ความคิดเห็นที่ 8
6.เสนอทำประชามติให้ประชาชนเลือกระหว่างรัฐธรรมนูญ 2540 กับ 2550 การที่กลุ่มซึ่งล้มรัฐธรรมนูญ 2540 กระทำไปโดยไม่ได้รับฉันทามติใดๆ จากประชาชนเลยในการล้มล้าง แล้วนำเอารัฐธรรมนูญ 2550 มาใช้ จนก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่นที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ดร.อุกฤษ เสนอทางเลือกอีกทางหนึ่งแทนการแก้ไขมาตราบางมาตรา และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น นั่นคือการนำเอารัฐธรรมนูญ 2 ฉบับมาเป็นตัวตั้ง แล้วให้ประชาชนเลือกเอาฉบับใดฉบับหนึ่งไปเลยด้วยการลงประชามติ
มิฉะนั้น ความขัดแย้งก็จะไม่มีวันจบสิ้น ให้มีการนำเอารัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับมาตีแผ่ในแต่ละมาตราในรายละเอียด ให้เวลาที่เท่าเทียมกัน เช่น 3 เดือน สำหรับการให้โอกาสในการรณรงค์ชี้แจงความเหมาะสมของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ
โดยผู้สนับสนุนฉบับใดก็ออกไปเคลื่อนไหวชี้แจงรายละเอียดความดีงามเหมาะสมของฉบับนั้นให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่วิธีนำ 309 มาตรา ที่น้อยคนนักจะได้ทำการศึกษาครบถ้วน เอาไปให้ประชาชนลงมติ แล้วก็ลงประชามติยอมรับกันไปเพื่อให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว หรือรับเพราะกังวลว่าคณะรัฐประหารจะนำรัฐธรรมนูญฉบับไหนก็ได้มาใช้ หรือด้วยการให้คำมั่นว่าจะแก้ไขภายหลัง หรือแม้แต่การใช้อำนาจรัฐกดดันให้ยอมรับอย่างที่กระทำมาในครั้งก่อน
การลงประชามติให้เลือกฉบับใดฉบับหนึ่งนั้นชัดเจนที่จะแสดงความต้องการที่แท้จริงของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยว่า สนับสนุนหลักการใดในการปกครองประเทศ ระหว่างรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญและอำนาจแก่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญและอำนาจแก่กลุ่มอำมาตย์ ที่ใช้อำนาจที่มาครองเมืองโดยไม่ได้รับฉันทานุมัติใดๆ จากประชาชน
จากนั้นก็นำเอาจุดบกพร่องที่พบในรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเลือก มาทำการปรับปรุงแก้ไขด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้น เอาส่วนดีที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ไม่ผ่านการลงประชามติ มาปรับเข้ากับฉบับที่ประชาชนลงประชามติให้เลือกใช้ เช่น เรื่องการแสดงทรัพย์สินหนี้สิน ซึ่งต้องครอบคลุมทุกคนที่เข้ามามีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง หรือราชการอื่นใด ทั้ง นายกรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา รัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในทางนโยบาย คณะกรรมการต่างๆ ที่ตั้งขึ้นตรวจสอบผู้อื่นก็ต้องแสดงทรัพย์สินด้วยเพื่อเป็น Fair Play ของทุกฝ่าย
การเลือกแก้เป็นบางมาตรานั้น ทำให้เกิดความขัดแย้งและวิกฤติ แก้ก็แก้ทั้งหมด หรือเลือกฉบับใดฉบับหนึ่งไปเลย เพราะทีละมาตราก็ต้องใช้เวลายาวนาน อาจมีการถ่วงเวลาในการแก้ ถ้าในสภามีการสงวนคำแปรญัตติกันเป็นร้อยมาตราแล้ว คงต้องใช้เวลานานเป็นปีในการแก้ แต่ถ้าแก้ยกฉบับ เพียง 3 เดือนก็อาจจะเสร็จสมบูรณ์ได้
ส่วนข้ออ้างเรื่องค่าใช้จ่าย 2,000 ล้านบาทในการทำประชามติที่ นางสดศรี สัตยธรรม นำขึ้นมาอ้างนั้นฟังไม่ขึ้น บริษัทธุรกิจบางแห่งที่มียอดขายเพียง 5,000 ล้านบาท ยังพร้อมที่จะใช้เงิน 2,000 ล้านบาท ยกเครื่องเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตทั้งหมด เพราะเมื่อทำแล้วจะทำให้ยอดขายสูงเป็นหมื่นล้านบาท การเสียค่าใช้จ่าย 2,000 ล้านบาท แลกกับการตัดสินอนาคตของประเทศว่าจะปกครองด้วยรัฐธรรมนูญที่ประชาชนยอมรับนั้นอาจจะถูกเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะในขณะนี้ประเทศชาติกำลังสูญเสียโอกาสไปแล้วหลายแสนล้านบาท
จากการที่รัฐบาลติดอยู่กับปลักตมของรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากประชาชน จนไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างคล่องตัวแม้แต่น้อย ที่สำคัญก็คือ ต้องนำงบประมาณ 2,000 ล้านบาทนั้น มาอธิบายข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญให้กระจ่างชัด อย่างการชี้ให้ประชาชนได้เห็นชัดเจนว่า ประชาธิปไตยคืออะไร หลักนิติธรรมคืออะไร รัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำมาให้ประชาชนลงมติเลือกนั้น ฉบับไหนมีข้อเสียข้อดีอย่างไร
7.การนำมาให้ประชาชนเลือกระหว่าง 2 ฉบับจะแก้ปัญหาได้หลายอย่าง เพราะไม่จำเป็นต้องมาผจญปัญหาการวิพากษ์วิจารณ์รายมาตราอย่างแก้เป็นมาตรา เช่น ไม่ต้องกล่าวถึงมาตรา 237, 309 เพราะมันจะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องวันแมนวันโหวต เลือกตั้ง 400 คน หรือ 2,000 คน ไม่ต้องมาวิพากษ์กันอีกว่า ทำไมจังหวัดเล็กๆ จึงมีสิทธิมีวุฒิสมาชิก 1 คนเท่ากับจังหวัดที่มีขนาดมหึมากว่า เพราะมันได้ยุติไปแล้วกับรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550
หากประชาชนเลือกรัฐธรรมนูญ 2540 และในทางกลับกัน ปัญหาการถกเถียงต่างๆ ก็จะยุติลง หากรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นที่ยอมรับของประชาชน การแก้ไขมาตราใดก็ทำได้ง่าย ไม่ต้องมาโต้แย้งกันอีกว่าที่มานั้นมาจากระบอบเผด็จการ หรือมีการบีบบังคับ และใช้เล่ห์กลในการลงประชามติครั้งแรก เพราะประชาชนตัดสินใจเองที่จะเลือกรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ควรเอาการแก้ทีละมาตรามาตั้งเป็นสมมติฐานขั้นต้น เพราะก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์โดยการไม่ยอมกัน
จากคุณ :
civil affair
- [
30 มิ.ย. 51 21:37:49
A:58.9.186.249 X:
]
|
|
|