PANTIP.COM : P6647633 นายอภิสิทธิ์ และสมาชิกพรรค ปชป. มีทัศนะคติที่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบบประชาธิปไตย.... []

ความคิดเห็นที่ 2

อภิสิทธิ เวชชาชีวะ กับทัศนคติที่อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่งยวด

ทัศนคติที่เป็นอันตราย ตามที่คุณอภิสิทธิ เวชชาชีวะ กล่าวหาคุณจักรภพ เพ็ญแข ตามที่เป็นข่าวในสื่อมวลชนทุกแขนงเมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมคงจะไม่กล่าวถึงข้อกล่าวหาในประเด็นนี้เพราะพี่น้องที่มีจิตวิณญาณแห่งเสรีชน ในทุก ๆ ภาคส่วนของสังคมจะเป็นผู้ตัดสินใจและที่สำคัญที่สุด กระบวนการยุติธรรม จะเป็นจุดสุดท้ายที่จะตัดสินว่าสิ่งที่คุณอภิสิทธิ ฯ กล่าวหา นั้นจะเป็นจริงหรือไม่

แต่คำกล่าวหาที่ว่า “ทัศนคติที่อันตราย” ตามที่ท่านอภิสิทธิได้กล่าวออกมานั้น มันทำให้ผมอดฉุกคิดไม่ได้ว่าคำว่า ทัศนคติที่เป็นอันตรายนั้น จะนำมาย้อนถามผู้ที่พูดคำ ๆ นี้ได้บ้างหรือไม่

ย้อนหลังไปเมื่อ ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมา คงจำกันได้ว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ รัฐประหารในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ความสั่นคลอนของระบอบประชาธิปไตย มีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับการทำลายระบบรัฐสภา อย่างมีนัยที่สำคัญอย่างยิ่ง การรับลูกส่งลูกกันระหว่างพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย กับพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้นมีลักษณะส่งลูกในการเล่นให้ซึ่งกันและกันมาโดยตลอด พรรคการเมือง ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง โดยอ้างว่าไม่พร้อม ทั้ง ๆ ที่อาชีพของตนเองคือต้องส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง เพื่อให้การแก้ไขด้วยระบบรัฐสภาไม่สมารถจะขับเคลื่อนได้ ซ้ำร้ายยังบังอาจทูลขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี จากพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา ๗ หน้าตาเฉย วิกฤติการเมืองที่ไม่สามารถจะแก้ตามครรลองที่ถูกต้อง หรือให้ประชาชนทั้งประเทศร่วมแก้ไข ได้กลายเป็นเหตุกลียุค อันทำให้กองทัพฉวยโอกาสเข้ามาล้มรัฐบาลที่มาจากความต้องการของประชาชน แบบรู้กันหึ่งไปทั่วประเทศว่าอะไรมันคืออะไรใครอยู่เบื้องหลังบ้าง

หลังจากใช้กลอุบายอันแยบยลปล้นอำนาจประชาชนสำเร็จอย่างงดงาม โดยไม่ผ่านกระบวนการตามครรลองของระบบรัฐสภา ทั้ง ๆ ที่ตนเองและคนในพรรคก็อ้างว่าพรรคการเมืองของตนเป็นสถาบันการเมืองที่มีอายุยืนยาวมากว่า ๖๐ ปี ประชาธิปัตย์ในยุคที่มีท่านอภิสิทธิ เป็นผู้นำจึงได้เข้าสู่กระบวนการแข่งขันตามครรลองของการเลือกตั้ง ชนิดที่มีแต้มต่อในการแข่งขันในสนามการเมืองสูงอย่างยิ่ง แบบที่ไม่มีครั้งไหนอีกแล้ว ที่ถนนเข้าสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์จะโรยด้วยกลีบกุหลาบขนาดนี้ พรรคที่จะร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์ในฝันได้วางตัวไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย บุคคลที่อยู่บนเวทีพันธมิตรคนสำคัญ ที่มีบทบาททำให้มีการปล้นอำนาจประชาชนสำเร็จ ได้รับการปูนบำเหน็จ ขึ้นเป็นขุนพล ในพรรคฯ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ จนมีบางคนฝันหวานในเก้าอี้เสนาบดีไปล่วงหน้า ผู้กุมอำนาจด้วยปากกระบอกปืนได้รับการสัญญาไว้ลับ ๆ แต่หึ่งไปทั่วสื่อมวลชนที่ไปเจาะมาได้ว่า จะได้รับการอวยยศเป็นรองนายกด้านความมั่นคงควบรัฐมนตรีกลาโหม เพื่อแสดงความสมานท์ฉัน ไว้ล่วงหน้าแต่......

