ชิลี...นรกทั้งเป็นของนักรัฐประหาร
14 มิ.ย. 2008 - 02:14:46 น.
เมื่อคืนผมได้อ่านรายงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในชิลี ซึ่งเป็นสาธารณรัฐที่กำลังงอกงามทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาใต้ หลังผ่านยุคทหารครองเมืองมาแล้ว 18 ปี
อ่านแล้วก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ถึงเวลาจะผ่านมานานนักหนาแล้ว แต่การไล่ล่าหาผู้รับผิดชอบในการทำลายประชาธิปไตย และละเมิดสิทธิผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองของเขายังเข้มข้นไม่เปลี่ยนแปลง รู้สึกว่าชาวชิลี (ความจริงน่าจะเรียกชาวชิเลียน) นี่เขารักประชาธิปไตยและรู้เจ็บรู้จำกันดีจริง
ความจริงผู้นำเผด็จการตัวหลักในยุคนั้น พลเอกออกุสโต้ ปิโนเชต์ ก็ตายไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าเป็นเมืองไทยคงจะรีบลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และสร้างอนุสาวรีย์ให้ เพราะเมืองไทยชอบคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าระหว่างมีชีวิตอยู่จะเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน พอตายแล้วกลับยกย่องเป็นเทวดากันทุกคน
คงเพราะว่าคนตายแข่งขันกับเขาไม่ได้แล้วละกระมัง
เป็นที่รู้กันดีว่า ปิโนเชต์คือจอมยุทธ์ในการวางเครือข่ายอำนาจ ตัวเขาในฐานะผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจจากประธานาธิบดีซัลวาดอร์ อัลเยนเด้ จนเลือดท่วมทำเนียบ (อัลเยนเด้ถูกยิงจากด้านหลังจนตาย) สถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี และครองอำนาจมานาน 17 ปี และมาลาออกเอาในปี พ.ศ.2533 เขาได้วางคนไว้ในทุกระดับของกองทัพและหน่วยงานพลเรือนที่เป็นฐานอำนาจ ถึงจะลาออกมาแล้วและลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ก็มั่นใจได้ว่ามีฐานอำนาจคุ้มกันตนเองอยู่ต่อไป ปิโนเชต์จึงคงความเป็นผู้มีอิทธิพลในชิลีตราบจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต
คงจะเพราะเหตุนี้เอง ความตายของปิโนเชต์จึงทำให้การแสวงหาความยุติธรรมคึกคักขึ้น ไม่รู้เพราะ บารมี ของอดีตผู้นำเผด็จการที่เคยคุ้มครองได้อยู่ บัดนี้มันลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือแล้วหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แนวคิดว่าตายไปแล้วก็เลิกกันไปดูเหมือนจะไม่มีในชิลี วัฒนธรรมสังคมของเขาจึงแตกต่างจากของไทยที่มักมีความทรงจำสั้น ของเขาจำฝังใจและรอเวลา บัดนี้ก็ดูเหมือนว่าเวลานั้นมาถึงแล้ว
ผู้พิพากษาคนหนึ่งของชิลีเป็นผู้เปิดประเด็นใหม่ ด้วยการยื่นฟ้องเพื่อเอาผิดกับทหารจำนวน 98 คนที่เป็นลูกน้องของปิโนเชต์ในครั้งนั้น ที่ได้ร่วมกับเจ้านายของตนก่อการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อปี พ.ศ.2516 (พร้อมกับที่เมืองไทยได้ประชาธิปไตยกลับมาเชยชมเล่นชั่วคราว) และเอาผิดต่อเนื่องในข้อหาต่างๆ ระหว่างที่ทหารเรืองอำนาจอยู่ด้วย โดยแบ่งออกเป็น 3 ฐานความผิด คือ ลักพาตัว ทรมาน และฆาตกรรม ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งชิลีในขณะนี้
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดในคดีนี้คือ ทหารเหล่านี้เป็นคนระดับผู้ใต้บังคับบัญชา พูดง่ายๆ ว่า รับคำสั่งเขามาปฏิบัติ มิหนำซ้ำโดยเงื่อนเวลาแล้ว หลายคนในครั้งนั้นยังเป็นทหารใหม่ๆ บางคนเพิ่งจบการศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อยด้วยซ้ำ นี่คือประเด็นที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามจะหักล้างอยู่อย่างจริงจังไม่แพ้กัน
ครับ เป็นประเด็นที่น่าคิดมากสำหรับผู้รักประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทุกคนในโลกนี้
ในการรัฐประหารทำลายประชาธิปไตยแต่ละครั้ง ความรับผิดชอบสำหรับคนที่เป็นหัวหน้าคณะ ผู้บริหารร่วม และคนที่เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ควรมีความแตกต่างกันอย่างไร หากเกิดความผิดอย่างร้ายแรงขึ้น อย่างในกรณีชิลีที่มีคนตายและหายสาบสูญไปถึง 3,000 คน ในห้วงเวลา 17 ปี ควรจะเฉลี่ยรับความผิดกันหรือไม่ หรือผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีความผิดเลย?
