์มันจะเริดหรูขนาดไหน มันก็สร้างขึ้นโดยคน และก็มีฐานะเป็นเพียงตัวหนังสือตั้งอยู่บนหิ้งรอให้คนเอาไปใช้... คนต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติสู่ความเป็นประชาธิปไตย เป็นผู้ถือบังเหืยนที่จะบังคับใช้ เพื่อให้พาหนะนำพาสังคมเราไปสู่เป้าหมายคือประโยชน์สุขของพี่น้องร่วมแผ่นดิน... หากคนไร้คุณภาพเสียแล้ว..ทุกอย่างมันก็จบ
หลายคนพูดถึงประชาธิปไตยชอบที่จะเอาปากกัดคัมภีร์มาพูด...พูดแต่รัฐธรรมนูญ พูดแต่เรื่องการเลือกตั้ง คือเอาใจใส่แต่ส่วนที่เป็นเปลือกนอกแสนสวย..ส่วนเนื้อในที่เป็นแก่นสารถึงคำว่าประชาธิปไตยกับไม่ค่อยมีคนได้ใส่ใจ.
ประชาธิปไตยที่ผมอยากเห็นอยากจะมองเน้นในด้านผลผลิต คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความมีเสรีภาพความเสมอภาคของพี่น้องและผู้ปกครองที่เสียสละมองถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ…ซึ่งระบอบที่จะสนองในเรื่องเหล่านี้ประชาชนจะเป็นผู้ถืออำนาจ เจ้าของอำนาจและเป็นผู้ใช้อำนาจ...ซึ่งไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องพึ่งพาแต่เฉพาะนักเลือกตั้ง ซึ่งพวกนี้ชอบใช้อำนาจที่ประมูลอำนาจได้มาแอบอ้างว่าเป็นความถูกต้อง ชอบเอาผลประโยชน์เป็นความยุติธรรม (ทั้งๆที่วิธีการประมูลอำนาจบางครั้งก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงสารพัด เหมือนเกมที่พ่อค้าผู้รับเหมาประมูลงานกับทางราชการ)
นั่งนึกอยู่ตลอดว่าน่าจะลองมาเปรียบเทียบกับคัมภีร์พุทธ พระไตยปิฎกที่เป็นตัวหนังสือเราจะดีอย่างไร แต่หากประชาชนยังไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนามันก็ยังคงเห็นภาพเห็นข่าวชาวพุทธนั่งไหว้จอมปลวก ไหว้ปลาไหลเผือก ไก่สามขา บ้าจตุคามรามเทพ ฯลฯ
รูปลักษณ์ที่เรามักเอามาเป็นน้ำยาชุบความเป็นประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้งซึ่งเป็นหนึ่งในตำหรับยาตำราหลวงของประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ประชาธิปไตยไม่ใช่มีพิธีกรรมเฉพาะการเลือกตั้งประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องการ การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายต่างหากคือส่วนสำคัญของเนื้อในของประชาธิปไตย
เปรียบได้กับพุทธศาสนาที่เดี๋ยวนี้คนไปหลงยึดติดกับพิธีกรรมจนหลงลืมตัวธรรมะที่เป็นหัวใจของชาวพุทธกันไปหมดแล้ว คนไปยึดติดกับการเสพ-กินพิธีกรรมซึ่งเป็นเนื้อหนังของศาสนาจนเกิดความมัวเมา เอาเปลือกห่อหุ้มมาเป็นแนวปฏิบัติจนไม่รู้แก่นแท้ของศาสนาเราอยู่ตรงไหน
ตัวแก่นของประชาธิปไตยก็คล้ายกับธรรมะในทางศาสนาที่มีหัวใจอยู่ที่แนวปฏิบัติให้เราเคารพในกฎกติกาของความดี ศูนย์กลางจะต้องเกิดจากความดีคือมีกฎกติกาที่ดีมีกระบวนการซึ่งนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติที่ดี และมีคนดีมาเป็นตัวค้ำจุนองค์กร (ซึ่งบ้านเราจะมีปัญหามากเพราะตัวเลือกของคนดีในกลุ่มนักการเมืองมีน้อยเหลือเกิน)
จากคุณ :
ไทยพันธุ์แท้
- [
17 เม.ย. 51 07:59:16
A:118.172.216.120 X:
]