“ประชาธิปัตย์คิดผิด”

ขบถประชาชน ในคูหาเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ มันทำให้พรรคการเมืองเก๋าเกมอย่างประชาธิปัตย์แทบจะกระอักมาเป็นโลหิต ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ชักธงรบ แสดงออกเจตจำนงค์อย่างแน่วแน่ว่า ต่อแต่นี้จะมีปล้นอำนาจของประชาชนไม่ได้ง่าย ๆ อย่างในบางยุคบางสมัยแล้ว

เมื่อประชาชน ขบถ ย่อมเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าบางชนชั้นในสังคมย่อมยอมไม่ได้ กับการลงทุนลงแรง สุมหัวกันโค่นล้มอำนาจของประชาชนไปหมาด ๆ ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันล้มรัฐบาลที่แล้วจึงต้องกลับมามีบทบาทในการที่จะปล้นอำนาจอีกครั้ง โดยมีข่าวเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ ว่า ครั้งที่แล้วทำไม่สำเร็จ ครั้งนี้ต้องเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่าเดิม

แต่พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคผู้จบเศรษฐศาสตร์ มหาบัณฑิต จากประเทศต้นแบบของระบบรัฐสภาทั่วโลก ก็มิได้นำพา หรือมีความสำนึกในการต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง การต่อสู้ในระบบรัฐสภาถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ระบบล้มรัฐบาลด้วย MOB กลับกลายเป็นสิ่งที่ใช้ในบ้านนี้เมืองนี้ แทน เหมือนฉายหนังม้วนเก่าก่อนเกิดเหตุรัฐประหารครั้งล่าสุด อย่างกับ Copy กันมา ทุกข้อกล่าวหาจากปากของพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนแต่เป็นชนวนเหตุแก่การเกิดสงครามกลางเมืองทั้งสิ้น กับการกล่าวหาล่าสุดในการพิสูจน์ความจงรักภักดี ทั้ง ๆ ที่รู้กันทั้งประเทศว่าไม่ควรนำเรื่องสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่อำนาจของฝ่ายการเมือง ประชาธิปัตย์เริ่มเข้าสู่พรรคการเมืองที่อิงระบบ รัฐประหารอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ไม่ว่าจะส่งคนที่มีเคยมีความใกล้ชิด หรือส่ง สส.ในพรรคของตนเอง ขึ้นเวทีเพื่อปลุกระดมประชาชน ตามแผนที่วางกันไว้ล่วงหน้า

ประชาธิปัตย์คิดหรือว่าการรัฐประหารอีกครั้ง จะง่ายดายเหมือนครั้งที่แล้ว ประชาธิปัตย์คิดหรือว่ารัฐประหารอีกครั้งแล้วประชาชนจะยอมศิโรราบหันมาเลือกคนในพรรคประชาธิปัตย์เพื่อแสดงความยินยอม ประชาธิปัตย์คิดหรือว่าท่านจะมีความสง่างามในการเป็นรัฐบาลกับการอุปถัมภ์ ที่มาจากทหารบางส่วนในกองทัพ และที่สำคัญท่านได้ทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงในปี ๒๔๗๕ อย่างน่าละอายใจเป็นที่สุด การปล้นอำนาจของประชาชนในสมัยก่อนนั้นเขาทำกันโดยคณะบุคคล บางกลุ่มบางคณะในกองทัพ ข้อนั้นยังพอเข้าใจได้ว่า เขาไม่ได้มีพรรคการเมือง แต่การปล้นอำนาจประชาชน ของพรรคการเมืองแบบนี้ ถือเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อคำว่าระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเคยลงโทษมาครั้งหนึ่งแล้ว ยังไม่เข็ดอีกหรือ หรือว่าต้องให้ลบคำว่า ประชาธิปัตย์ ออกไปจากสารบบของคำว่า “พรรคการเมือง”

เอามาแจมครับ ที่มา
http://www.thaifreenews.com/index.php?name=politics&file=readpolitics&id=225

จากคุณ : สายลมรัก - [ 27 พ.ค. 51 16:52:51 A:203.131.220.2 X:203.131.222.6 ]