หากนับความอาวุโส เว็บไซท์ Hi-thaksin ถือเป็นเว็บน้องใหม่เพราะเข้ามาแกว่งไกวดาบได้เพียงแค่ 1 ปีกับอีก 1 เดือนแต่ก็เป็นน้องใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและมากที่สุดในบรรดาเว็บไซท์ต้านรัฐประหารที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมาด้วยเนื้อหา วิธีการนำเสนอ รูปแบบที่สวยงามของเว็บและที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดเลยที่ทำให้เว็บไฮ-ทักษิณโด่งดังในระยะเวลาอันรวดเร็วก็คือเป็นเว็บไซท์แรกในขณะนั้นที่ได้กลายเป็น ช่องทางเดียว ที่ทำให้ประชาชนที่ยังรักและศรัทธาในตัวอดีตผู้นำไทย พตท. ทักษิณ ชินวัตร ได้มีโอกาสสื่อสารทางตรงกับผู้นำในดวงใจของพวกเขาขณะที่ท่านยังลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ
แต่ความแรงของเว็บก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะหลังจากเปิดตัวได้ไม่นานทางเว็บได้ตีแผ่ เอกสารลับ และ แผนการลับ หลายชิ้นผ่านความคิดและคมวาทะของ ประดาบ ที่เปรียบเสมือนเป็นหอกทิ่มแทงคณะรัฐประหารและกลุ่มผู้สนับสนุน ก่อผลสะเทือนให้กับสังคมแห่งข่าวสารในวงกว้าง จนทำให้ชื่อของ ประดาบ กลายเป็นที่จับตามองของนักคอลัมนิสต์ในสื่อกระแสหลักและดังเป็นพลุแตกในระยะเวลาอันสั้นของการปรากฏตัว จึงอนุมานได้ว่าคุณประดาบน่าจะเป็นนักเขียนสมัครเล่นหน้าใหม่ที่ได้รับการพูดถึงตามหน้าสื่อมากที่สุดในช่วงสถาณการณ์รัฐประหารจนถึงปัจจุบัน
จนทำให้ไอซีทีต้องส่งคลื่นรบกวน จับตามองและจ้องเล่นงานเว็บไซท์ไฮ-ทักษิณอย่างไม่คลาดสายตา
จนทำให้มีผู้คัดลอกบทความที่ ประดาบ เขียนไปตีพิมพ์จำหน่าย รวมไปถึงหนังสืออีก 5-6 เล่มและคลิปวิดีโอ 1 ปีที่หายไป ที่ไฮทักษิณผลิตขึ้นมาจนทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ
และ
ทำให้เว็บ Hi-thaksin แห่งนี้กลายเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลวงในของสื่อกระแสหลักดังๆอย่างมติชน ผู้จัดการฯ ไทยรัฐและอีกหลายสำนักไปโดยปริยาย
เรียกว่าหากต้องการอ่านข้อมูล ความเคลื่อนไหว ของอดีตนายกฯทักษิณ แผนการลับ และ ข่าววงใน ของคมช.และพวกอย่างถูกต้อง เที่ยงตรงและ รู้จริง แล้ว ไม่เฉพาะแต่คนเล่นอินเตอร์เนตธรรมดาที่ต้องเข้าไปหาข้อมูลที่เว็บไซท์ไฮ-ทักษิณ แต่สื่อกระแสหลักหลายสำนักที่เขียนบทความอ้างตัวว่ารู้วงในก็ยังต้องหันมาพึ่งพิง สอดส่องและหยิบยืมข้อมูลจาก ประดาบ แห่งไฮ-ทักษิณนี่แหละไปขายข่าวต่อการปรากฎตัวของเว็บไฮ-ทักษิณทำให้สื่อกระแสหลักหลายสำนักกลายเป็น ผู้รู้ไม่จริง ไปเลยก็ว่าได้
จึงอาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลาที่ประชาชนถูกริดรอนเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร การปรากฏตัวของเว็บไซท์ไฮ-ทักษิณ เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความสมดุลย์ให้กับแวดวงข้อมูลข่าวสารได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นทางเลือกของประชาชนในสถานการณ์ที่สื่อกระแสหลักถูกครอบงำและเลือกยืนข้างเผด็จการได้เหมาะเจาะที่สุด ดังคำพูดของมาร์ค ทเวนที่ว่า
If you dont read the newspaper, you are uninformed; if you do read the newspaper, you are misinformed. - - Mark Twain
ถ้าคุณไม่อ่านหนังสือพิมพ์ คุณจะเป็นคนที่ตกข่าวสาร แต่หากคุณอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อใดคุณกลับเป็นคนที่ถูกลวงด้วยข้อมูลข่าวสารแทน - - มาร์ค ทเวน
การจากไปของเว็บไซท์ไฮ-ทักษิณจึงเปรียบเสมือนกระบี่มือหนึ่งของแนวรบด้านหน้าในสมรภูมิข่าวสารที่หายไป
แต่ประเทศไทยในสถานการณ์ที่กฏหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันเป็นมรดกตกทอดมาจากคำสั่งของคณะปฏิวัติในอดีตถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง ได้ผลักให้ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าทำสงครามแย่งชิงความจงรักภักดีที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากถึงเหตุแห่งบทอวสานของเว็บไซท์ไฮ-ทักษิณที่ต้องมาถึง จากเนื้อความตอนหนึ่งในบทความ เก็บดาบ ที่ระบุว่า
