ชี้แจงก่อนว่าประเด็นสำคัญที่พูดถึงในวันนี้มิได้มีวัตถุประสงค์ก้าวล่วงตุลาการ แต่ต้องการอธิบายถึงความเกี่ยวเนื่องของอำนาจทั้ง ๓ โดยขอเริ่มต้นที่อำนาจตุลาการก่อนว่ามีความสัมพันธ์กับกฎหมายอย่างไร
ตุลาการต้องอาศัยกฎหมายเป็นหลักในการอธิบายถึงเหตุผลแห่งการวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆ ดังนั้นแม้ตุลาการจะเป็นผู้มีความเที่ยงธรรม แต่หากตัวบทกฎหมายที่ตุลาการนำมาใช้อ้างอิงมีความขัดแย้งต่อหลักนิติธรรมหรือมิได้เป็นไปตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ย่อมทำให้ผลการพิจารณาคดีความขาดความยุติธรรมหรืออาจขัดต่อหลักกฎหมายสากล อาทิ การใช้อำนาจทางกฎหมายลงโทษย้อนหลังตามประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหาร ซึ่งได้ทำให้ตุลาการที่นำตัวบทกฎหมายเหล่านั้นมาใช้สูญเสียความน่าเชื่อถือ
ในยุคปัจจุบันประเทศไทยมิได้เป็นประเทศที่ไม่เป็นที่รู้จักอย่างบางประเทศในทวีปแอฟาริกา ประเทศไทยไม่ใช่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่ยังเป็นประเทศภาคีของสหประชาชาติ เคยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในความเป็นประชาธิปไตย ตุลาการจึงควรคำนึงถึงภาพพจน์ของสถาบันในสายตาประชาคมโลกด้วย
ถึงเวลานี้คงต้องยอมรับกันได้แล้วว่าอำนาจตุลาการกำลังมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตศรัทธา เนื่องจากที่ผ่านมามีตุลาการบางส่วนได้แสดงทัศนคติและบทบาทในทางการเมืองในลักษณะมีอคติขาดความเป็นกลางทางการเมือง ตุลาการหลายท่านได้รับตำแหน่งสำคัญทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติ ในฝ่ายตุลาการ และในองค์กรอิสระ จากการแต่งตั้งหรือการสนับสนุนของคณะรัฐประหาร ทั้งที่ตำแหน่งสำคัญเหล่านั้นตามธรรมเนียมจะต้องมีการสรรหาขึ้นใหม่เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ปัจจัยดังที่กล่าวมาส่งผลให้ประชาชนกว่าครึ่งของประเทศเกิดความคลางแคลงใจในความสุจริตและเที่ยงธรรมของตุลาการหลายท่านที่กำลังเป็นผู้ใช้อำนาจอยู่ในขณะนี้ ยิ่งตุลาการแสดงซึ่งการยอมรับในกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากเท่าไร ความศรัทธาที่ประชาชนมีต่ออำนาจตุลาการก็จะยิ่งตกต่ำลง
ตอนนี้หันมากล่าวถึงอำนาจนิติบัญญัติซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายโดยตรง ก็ต้องยึดหลักการเดียวกัน คือจะต้องทำให้กฎหมายทั้งที่ได้มีการบัญญัติไว้แล้วหรือกฎหมายใหม่ที่จะให้มีการตราเพื่อบังคับใช้มีความถูกต้องตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อาทิ หลักการแบ่งแยกอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ ต้องมีความชัดเจน สามารถตรวจสอบถ่วงดุลกันได้ทั้งหมด
ประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรมจะต้องได้รับการแก้ไขหรือระงับยับยั้งไม่ให้สามารถมีผลบังคับใช้โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติ อาทิ มาตรา ๒๓๗ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นักกฎหมายจำนวนมากเห็นว่าขัดต่อหลักการพื้นฐานของกฎหมาย เนื่องจากมาตรา ๒๓๗ ได้กำหนดการลงโทษไม่เฉพาะต่อผู้กระทำความผิด แต่ยังอาจไปมีการลงโทษผู้อื่นที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มาตรา ๒๓๗ จึงเป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ตามคำกล่าวที่ว่า การไม่ลงโทษผู้กระทำผิดสิบคน ยังไม่เลวร้ายเท่ากับการลงโทษผู้บริสุทธิ์คนเดียว
แต่เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ปรากฏว่าบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะรัฐประหาร มาโดยตลอด ได้แก่ กลุ่มพันธมิตร นักวิชาการ สื่อมวลชน บางส่วน ได้ปลุกกระแสกล่าวหาโจมตีว่าเป็นการแก้กฎหมายเพื่อหนีการทำความผิดบ้าง การแก้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนบ้าง
ที่น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่งคือแม้แต่พรรคฝ่ายค้านซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ได้ตั้งป้อมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ในช่วงหาเสียงพรรคฝ่ายค้านก็ได้ให้สัญญาประชาคมไว้ว่าขอให้ประชาชนเห็นชอบรัฐธรรมนูญไปก่อนแล้วค่อยแก้ไขในภายหลัง
