กรณีปราสาทพระวิหารหรือปราสาทหินเขาพระวิหาร คือประเด็นหนึ่งที่เปรียบเสมือนแผลเก่าระหว่างชนชาติไทยกับชนชาติเขมร แผลเก่ารอยนี้คงไม่มีวันจางหายไปจากความทรงจำของชนชาติทั้งสองไม่ว่าวันเวลาจะเนินนานสักเพียงใด และในมุมกลับกัน แผลเก่ารอยนี้ยังพร้อมจะอักเสบได้ตลอดเวลาและยังสามารถถูกนำไปใช้เป็นประเด็นทางการเมืองได้ทุกยุคทุกสมัย ประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร มิใช่ประเด็นการเมืองภายในของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นปมประเด็นสำคัญที่สามารถส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่สำคัญยิ่ง เพราะทั้งไทยและเขมรต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์เหนือเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยกัน
หากจะกล่าวในด้านสถาปัตยกรรมอันวิจิตรแล้ว ปราสาทพระวิหารคือเทวาลัยที่สุดแสนจะโดดเด่นเหนือเทือกเขาพนมดงรัก ที่นักโบราณคดีพร้อมใจยกย่องให้เป็นศรีศิขเรศรหรือเพชรยอดมงกุฏแห่งองค์ศิวะเจ้า และยังยอมรับว่าเป็นผลงานชิ้นหนึ่งของชนเผ่าขะแมร์ภายใต้การปกครองของกษัตริย์แห่งตระกูลยโสวรมัน สุริยวรมัน และชัยวรมัน ซึ่งมีอายุก่อนสมัยสุโขทัยประมาณ 300 ปี
แต่เมื่อมองในมุมรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แล้วเรื่องนี้มีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์แห่งรัฐ เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแห่งรัฐ ที่ยากจะยอมกันได้โดยง่าย
ตามความเข้าใจของผู้เขียน กรณีปราสาทพระวิหารอาจจะไม่ใช่ระเบิดเวลาที่ทำร้ายและทำลายความรู้สึกและมิตรภาพของไทยกับเขมร ถ้าไม่มีลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกภายใต้การนำของฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นหากท่านผู้อ่านต้องการจะเข้าใจเรื่องนี้ให้ถ่องแท้แล้ว ขอแนะนำให้กลับไปศึกษากรณี ร.ศ. 112 ที่ฝรั่งเศสยกกองทัพเข้ายึดดินแดนของสยามไปหลายจุด จนเป็นเหตุให้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงต้องทรงลงพระนามในสัตยาบันกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนเสียมเรียบ พระตะบองและศรีโสภณให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับดินแดนจันทบุรี ตราดและเขตอำเภอด่านซ้ายในจังหวัดเลย
หากจะพูดแบบหาเรื่องก็คือฝรั่งเศสในยุคจักรวรรดินิยมนั่นแหละคือตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างไทยกับเขมร เพราะฝรั่งเศสคือตัวการที่สร้างเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส ครั้นเมื่อฝรั่งเศสมอบคืนเอกราชให้กับเขมร เขมรจึงได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนปราสาทพระวิหาร
แน่นอนว่ากระแสการเมืองสยามในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง สยามประเทศมีอำนาจด้อยกว่ามหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสโดยมิต้องปฏิเสธ นโยบายเรือปืนของมหาอำนาจตะวันตกในยุคนั้นทำให้สยามประเทศไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจำใจยอมรับแรงบีบคั้นและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาธีรภาพส่วนใหญ่ของพระราชอาณาจักรไว้
ส่วนกรณีที่ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปีพ.ศ. 2505 นั้นก็เป็นเรื่องที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน แต่เมื่อสถานการณ์ที่สุดแสนจะเลวร้ายฉากนี้ มันผ่านเลยไปแล้ว 46 ปี เราก็ควรจะฝังความทรงจำที่แล้วร้ายไว้ใต้ดินโดยไม่จำเป็นต้องขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก เพราะมันหาประโยชน์อันใดมิได้
เราควรจะคิดถึงมันในฐานะบทเรียนประวัติศาสตร์ แต่ไม่ควรให้ประวัติศาสตร์หน้านี้กลับมาเป็นต้นเหตุให้คนไทยกับคนเขมรต้องเข่นฆ่ากัน แน่นอนเหลือเกินว่าคนไทยที่มีความคิดและมีจิตสำนึกคงไม่ต้องการดึงปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของเรา เพราะเราไม่ต้องการให้ชาวเขมรเจ็บช้ำน้ำใจ ขณะเดียวกันเราก็ไม่ต้องการเสียดินแดนใดๆของเราให้กับใครอีก เพราะแผ่นดินใครใครก็รัก
ทางออกที่ดีที่สุดคือ หาทางสร้างผลประโยชน์แห่งชาติร่วมกันเพื่อความสมานฉันท์ของราชอาณาจักรทั้งสอง
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
http://www.naewna.com/news.asp?ID=111240
จากคุณ :
sao..เหลือ..noi
- [
29 มิ.ย. 51 10:27:58
A:58.8.170.160 X:
]