สาเหตุที่ต้องอำลาจากกันไป เพราะมีความพยามที่จะสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสีเว็บไซต์ ไฮ-ทักษิณว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งชาติทั่วแผ่นดินและเชื่อมโยงข้อกล่าวหาไปยังอดีตนายกรัฐมนตรีว่าเป็นผู้สนับสนุนและเกี่ยวข้องกับการจัดทำเว็บไซต์นี้ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจาก นับแต่วันแรกที่ เว็บไซต์นี้ ปรากฏต่อสายตาผู้อ่าน ผู้ชม ได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผู้จัดทำเว็บไซต์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกให้ร้ายป้ายสีด้วยข้อกล่าวหาที่ปราศจากพยานหลักฐานมายาวนาน
นั้นผู้เขียนมองเห็นในความรักและศรัทธาของคุณประดาบที่มีต่ออดีตนายกฯทักษิณ และเชื่อในความตั้งใจดีของคุณประดาบที่ต้องการสื่อให้ประชาชนทั่วไปทราบว่าอดีตนายกทักษิณท่านมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริงมิได้เป็นอย่างที่พวกกลุ่มพาลธมิตรและเครือข่ายกล่าวหาและผู้เขียนเองก็ไม่เคยสงสัยในความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างเต็มเปี่ยมของอดีตนายกฯทักษิณแม้แต่น้อย และก็มองเห็นในความจงรักภักดีของคุณประดาบที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นกัน
คงจะมีแต่กลุ่มพาลธมิตรและกลุ่มคนรักพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่เคลือบแคลงในความจงรักภักดีที่ว่านี้และต้องการผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับพวกพ้องของตนแต่เพียงผู้เดียว
แม้เราประชาชนคนเดินดินธรรมดา คุณประดาบ กลุ่มคนรักทักษิณ ต้านรัฐประหารและรักประชาธิปไตยจะมองว่าพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองคมนตรี ท่านมิได้วางตัวเป็นกลางทางการเมืองดังที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เพราะบทบาทและการวางตัวของท่านรวมไปถึงการออกมาให้ความเห็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่องผ่านคำปาฎกถาตามสถาบันต่างๆและโรงเรียนทั้งสามเหล่าทัพโดยแนะให้ข้าราชการ ทหาร ตำรวจทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งช่วงก่อนเกิดรัฐประหารหรือการให้ความเห็นชอบบัญชีรายชื่อการโยกย้ายทหาร คณะรัฐมนตรีจนเป็นที่มาของคำว่า ผู้มีบารมี(ในรัฐธรรมนูญ)ใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ และเมื่อได้รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งหลังรัฐประหารแล้วบทบาททางการเมืองของท่านก็หาได้ลดน้อยลงแต่อย่างใดไม่ท่านยังมีบทบาทในการชี้นำ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าท่านเห็นชอบกับการรัฐประหารครั้งนี้และเป็นมันสมองสำคัญคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ
แต่กระนั้นก็ตามต้องยอมรับความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าเกราะกำบังที่ปกป้องพลเอกเปรมและเครือข่ายในตอนนี้เป็นเกราะกำบังที่ปิดปากประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพลเอกเปรมและเครือข่ายได้ผลตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกราะกำบังที่ว่านี้ก็คือ
-กฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และ
-ข้อเท็จจริงที่ว่าตำแหน่งองคมนตรีนี้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การเลือกและแต่งตั้งรวมถึงการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเป็นพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์
ด้วยเหตุนี้แม้คุณประดาบและกลุ่มคนรักทักษิณจะมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ ความจงรักภักดี อันนี้ก็ได้กลายมาเป็นดาบทิ่มแทงตัวคุณประดาบและผู้ที่คุณประดาบต้องการปกป้องเองนั่นเพราะเกราะกำบังทั้งสองข้อที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง
การต่อสู้กับกลุ่มคนที่ชอบดึงฟ้าลงมาต่ำหรือดึงฟ้าลงมาปกครองแทนการปกเกล้าในหนทางที่ได้ผลอย่างยั่งยืนจึงมิใช่การแสดงการโต้ตอบว่า เราจงรักภักดีกว่า อีกฝ่าย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราโต้ตอบกลุ่มที่ชอบเอาหลังพิงวังว่าเราจงรักภักดีกว่าอีกฝ่าย เรากำลังนำเอาตัวเราเข้าไปสู่วังวนแห่งสงครามแย่งชิงความจงรักภักดีทันที ซึ่งสงครามแย่งชิงความจงรักภักดีนี้ยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะลงเอยเช่นใด สงครามการเมืองที่ใช้ความจงรักภักดีเป็นเครื่องมือจึงเป็นสงครามที่โหดร้ายกับทุกฝ่ายและไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
