ปตท.ระบุ ถูกบิดเบือนข้อมูล แจงโครงสร้างราคา น้ำมัน-กำไรจากเงินปันผล [25 มิ.ย. 51 - 04:57]
นายสรัญ รังคสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ชี้แจงผลการดำเนินงานอันเป็นที่มาของรายได้ และกำไรของ ปตท.ในปี 2550 โดยระบุว่า ปตท.มียอดขายเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,495,806 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 97,803 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อยอดขาย 6.5% โดยยอดขายดังกล่าวมาจากการดำเนินธุรกิจพลังงานที่หลากหลาย ครบวงจร และมีประสิทธิภาพของบริษัทแม่ และกลุ่มบริษัทในเครือ ซึ่งประกอบด้วย
ส่วนแรก เป็นกำไรจากผลประกอบการของ ปตท. เองจำนวน 40,376 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41% ของผลกำไรทั้งหมด แบ่งเป็น กำไรจากการทำธุรกิจโดยตรง 35,517 ล้านบาท คิดเป็น 36% ที่เหลือ 4,859 ล้านบาท หรือ 5% เป็นกำไรจากการขายหุ้นบริษัทในเครือ ซึ่งไม่ได้มาจากการประกอบธุรกิจปกติ
สำหรับกำไรในส่วนที่ 2 จำนวน 57,427 ล้านบาท หรือ 59% ของกำไรทั้งหมด มาจากบริษัทที่ ปตท.ลงทุน และกอบกู้ฐานะไว้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งธุรกิจสำรวจ และผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (PTTEP), บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP, บริษัท ปตท.อะโรเมติก และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR และบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ทั้งนี้ กำไรจากบริษัทต่างๆเหล่านี้ เป็นตัวเลขทางบัญชีที่แต่ละบริษัทได้ส่งยอดรวมให้ ปตท.เพื่อรายงานฐานะ และผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่เม็ดเงินจริงๆที่ ปตท. ได้รับในรูปเงินปันผลมีเพียง 19,000 ล้านบาท
นายสรัญกล่าวด้วยว่า กำไร และเงินปันผลที่ ปตท.ได้รับในแต่ละปี จะถูกนำไปใช้ในการลงทุนในธุรกิจต่างๆเพื่อเตรียมการสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพทางพลังงานให้ประเทศ โดยเฉพาะ ปตท. ได้วางแผนก่อสร้างท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2551-2555) ด้วยเงินลงทุน 241,211 ล้านบาท โดยในปี 2551 ปตท.มีแผนการใช้เงินลงทุนในโครงการดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น 65,000 ล้านบาท ภายใต้แผนการลงทุนเพื่อการวางท่อส่งก๊าซเร่งด่วนและสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี เป็นต้น
ที่กล่าวหาว่า กำไรของ ปตท.และโรงกลั่นในปี 2550 สูงถึง 169,438 ล้านบาท และเป็นกำไรจากการตั้งราคาน้ำมันแพงกว่าที่ควร เป็นการบิดเบือนข้อมูล ทั้งเป็นการนับกำไรของโรงกลั่นในกลุ่ม ปตท.ซ้ำด้วย เพราะกำไรทางบัญชีของ ปตท.ได้รวมกำไรของโรงกลั่นตามสัดส่วนที่ ปตท.ถือหุ้นไว้แล้ว หากนำกำไรของแต่ละบริษัทมารวมอีกเท่ากับนับซ้ำ นอกจากนี้ กำไรของโรงกลั่นแต่ละแห่งไม่ได้มาจากค่าการกลั่นเพียงอย่างเดียว แต่มาจากธุรกิจของบริษัทในเครือ การลดหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และการขายสินทรัพย์ด้วย
สำหรับราคาขายปลีกน้ำมัน ก็เป็นราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนตลาดโลก และค่าการตลาดที่ได้รับในขณะนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างต่ำ เพราะค่าการตลาดที่เหมาะสมควรมีราคาเฉลี่ย 1.50 บาท เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมัน ทุกรายสามารถอยู่ได้ ส่วนสาเหตุที่ราคาขายปลีกน้ำมันของไทยค่อนข้างสูง เนื่องจากโครงสร้างราคาน้ำมันมีภาษีต่างๆสูง กล่าวคือ น้ำมันดีเซลต้องเสียภาษีรวม 6.45 บาทต่อลิตร เบนซินเสีย 11.63 บาทต่อลิตร
นายสรัญยังจำแนกโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันแต่ละลิตรให้ดู พบว่า น้ำมันเบนซิน 91 ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นน้ำมันขณะนี้อยู่ที่ 29.33 บาทต่อลิตร บวกภาษีสรรพสามิต 3.68 บาท ภาษีเทศบาล 0.36 บาท เงินส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3 บาท ภาษีอนุรักษ์พลังงาน 0.75 บาท รวมเป็นราคาขายส่ง 37.13 บาทต่อลิตร ณ ราคานี้ จะบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) อีก 7% หรือ 2.59 บาท จึงจะเป็นราคาขายปลีกเบื้องต้น 39.73 บาท เสร็จแล้วจึงบวกค่าการตลาดเข้าไป ซึ่ง ณ วันที่ 24 มิ.ย. ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.17 บาท เสร็จแล้วบวกภาษีมูลค่าเพิ่มรอบที่ 2 อีก 0.08 บาท จึงจะออกมาเป็นราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการน้ำมันของ ปตท.ซึ่งจะทำให้น้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 40.99 บาทต่อลิตร
สำหรับราคาขายปลีกหน้าโรงกลั่นของน้ำมัน ดีเซลอยู่ที่ 35.67 บาท บวกภาษีสรรพสามิต 2.30 บาท ภาษีเทศบาล 0.23 บาท ภาษีกองทุนอนุรักษ์พลังงาน 0.25 บาท รวมเป็นราคาขายส่ง 38.16 บาท บวกแวต 2.67 บาท รวมเป็นราคาขายส่งบวกแวตที่ 40.83 บาท บวกค่าการตลาดอีก 0.94 บาท และบวกแวตรอบที่ 2 อีก 0.06 บาท จะได้ราคาหน้าปัมที่ 41.84 บาทต่อลิตร
นายสรัญกล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ มีรายได้ 489,890 ล้านบาท มีกำไร 26,133 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 5.3% ของยอดขาย แยกเป็นกำไรของ ปตท.11,836 ล้านบาทหรือ 45% และเป็นกำไรจากบริษัทที่ ปตท.เข้าไปร่วมลงทุน 14,297 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% และหากแยกเป็นผลกำไรรายธุรกิจ จะพบว่ามีกำไรจากโรงกลั่นน้ำมัน 4,690 ล้านบาท หรือคิดเป็น 18% ธุรกิจปิโตรเคมี 3,052 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ธุรกิจที่ ปตท.เข้าไปร่วมลงทุน 11,836 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45% ปตท.สผ. 6,008 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23% และธุรกิจอื่นๆของ ปตท.อีก 540 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% แต่ในส่วนของธุรกิจน้ำมัน ยังประสบการขาดทุนยังไม่มีผลกำไรในไตรมาสแรก ในรอบ 5 เดือนแรกปีนี้ ปตท.แบกภาระการตรึงราคาขายปลีกให้กับประชาชนไปแล้ว 6,000 ล้านบาท.
http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic&content=94716
แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 51 10:39:27
จากคุณ :
Giuseppe
- [
25 มิ.ย. 51 10:37:59
A:216.138.78.8 X:
]