แถลงการณ์พรรคประชาธิปัตย์
ตามที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ส่งคำร้องถึงอัยการสูงสุดกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 66 (2) และ (3) และคณะกรรมการของสำนักอัยการสูงสุดมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำร้องนั้น
พรรคประชาธิปัตย์ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อพี่น้องประชาชนและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศ ดังต่อไปนี้
1) การดำเนินการของ กกต.ต่อกรณีดังกล่าว มีความไม่ชอบมาพากลตลอดมา นับตั้งแต่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพรรคไทยรักไทยให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาชุดหนึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ มีนายสุริยา ทรงวิทย์ เป็นประธาน ซึ่งได้ตั้งประเด็นการสอบสวนความผิด 6 ข้อ ต่อพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในการเรียกหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไปให้ปากคำในฐานะพยาน ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการกลับซักถาม สอบสวน ในประเด็นทั่วไปที่ไม่ตรงกับข้อกล่าวหาแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องขอดูสำเนาเอกสารคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อดูว่าจะสอบสวนเรื่องใดบ้างก็ได้รับการปฏิเสธ
2) การดำเนินการของคณะอนุกรรมการของ กกต. ต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันจากคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะผู้มีอำนาจเต็มต่อการชี้ความผิดในกรณีนี้ โดยเฉพาะก่อนที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพียงไม่กี่ชั่วโมง นายสุริยา ทรงวิทย์ ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระบุชัดเจนว่า คณะอนุกรรมการยังสอบสวนไม่เสร็จ จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดได้อย่างไร ทั้งยังยอมรับด้วยว่าตนเองพูดอะไรมากไม่ได้ ขอให้สอบถามกับประธาน กกต. (พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ) เพราะที่ผ่านมาถูกกำชับเรื่องการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า กกต.ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างรวบรัด ตัดตอน มีพิรุธ ทำให้กระบวนการสืบสวน สอบสวนข้อเท็จจริง ในชั้นของ กกต.ไม่โปร่งใส และขาดความเที่ยงธรรม
3) ข้อกล่าวหาทั้ง 6 ข้อ ที่ กกต.ตั้งเป็นประเด็นเพื่อกล่าวโทษพรรคประชาธิปัตย์ ตามคำร้องของพรรคไทยรักไทย ล้วนเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย ใส่ร้ายป้ายสี และปราศจากมูลความจริงโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการพร้อมแนบเอกสารคำชี้แจงไปแล้ว ดังนี้
3.1) พรรคประชาธิปัตย์ขอปฏิเสธว่ามิได้เข้าร่วมหรือมีมติให้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อล้มล้างรัฐบาลแต่อย่างใด สำหรับการเดินทางไปพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้บริหารสื่อมวลชนในเครือผู้จัดการ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 เป็นการไปรับฟังความเดือดร้อนของสื่อมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากการแทรกแซงสื่อเท่านั้น
3.2) การเสนอขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน มิได้เป็นไปเพื่อล้มล้างรัฐบาล หรือเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายแต่ประการใด หากแต่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอแนวทางของการแก้ไขปัญหาของประเทศเพื่อให้เกิดความปรองดอง และเพื่อให้การเมืองการปกครองเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย มิใช่เป็นการกระทำนอกเหนือรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย โดยข้อเสนอที่ชัดเจนคือ เสนอให้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง และขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลใหม่ อันจะเป็นไปตามเงื่อนไขของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 มิได้เสนอขอให้มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในขณะที่ยังมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอยู่
3.3) การที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ มติของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 328 (2) อีกทั้งไม่มีกฎหมายฉบับใดระบุว่าการไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทำผิดกฎหมาย หรือล้มล้างระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วพรรคการเมืองที่ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งทุกพรรคต้องถือว่ากระทำผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน
3.4) พรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่า การรณรงค์ให้ผู้ใดไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน กฎหมายอนุญาตให้กระทำได้ การรณรงค์ของสมาชิกพรรคมิได้กระทำผิดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใด ทั้งนี้ ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 51 กำหนดให้บัตรเลือกตั้งต้องมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนนไว้ และมาตรา 56 ให้สิทธิกับผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ผู้สมัครคนใดทำเครื่องหมายกากบาทในช่องไม่ลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งดังกล่าวได้ด้วย
3.5) กรณีข้อกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้างพรรคชีวิตที่ดีกว่า พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ให้ใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่น ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีพฤติการณ์ หรือมีมติ หรือมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารพรรค หรือสมาชิกพรรคคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนไปดำเนินการจ้างพรรคการเมืองทั้งสามดังกล่าวให้ใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่นตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกรณีการจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นเรื่องของพรรคการเมืองบางพรรคที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบเขตเพียงพรรคเดียว และวิตกว่าจะได้คะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละ 20 อาจจะส่งผลให้ กกต.ไม่สามารถประกาศรับรองผลการเลือกตั้งได้ จึงพยายามจ้างพรรคการเมืองเล็กๆ ให้ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้วิธีคำนวณเอาคะแนนร้อยละ 20 มาเป็นเกณฑ์ในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้มีข้อมูลหลักฐานชัดเจนจากการสรุปผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการชุดหนึ่งที่ กกต.แต่งตั้ง และส่งผลให้ กกต.ต้องชี้มูลความผิดและส่งเรื่องถึงอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญตามกระบวนการอยู่ในขณะนี้
3.6) ในเรื่องข้อกล่าวหาว่าขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ขอชี้แจงว่า ไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าวแต่ประการใด ข้อเท็จจริงคือ มีการชุมนุมของผู้รักประชาธิปไตย และไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มิได้มีการขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามที่มีผู้ร้องเรียน พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้กระทำผิดกฎหมายด้วยการขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน
4) ข้อกล่าวหาของ กกต.ที่ส่งไปยังอัยการสูงสุด ขมวดปมใน 2 ประเด็นสำคัญคือ กรณีการเสนอใช้มาตรา 7 และการจ้างพรรคเล็กไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่าการเสนอใช้มาตรา 7 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกประการตามคำชี้แจงข้างต้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ยอมรับว่าเงื่อนไขที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสนอเรื่องการใช้มาตรา 7 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ จึงเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่จะกล่าวหาว่าเป็นข้อเสนอที่ขัดกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนกรณีการจ้างพรรคเล็กให้ล้มเลือกตั้ง เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง และไม่ได้อยู่ในข้อกล่าวหาที่แจ้งให้พรรคประชาธิปัตย์ทราบก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะไปจ้างให้พรรคการเมืองขนาดเล็กล้มการเลือกตั้ง เพราะขัดกับแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคที่ยึดมั่นการทำงานการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด 60 ปี อีกทั้งถ้าต้องจ้างเพื่อล้มการเลือกตั้งก็ต้องจ้างทุกพรรคการเมืองซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น
พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะแสดงข้อมูลหลักฐานเพื่อยืนยันถึงความบริสุทธิ์ต่อข้อกล่าวหาทั้งหลายข้างต้น เพื่อธำรงไว้ซึ่งความถูกต้องและแบบอย่างที่ดีงามในระบอบประชาธิปไตยต่อไป
27 มิถุนายน 2549
จากคุณ :
chiangraiplusสวัสดี
- [
27 พ.ค. 51 15:45:32
A:222.123.22.140 X:
]