แต่การผลักดันให้มีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและแก้ไขกฏหมายเรื่ององคมนตรีจากที่เคยให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งคณะองคมนตรีด้วยพระองค์เองทุกคนตามพระราชอัธยาศัยก็เปลี่ยนมาให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งคณะองคมนตรีโดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีแทนหรือยกเลิกตำแหน่งองคมนตรีไปเลยเท่านั้นเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้สถาบันกษัตริย์ไม่ถูกครหาหรือถูกตั้งข้อสงสัย ปลอดภัย มั่นคงและรอดพ้นจากการถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งจากนักการเมือง ทหาร ข้าราชการและประชาชนทั่วไปได้เพราะกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ปล่อยให้ใครต่อใครสามารถกล่าวหาใครก็ได้ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในที่สุดแล้วกฏหมายหมิ่นฯจะยังคงเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่เคยเป็นมาและพร้อมจะสร้างความเสียหายแก่สถาบันที่กฎหมายนั้นพยายามปกป้องทุกเมื่อเพราะในความเป็นจริงแล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถูกนำไปใช้เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของกษัตริย์ตามวัตถุประสงค์เดิมที่ให้มีกฏหมายฉบับนี้น้อยมากแต่กลับถูกนำไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางด้านการเมืองมากกว่าเป็นเท่าทวีคูณ
อีกทั้งเนื้อหาของกฏหมายเองก็ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตยที่ว่า ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายในฐานะที่แต่ละคนเป็นสมาชิกของสังคมเช่นเดียวกัน รวมไปถึงสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ประชาธิปไตยไทยสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและรัฐธรรมนูญของไทยเอง ประเทศไทยควรยกเลิกกฎหมายนี้ได้แล้ว
หากประเทศไทยสามารถยกเลิกกฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้ก็เท่ากับว่าเราสามารถขจัดหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้เกิดรัฐประหารออกไปได้นั่นเอง รับรองค่ะว่าการรัฐประหารจะกระทำได้ยากขึ้นกว่าเดิมเพราะในอดีตที่ผ่านมาเรื่อง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถูกนำมาเป็นอาวุธสำคัญให้กับคณะทหารนำมาอ้างในการก่อรัฐประหารเป็นประจำตัวอย่างล่าสุดก็รัฐประหาร 19 กันยาฯ
จึงอาจกล่าวได้ว่ากฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยของไทยโดยแท้ แต่จะมีนักกฎหมาย สส. คนใดที่หาญกล้าเปิดประเด็นในเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจังหรือเปล่ายังเป็นที่น่ากังขา
แต่ตัวผู้เขียนเองก็ไม่ได้หวังอะไรมากว่าประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยขึ้นครั้งใหญ่เพราะจนถึงบัดนี้กลุ่มคนที่สมคบคิดกันก่อรัฐประหารก็ยังลอยนวลอยู่ ยังไม่มีการจับตัวคนเหล่านี้มาลงโทษ ยังไม่มีการลดอำนาจกองทัพอย่างเป็นระบบ แม้เราได้รัฐบาลพลังประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งแต่ พลังประชาชนก็ยังไม่ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เพราะกลัวจะถูกมองว่าเข้ามาแก้แค้นเลยเล่นบทประณีประนอมกันเป็นอย่างนั้นไป ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่การแก้แค้นแต่มันคือการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฏหมายบ้านเมือง ซึ่งในหลายประเทศที่มีการรัฐประหาร หลังได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลจะลงโทษคนที่ก่อรัฐประหารและลดอำนาจกองทัพด้วยกันทั้งนั้น แต่ประเทศไทยยังปล่อยให้กลุ่มคนที่ก่อรัฐประหารล้มล้างอำนาจประชาชนอยู่เป็นหอกข้างแคร่กับประชาธิปไตยต่อไป
อย่าได้แปลกใจเลยเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งหลายหากรัฐประหารยังคงอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไป
แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 51 00:24:55
จากคุณ :
เอื้องอัยราวัณ
- [
2 พ.ค. 51 00:22:18
A:71.7.152.236 X:
]