คอลัมน์
เลือกคบไม่เลือกข้าง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2306 ประจำวัน พุธที่ 11 มิถุนายน 2008
โดย กาหลิบ
ศาสดา
ต้องยอมรับว่าข่าวกลุ่มพันธมิตรฯถูกสร้างขึ้นมาให้เอะอะมะเทิ่ง และดึงดูดความสนใจของสังคมจนถึงขั้นกลบข่าวสำคัญที่ควรจะเป็นวิกฤตแท้จริงของบ้านเมืองไปได้ ตามกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อที่เรียกกันว่า การเบี่ยงเบนความสนใจ (distraction)
ข่าวสำคัญนั้นคือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยยังไม่ยอมให้ฝ่ายประชาธิปไตยแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขาร่างขึ้นมาด้วยมือได้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่เป็นของอำมาตย์แท้ๆนี่ละครับ
สื่อมวลชนและนักวิชาการกระแสหลักจะโง่หรือแกล้งโง่ก็ไม่รู้ได้ แต่แทบจะไม่มีใครชี้ประเด็นเลยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้
แต่ละคนนั่งเป็นเบื้อคอยให้คนของกลุ่มพันธมิตรฯเริ่มต้นให้ก่อน แล้วก็ไปคอยเก็บขี้ปากเขามาทำข่าวหรือทำเป็นประเด็นให้สัมภาษณ์ของวันนั้น
เหมือนพันธมิตรฯพูดอะไรคนเหล่านี้ก็เฮละโลตามไปด้วย เหมือนสนธิลิ้มเป็นศาสดาพยากรณ์อย่างไรก็อย่างนั้น
ตัวคุณสนธิเองนั้นไม่นานแกคงจะเปลี่ยนชื่อเป็นรัสปูตินให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ไหนๆก็ใกล้เต็มทีแล้ว เสกมนต์คาถาอะไรคนเหล่านี้ก็รับเชื่อหมด
ความจริงคิดดูแล้วก็พอกัน ฝ่ายหนึ่งเชื่อหมอดูรัสปูลิ้ม ส่วนอีกฝ่ายกอดอยู่กับหมอดูเขมร คงเจริญดีทั้งสองฝ่าย แต่ละคนจึงไม่แสดงความเป็นผู้นำอันสมควรแก่เหตุ นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้บ้านเมืองหลุดจากบรรยากาศของการรัฐประหารเสียที ขณะนี้อัตราความเจริญเติบโตและเงินเฟ้อก็หนักหนาเต็มทีแล้ว ไม่คิดถึงประเทศชาติก็จงคิดถึงลูกหลานของตัวเองบ้าง การเพิกเฉยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในทำนองว่าไม่แก้ก็ได้ บ้านเมืองจะได้ไม่มีปัญหา เป็นวิธีการมองที่สิ้นคิดเป็นที่สุด เพราะคนที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีเพียงกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่รู้ดีอยู่ในใจว่าทั้งสองก๊วนนี้คืออะไร และเป็นตัวแทนของใคร แล้วจะไปกลัวเกรงอะไรเขา เขาสิจะต้องกลัวเรา เพราะพลังประชาธิปไตยบัดนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว อุตส่าห์กดขี่กันแทบล้มประดาตาย เอาอาวุธสงครามออกมาขู่ประชาชนไม่รู้จักกี่ครั้ง จัดเลือกตั้งเพื่อพรรคเพื่อพวกไม่รู้จักกี่หน ก็ไม่มีปัญญาจะทัดทานอะไรได้จริง ได้แต่ยันกันไปอย่างนั้น
นี่คือความถดถอยของฝ่ายอำมาตย์อย่างเห็นได้ชัด เพราะครั้งหนึ่งเคยฆ่าและทำร้ายใครก็ได้ที่ขวางทางตนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะรับเชื่อไปตามกลไกโฆษณาชวนเชื่อที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ไม่อยากหืออยากอืออะไรนัก แต่บัดนี้เกิดอาการแข็งขืน เป็นอารยะขัดขืนของแท้ อย่างพันธมิตรฯน่ะไม่ใช่อารยะขัดขืนหรอกครับ เป็นอนารยะข่มขืนมากกว่า ก็มีแต่ความมืดดำ มัวเมาในอำนาจผลประโยชน์ และความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีแม้แต่น้อยคำที่จะเห็นความหวังของประเทศอยู่ในนั้น แล้วมันจะอารยะตรงไหน ฝ่ายประชาธิปไตยรับคิวมาจากคนพรรค์นี้ไม่ได้ ต้องเดินหน้าเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่ต้องฟังเสียงใครอีกแล้ว ศาสดาตัวจริงน่ะไม่มีหรอกครับ
จากคุณ :
นักกวนเมือง
- [
11 มิ.ย. 51 14:09:59
A:58.8.189.38 X:
]