สถานการณ์ยื้อ-ยัน (3) คตส.เพลี่ยงพล้ำ-ปม"สถาบัน"ร้อน
คอลัมน์ เดินหน้าชน
โดย จุฬาลักษณ์ ภู่เกิด
หลังจากเครือข่ายต้านการแก้รัฐธรรมนูญ 50 ใช้ประเด็นเดิมๆ ลดทอนความชอบธรรมของพรรคพลังประชาชนและแนวร่วม ไม่ว่าจะตอกย้ำปมแก้เพื่อตัวเอง การปูทางสู่รัฐประหารเงียบ กระทั่งพยายามโยงว่าการเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้แทนปี 50 เท่ากับเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญตาม ม.68 เป็นการขัดพระราชปณิธานหรือคำปรารภในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยยังย้ำว่าความขัดแย้งรุนแรงที่จะเกิดขึ้นอาจนำไปสู่วิกฤตและจุดจบของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แต่เมื่อไม่เป็นผลเพราะวิปรัฐบาลยังเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้งนายสมัคร สุนทรเวช ก็สามารถดึงหัวหน้า 5 พรรคร่วมรัฐบาลมาพูดคุยกันจนเป็นที่เข้าใจ นำไปสู่การตกลงแยกบทบาทที่ชัดเจนให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของสภา ส่วนรัฐบาลจะมุ่งแก้ปัญหาประเทศ จากนั้นรัฐบาลก็เดินหน้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการผู้น้อย เกาะติดปัญหาราคาสินค้าและพลังงาน ทำให้ข้อกล่าวหา "สนใจแต่จะรื้อรัฐธรรมนูญ ไม่สนใจทุกข์ร้อนชาวบ้าน" คลายน้ำหนักไปในระดับหนึ่ง
อีกผ่ายจึงต้องพลิกเกม จากการประสานเครือข่ายให้มุ่งแก้ ม.291 เพื่อเปิดทางสู่การยื้อเวลาตั้ง ส.ส.ร.3 แต่พอเห็นว่าอาจตกหลุมพรางรัฐบาลได้ ก็เปลี่ยนเป็นให้ใช้ไปก่อนสัก 1 ปี แล้วค่อยแก้ พร้อมเรียกร้องให้ 5 พรรคร่วมบอยคอตไม่ยอมให้พรรคพลังประชาชนล็อคคอตีเข่า แต่กลายเป็นว่าในการโหวตเลือกประธานสภาคนใหม่แทนนายยงยุทธ ติยะไพรัช เพื่อมาคุมเกมแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเป้า นายชัย ชิดชอบ ที่ถูกตั้งแง่สารพัดกลับลอยลำเข้าป้ายด้วยคะแนนเกือบเอกฉันท์จาก 5 พรรค ยกเว้นพรรคชาติไทยที่ยังโชว์ลีลา "กั๊ก" เพื่อเกมต่อรองตามสไตล์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้บรรยากาศในซีกพรรคร่วมรัฐบาลส่อรอยร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง และให้หลังเพียง 3 วัน นายชัยก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นประธานสภา ทำให้แนวโน้มที่จะมีการเปิดสภาฯสมัยวิสามัญเพื่อแก้รัฐธรรมนูญในเดือนมิถุนายนนี้มีความเป็นไปได้สูง
ประเด็น "สถาบัน" จึงถูกพรรคประชาธิปัตย์นำมาเปิดเกม "รุก" หนักอีกยก หลังปมจาบจ้วงองคมนตรีเริ่มซา โดยพุ่งเป้าไปที่คำปาฐกถาต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าเต็มไปด้วย "ทัศนคติอันตราย" พร้อมโยนเผือกร้อนให้นายกฯต้องเร่งจัดการ ซึ่งดูเหมือนนายสมัครจะล่วงรู้และพูดดักทางไว้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้วว่า จะมีคนเตรียมสร้างเงื่อนไขปฏิวัติ โดยอ้างปมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและเป้าหมายก็จะอยู่ที่นายจักรภพ
อย่างไรก็ตาม การตอกลิ่มทำลายความน่าเชื่อถือก็ยังคงดำเนินควบคู่กันไป โดยทันทีที่มีการย้ายนายวีรชัย พลาศรัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปนั่งตบยุงในตำแหน่งเอกอัครราชทูต ประจำกระทรวงต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ก็ตกเป็นเป้าถล่มโยงใยถึงเอกสารลับในคดีซีทีเอ็กซ์ที่ คตส.กำลังปิดแฟ้มเตรียมฟ้อง คตส.บางคนถึงขั้นประกาศจะมามอบดอกไม้ให้กำลังใจนายวีรชัยด้วยตัวเอง ขณะที่มีการปูดประเด็น "บัตรสนเท่ห์" ว่าข้าราชการอึดอัดถึงขั้นจะยกทีมออกและแต่งดำประท้วง แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีอะไรในกอไผ่
ล่าสุด การที่ศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองมีมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสถานะและการต่ออายุของ คตส.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก่อนจะพิจารณารับคดี ตามการร้องขอของจำเลยคดีหวยบนดินซึ่งเป็นคดีแรกที่ คตส.ฟ้องเอง ส่อเค้าว่าอาจกระทบถึงอีกเกือบทุกคดีที่ คตส.ต้องฟ้องเองเพราะเห็นไปคนละทางกับอัยการ
เกมต่อสู้ทางการเมืองช่วงนี้จึงอยู่บนพื้นฐานการชิงไหวชิงพริบในข้อกฎหมายแทบจะล้วนๆ เพื่อคานกับขบวนการตุลาการภิวัตน์ ซึ่งส่อเค้าว่าสถานการณ์ยื้อ-ยันจากนี้อาจมีพลิก โดยเฉพาะหลังนายสมัครเข้าเฝ้าฯ
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act04170551&day=2008-05-17§ionid=0130
จากคุณ :
sao..เหลือ..noi
- [
17 พ.ค. 51 05:52:43
A:58.8.168.25 X:
]