คอลัมน์
เลือกคบไม่เลือกข้าง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2307 ประจำวัน พฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2008
โดย กาหลิบ
คดีไทย
วันนี้ในเวลา ๐๙.๐๐ น. มีข่าวว่าคุณจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปรับฟังข้อกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กองปราบปรามฯ ซึ่งถือเป็นขั้นแรกของการดำเนินคดีหลังจากที่ถูกกล่าวหาและลาออกจากตำแหน่งมาแล้ว
ข่าวในเรื่องนี้ประโคมกันไปทั่วโลก เพราะนอกจากรัฐมนตรีจะเป็นผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ผู้สื่อข่าวต่างประเทศระดับอาวุโสของ BBC คือโจนาธาน เฮด ที่ทำหน้าที่ดำเนินรายการในวันนั้น ก็ถูกกล่าวหาเสียหลายคดีด้วย
สรุปใจความว่ารัฐมนตรีคนหนึ่งกับนักข่าวฝรั่งอีกคนหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรม หมิ่น องค์พระมหากษัตริย์ไทยโดยตรง
ถูกกล่าวหาในเมืองที่ว่ากันว่าจริงจังกันอยู่เพียงเรื่องเดียวคือ เรื่องของสถาบันฯ เรื่องอื่นๆถือเป็นเรื่องเด็กเล่น หรือ childs play ทั้งนั้น ไม่ต้องมีหลักการอะไรติดตัวมาจากบ้านเลย แม้แต่หลักนิติธรรมและคุณธรรม หรือหลักการประชาธิปไตย
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องขนาดคอขาดบาดตายในประเทศนี้
ปัญหาคือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของใคร...คุณจักรภพ คุณโจนาธาน หรือมือและเท้าที่มองไม่เห็นของผู้หนึ่งผู้ใด
คำตอบในเรื่องนี้อาจเป็นการวิเคราะห์สังคมไทยอย่างถึงรากถึงโคนได้ ในการศึกษาเรื่องไทยนั้น โดยส่วนตัวผมชอบวลี ไทยคดี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำหนดให้เป็นคำแปลของคำว่า Thai studies และตั้งเป็นสถาบันในชื่อนี้มานานแล้ว งานวิจัยหลายเรื่องของท่านลึกซึ้งเป็นที่สุด ทำให้เราเข้าใจตัวเองทั้งในแง่บวกและลบเป็นอันมาก แต่ถ้ากลับเสียหน่อย จากไทยคดีมาเป็น คดีไทย จะพบว่าข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคราวนี้ออกจะเป็นคดีที่นำเอาสังคมไทยขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาเลยทีเดียว มีผู้เล่นทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นมากมายเต็มอัตราศึก จะเรียกว่าเป็นทัพหลวงหรือทัพหลักก็ไม่น่าจะเกินจริง คดีไทย ในเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่คุณจักรภพรับเชิญไปร่วมอภิปรายเป็นภาษาอังกฤษให้ผู้สื่อข่าวต่างชาติฟังที่ FCCT หรือสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๐ และคุณจักรภพก็บรรยายเรื่องของระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทยขึ้นมา ระหว่างนั้นเมืองไทยอยู่ภายใต้ระบอบทหารที่ยึดอำนาจมาตั้งแต่วันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นั่นคือ คมช. และรัฐบาลบริหารประเทศอยู่ในขณะนั้น คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ตัวคุณจักรภพเองเป็นแกนนำการประท้วงอยู่ในสนามหลวงอยู่ทุกค่ำคืน โดยกระทำในนาม นปก. หรือแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ สิ่งที่น่าแปลกใจคือ พูดเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่คนพูดเป็นที่จับตามองของฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจอยู่ในเวลานั้นอย่างตาไม่กะพริบ จะว่าไม่รู้หรือรู้แล้วเพิกเฉยคงจะไม่ได้ ก็ต้องสงเคราะห์ว่าผู้มีอำนาจทั้งหลายในครั้งนั้นไม่เห็นว่าคำบรรยายนั้นมีความหมิ่นเหม่หรือผิดกฎหมาย
แต่พอ ๑๐ เดือนให้หลัง กลับมีนายตำรวจยศพันตำรวจโทคนหนึ่งซึ่งมาช่วยราชการอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน เข้าแจ้งความว่าคุณจักรภพกระทำผิดกฎหมายตามมาตรา ๑๑๒ หลังจากที่คุณจักรภพได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีตัดสินใจทันทีว่าคุณจักรภพจะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวน และหากพบว่ามีมูลก็ต้องพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยสมบูรณ์ คุณจักรภพก็เปิดแถลงข่าวว่าตกลงตามนั้น ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย และระบอบประชาธิปไตยจะสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วย แต่แล้วการเมือง ภายใน สังคมไทย ทั้งฝ่ายที่อยู่ ในรั้ว และ นอกรั้ว ก็กดดันมาที่ตัวนายกรัฐมนตรีอย่างหนักหน่วงจนปรอทเกือบแตก ในที่สุดคุณจักรภพก็ต้องเปิดแถลงข่าวอีกครั้งหนึ่งในตอนเที่ยงของวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม คราวนี้ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี มือและเท้าที่มองไม่เห็นในงานนี้ บอกอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยมากทีเดียว โดยเฉพาะในแง่ที่ว่าคนไทยเราไม่เคยถูกสอนให้มีอุดมการณ์หรือหลักการอะไรกับใครเขา ความรักและศรัทธาในเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยก็เป็นของใหม่เอี่ยม แทบจะเรียกได้ว่ายังไม่หยั่งราก พอคนที่เป็นปฏิปักษ์และกรำศึกกันมานานปีเขาเกิดจะ เกี๊ยะเซียะ กันขึ้นมา ก็ต้องมีการเซ่นสังเวยกันบ้าง แล้วเครื่องสังเวยใดจะเหมาะไปกว่าคนที่ดันมีอุดมการณ์และหลักการ ซึ่งเป็นคนพันธุ์ประหลาดที่ผิดแผกไปจากทั้งสองฝ่ายเล่า?
จากคุณ :
นักกวนเมือง
- [
12 มิ.ย. 51 11:38:39
A:58.8.188.19 X:
]