ดูกรณี นายพลกอนซาโล ซานเตลิเซส เป็นตัวอย่าง
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง เขาได้ลาออกจากราชการในกองทัพบก เพราะถูกฟ้องในคดีสังหารโหดนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายถึง 14 คน หลังการยึดอำนาจในครั้งนั้นไม่นานนัก เขายอมรับว่ามีส่วนกระทำความผิดนั้นจริง แต่อุทธรณ์ต่อสังคมว่าในเวลานั้นเขาเป็นเพียงทหารหนุ่มอายุ 20 ปี เพิ่งจบโรงเรียนนายร้อยมาใหม่ๆ จะไปขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างไรได้
ตอนที่อายุ 20 ปี ผมทำตามคำสั่งเหมือนลูกศรที่พุ่งเข้าเป้าเลยทีเดียว เขาว่า
ความเห็นของเขาสอดคล้องกับฝ่ายตรงข้ามตัวเขาคนหนึ่งคือ โฮเซ่ กุซมาน ซึ่งเป็นทนายความที่สู้กับระบอบปิโนเชต์มาชั่วชีวิต แต่ในกรณีนี้กุซมานกลับเห็นใจซานเตลิเซส เขาพูดดังๆ ผ่านสื่อว่า ถึงจะต้องต่อสู้กับเผด็จการที่ฝังตัวอยู่ขนาดไหนก็ตาม แต่ตัวเขาไม่เห็นว่าควรนำ กองทัพทั้งกองทัพ มาขึ้นศาล
แต่ กาเบรียลล่า ซูนิก้า ภรรยาผู้สูญเสียสามีไปในครั้งนั้น ไม่เห็นด้วย
เธอยืนยันว่าคนทุกคนไม่ว่าเป็นทหารหรือพลเรือน ย่อมมี ทางเลือก และการกล่าวอ้างว่าต้องฆ่าคนอื่นๆ เพราะต้องทำตามคำสั่งนั้นไม่พอเพียง แสดงถึงความอ่อนแอทางจริยธรรมและไม่ยอมรับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จึงสมควรได้รับโทษทัณฑ์ตามระบบกฎหมาย
การถกเถียงอย่างนี้ดังไปทั่วประเทศชิลี ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม ก็ทำให้ชาวชิเลียนได้ถามตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ชีวิตของมนุษย์แต่ละคน เสรีภาพของเรา และประชาธิปไตยในบ้านเมืองนั้น มันมีความสำคัญพอที่เราจะต่อสู้อย่างถวายหัวเพื่อให้ได้มาและรักษาไว้หรือไม่ ผมอ่านแล้วก็ซึ้งใจว่า เขาใช้ประชาธิปไตยของเขาได้คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นคน
เท่าที่รู้มา ฝ่ายประชาธิปไตยในชิลีเขาไม่กระต้วมกระเตี้ยม อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เดี๋ยวนี้ยังเห็นภาพกลุ่มมวลชนเพื่อประชาธิปไตยที่ล้อมบ้านนายทหารที่เป็นของระบอบปิโนเชต์เก่าอยู่บ่อยๆ ไปคอยปราศรัย โห่ร้อง เคาะกะโหลกกะลาจนคนในบ้านอยู่ไม่ได้ บางคนต้องย้ายบ้านหนี บางคนหอบลูกย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น และบางบ้านก็เกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ถึงขั้นหย่าร้างกันเพราะเหตุนี้
บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย อย่าง เยอรมัน เบอร์ริก้า (เยอรมันเป็นชื่อต้นของเขา) กระโดดลงมาจากชั้น 18 ของอพาร์ตเมนต์กลางกรุงซานติอาโก้ ลงมาสู่ความตาย เมื่อถูกสอบสวนเอาความผิดในการร่วมรัฐประหาร และเจอกรรมวิธี ฟูน่า คือการเค้นเอาชื่อของบุคคลอื่นๆ ที่จะซัดความผิดต่อไปได้
หลักการของฝ่ายประชาธิปไตยในชิลีคือ การรัฐประหารถือเป็นความผิดชั่วชีวิต ไม่มีอายุความ ไม่มีเลิกรา เมื่อได้ประชาธิปไตยมาแล้วก็ต้องไล่ล่ากันไปจนกว่าโลกสลาย จุดประสงค์คือเพื่อมิให้ทหารรุ่นหลังคิดกำเริบเสิบสานอย่างนั้นอีก
ปรัชญาในเรื่องนี้ของชาวชิเลียนจึงปรากฏอยู่ในคำ 4 คำ คือ
justice (ความยุติธรรม)
reconciliation (ความสมานฉันท์)
punishment (การลงทัณฑ์)
forgiveness (การให้อภัย)
ประเด็นของเขาคือ จะทำอย่างหนึ่งโดยไม่มีอีกอย่างหนึ่งมิได้ จะใช้วิธี ลืม ลูกเดียว (แบบไทย) โดยไม่แสวงหาความยุติธรรมและปราศจากการลงทัณฑ์มิได้ หรือจะมุ่งลงโทษกันโดยไม่มีแนวคิดเรื่องความสมานฉันท์และการให้อภัยเสียเลยก็มิได้เช่นกัน
คดีทหาร 98 คนที่กำลังตึงตังอยู่ในประเทศชิลีขณะนี้ จึงเป็นกรณีศึกษาของทุกประเทศที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งในเมืองไทยด้วย เพื่อตอบคำถามอันสำคัญยิ่งว่า นรกของนักรัฐประหารคือสวรรค์ของนักประชาธิปไตยใช่หรือไม่
ซึ่งจะต้องขุดหัวใจออกมาตอบกันต่อไป
จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา
http://www.prachatouch.com/content.php?id=5884
ที่ไป (ป้ายต่อไป)
สยามประเทศ
จากคุณ :
นักกวนเมือง
- [
15 มิ.ย. 51 11:40:57
A:58.8.192.38 X:
]