นอกจากพรรคฝ่ายค้านจะไม่ใส่ใจต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารแล้ว พรรคฝ่ายค้านยังร่วมมือกับ สว. สรรหา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ประชาชนว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะรัฐประหาร พยายามหาช่องทางต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ เพื่อกดดันฝ่ายบริหาร โดยดูคล้ายประหนึ่งว่าพรรคฝ่ายค้านและสว. สรรหา มีเป้าหมายทางการเมืองเดียวกัน คือหวังให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
ในช่วงการลงประชามติ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ถูกวิจารณ์จากหลายฝ่ายทั้งนักการเมือง สื่อมวลชน นักวิชาการ บางส่วน ว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย บทบัญญัติหลายมาตรามีความขัดแย้งกันเองและขัดต่อหลักนิติธรรม ที่สำคัญคือนักกฎหมายมหาชนที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์วิษณุ เครืองาม อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือแม้แต่ อาจารย์ มีชัย ฤชุพันธ์ ก็ได้ท้วงติงว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อบกพร่อง ใครมาเป็นรัฐบาลจะเหนื่อยยากมาก เป็นรัฐธรรมนูญที่มีความอันตรายอยู่ในตัว ในห้วงเวลานั้นทุกฝ่ายรวมทั้งกลุ่มพันธมิตรก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นจึงเชื่อว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครกล้าปฏิเสธข้อเสียในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่ต่างก็ทำเป็นนิ่งเฉยเสียเพียงเพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารจะทำให้เป้าหมายทางการเมืองที่ได้วางไว้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยมิได้นำพาว่ารัฐธรรมนูญที่มีปัญหาได้ทำให้อำนาจอธิปไตยของปวงชนนั้นถูกนำไปใช้อย่างผิดๆ จนส่งผลย้อนมาสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนและความเสียหายต่อประเทศชาติ
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยอำนาจอธิปไตยมีองค์ ๓ คือ อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร แต่ในขณะนี้ความศรัทธาที่สังคมไทยเคยมีต่ออำนาจตุลาการกำลังดิ่งลง เพราะตุลาการอาศัยบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและหลักประชาธิปไตยมาใช้อ้างอิงในการวินิจฉัยอรรถคดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ส่วนอำนาจนิติบัญญัติก็ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและหลักประชาธิปไตยได้ เพราะเครือข่ายของผู้สนับสนุนคณะรัฐประหารทั้งในและนอกสภาเข้าขัดขวางกันอย่างเป็นระบบ แถมพรรคฝ่ายค้านซึ่งเป็นส่วนสำคัญในอำนาจนิติบัญญัติก็ได้สร้างรอยด่างด้วยการไม่แสดงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซ้ำยังมุ่งแต่จะนำเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารมาสร้างความได้เปรียบในเกมการเมือง
ส่วนอำนาจบริหารแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะต่างก็รู้กันดีว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนารมณ์ลดทอนอำนาจของฝ่ายบริหารอยู่แล้ว ยิ่งมาถูกการเคลื่อนไหวทั้งนอกสภาสอดประสานกับพรรคฝ่ายค้านและ สว. สรรหาในสภา ใครมาบริหารก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเดี้ยง
เมื่อทั้งอำนาจตุลาการก็ ดิ่ง ลงในความเชื่อถือศรัทธา อำนาจนิติบัญญัติมีแต่รอย ด่าง เพราะมุ่งหวังแต่จะเล่นเกมการเมือง อำนาจบริหารก็ เดี้ยง เพราะบริหารยากลำบาก เมื่ออำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ อำนาจมีปัญหาทั้งหมด ผู้ที่ได้รับเคราะห์ก็คือประชาชนนั่นเอง
แต่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ก็อาจไม่รู้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน เผลอๆประชาชนยังกลับจะเกิดความท้อแท้เบื่อหน่ายว่าระบอบประชาธิปไตย ไม่เห็นจะได้ความ อย่ากระนั้นเลยยอมไปซุกอยู่ใต้อำนาจของระบอบเผด็จการยังจะเข้าท่าเสียกว่า ทั้งที่สาเหตุมาจากบรรดากฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่พวกเผด็จการอำนาจนิยมได้วางยาเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
ในที่สุด ประเทศไทยได้สถาปนาการเมืองใหม่ สมใจใครบางคน !!!
จากคุณ :
จำปีเขียว
- [
11 ก.ค. 51 18:54:57
A:125.25.21.200 X:
]