โพสต์: solomix ID#173627 | เมื่อ: 2550-05-20 23:32:07
ข้อเท็จจริงที่ประชาชนชาวไทยควรทราบ
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 นายสัก กอแสงเรือง และนายแก้วสรร อติโพธิ ได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้ตั้งข้อกล่าวหาว่า “ท่านนายกฯทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีการแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ให้ บริษัท ชินคอร์ป และเป็นการทุจริตคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งถือเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
ผมได้ติดตามข่าวสารที่ นายแก้วสรร แถลงออกมาแล้วรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมต่อท่านนายกฯทักษิณ และหากผมไม่นำข้อเท็จจริงมาชี้แจงเปิดเผยแล้วหล่ะก็ สังคมไทยอาจจะหลงเชื่อนายแก้วสรร
ผมจึงขอสรุปประเด็นข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ . .
“ผมในฐานะที่เคยนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการ พิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกิจการโทรคมนาคม ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ในสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2540-2547 มาโดยตลอด และเคยเรียนเชิญ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) กรมสรรพสามิต เข้าชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ กรณีการแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือส่วนหนึ่งไปเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งรัฐบาลของท่านนายกฯทักษิณ ได้ออกเป็นพระราชกำหนด หรือ กฎหมาย เมื่อครั้งรัฐบาลทักษิณ 1 ผมในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยก็เกิดข้อสงสัยว่า การออกกฎหมายเช่นนี้ บริษัทมือถือของท่านนายกฯทักษิณ และบริษัทมือถือรายอื่นๆ น่าจะได้รับประโยชน์ และรัฐบาลทักษิณ น่าจะมีวาระซ้อนเร้น แต่จากคำชี้แจงของเจ้าของสัมปทานไม่ว่าจะเป็น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด เพราะเม็ดเงินค่าสัมปทานส่วนแบ่งที่ทั้ง 2 หน่วยงานได้รับในแต่ละปีและต้องนำส่งกระทรวงการคลังในทุกๆสิ้นปี เมื่อคำนวณตัวเลขออกมาแล้วใกล้เคียงกับตัวเลขการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต 2 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งหมายความว่า แทนที่กระทรวงการคลังจะได้รับเงินส่วนแบ่งจาก ทศท. และ กสท. ตอนสิ้นปีของทุกปี กระทรวงการคลังก็จะได้รับส่วนแบ่งจากสัมปทานมาใช้จ่ายก่อนทุกๆเดือน ในรูปแบบของการเรียกเก็บเป็นภาษีสรรพสามิต 2 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลก็จะมีเงินหมุนเวียนเพื่อมาใช้จ่ายในการบริหารประเทศชาติได้เร็วขึ้น
โดยเฉพาะคำชี้แจงของกรมสรรพสามิตว่าเหตุใดจึงต้องเรียกเก็บภาษี 2 เปอร์เซ็นต์ ทำไมไม่เรียกเก็บ 3 เปอร์เซ็นต์ 4 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ ผลปรากฎว่ากรมสรรพสามิตได้คิดคำนวณส่วนแบ่งผลกำไรจากค่าสัมปทานที่ ทศท. และ กสท. เคยได้รับและนำส่งให้แก่กระทรวงการคลัง ย้อนหลังไปหลายๆปี ปรากฏว่าคิดเฉลี่ยแล้วตัวเลขการจัดเก็บ 2 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมและใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด
ด้วยเหตุผลจากการชี้แจงของทั้ง 3 หน่วยงาน ข้อเท็จจริงจึงปรากฏว่า บริษัทมือถือของท่านนายกฯทักษิณ และรายอื่น ไม่ได้มีผลประโยชน์เพิ่มขึ้นและการออกพระราชกำหนดหรือกฎหมายฉบับนี้
ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีวาระซ้อนเร้นแต่ประการใด แต่ในทางกลับกันกลับทำให้รัฐบาลมีเงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายเป็นงบประมาณแผ่นดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ เพราะถ้าหากว่ามีผลประโยชน์ซ้อนเร้นและสร้างความเสียหายแก่รัฐจริง ผมเชื่อว่ากรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเช่นนี้ หรือพฤติกรรมอย่างนี้หลุดรอดไปได้เป็นแน่แท้ และรัฐบาลทักษิณก็คงจะถูกถล่มและถูกอภิปรายซักฟอกถอดถอนรัฐมนตรี ไอซีที นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ 1 เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว”
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวสรุปมาข้างต้นนี้ คงจะช่วยให้คนไทยได้รับทราบความจริง และการกล่าวหาของ คตส. ที่ไม่ได้มีการศึกษารายละเอียดต่างๆให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนที่จะกล่าวหาท่านนายกฯทักษิณ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
อดีตคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ร่างแก้ไข พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม
สภาผู้แทนราษฎรในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์
+++++++++++++++++++++++++++++
หมอเลี๊ยบ ท้าชน แก้วสรร แจง ทักษิณ ไม่ผิด
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) แถลงกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติให้ตั้งข้อกล่าวหาและตั้งอนุกรรมการไต่สวน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์กิจการในเครือบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ว่า อยากเรียกร้องให้ คตส.อย่าตั้งข้อกล่าวหาเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผู้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการออกมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว เพราะในฐานะรับผิดชอบกระทรวงไอซีทีขณะนั้น ไม่ควรถูกละเว้น ขอให้ตั้งข้อกล่าวหาด้วย เพราะจะได้ให้ข้อมูลกับ คตส. ซึ่งเห็นว่าข้อมูลที่ คตส.รวบรวมได้ เป็นการรวบรวมข้อมูลเพียงด้านเดียว และเชื่อมั่นว่าจะให้ข้อมูลด้วยความบริสุทธิ์ใจกับ คตส. เพื่อให้มองอย่างรอบด้านมากขึ้น เพราะถือเป็นรัฐมนตรีคนแรกของกระทรวงไอซีที ซึ่งเข้ารับตำแหน่งช่วงต้นเดือนตุลาคม 2545 และได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนรับตำแหน่ง ซึ่งสิ่งที่จำได้ชัดเจนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไว้ คือ ให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อพัฒนากิจการด้านไอซีทีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ โดยไม่ต้องคำนึงถึงกิจการครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้เกิดการแข่งขันในกติกาที่เท่าเทียมกัน ซึ่งตลอดเวลาที่รับหน้าที่ในกระทรวงไอซีที พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายหรือสั่งการที่ทำให้ประเทศสูญเสียประโยชน์ เพราะเป็นที่ทราบดีว่ากิจการโทรคมนาคมมีผลประโยชน์มหาศาล ดังนั้น ทุกเรื่องในกระทรวงไอซีที พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยก้าวก่ายให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
อดีต รมว.ไอซีที กล่าวว่า เรื่องภาษีสรรพสามิตมีความละเอียดซับซ้อน ดังนั้นคนที่ไม่ได้ติดตาม อาจไม่เข้าใจ จึงต้องการสรุปเป็น 5 ประเด็น ดังนี้
1.กรณีที่นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการและเลขานุการ คตส.ระบุว่าเมื่อนพ.สุรพงษ์รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ก็พูดเรื่องนำภาษีสรรพสามิตมาในกิจการโทรคมนาคม จึงอยากบอกว่าถ้านายแก้วสรรได้อ่านข้อมูลที่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนในช่วงต้นที่รับตำแหน่ง จะรู้ว่าไม่มีการพูดถึงภาษีสรรพสามิตแม้แต่น้อย พูดแต่เรื่องการแปลสัญญาสัมปทาน ซึ่งยังไม่ได้พูดว่าจะใช้วิธีการใดที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้น คำกล่าวอ้างของนายแก้วสรร จึงผิดจากความจริงโดยสิ้นเชิงว่าได้พูดเรื่องภาษีสรรพสามิตตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดย
2.รัฐบาลกว่า 40 ปีที่ผ่านมา มอบหมายให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนรัฐ ให้บริการด้านโทรคมนาคมแก่ประชาชน แต่เมื่อมีการพัฒนามากขึ้น การให้บริการของหน่วยงานดังกล่าวไม่สามารถตอบรับความต้องการของประชาชนได้ ซึ่งจะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมา การขอโทรศัพท์บ้านต้องใช้เวลา 2-3 ปี และค่าใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลทั้งในและต่างประเทศ มีราคาสูง ซึ่งความเป็นจริงถือว่ากิจการโทรคมนาคมถูกผูกขาดโดยภาครัฐ จึงไม่สามารถเอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนได้ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญปี 40 กำหนดให้มีองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ คือ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพื่อทำหน้าที่ดูแลกำกับกิจการโทรคมนาคม จึงเป็นเหตุให้องค์การโทรศัพท์ฯ และการสื่อสารฯ ต้องแยกบทบาทเรื่องการดูแลให้กับ กทช. เหลือเพียงการให้บริการเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันมีแนวคิดแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่จะเป็นกระทรวงไอซีที ส่วนการแปรรูปการสื่อสารแห่งประเทศไทยเกิดขึ้นหลังมีกระทรวงไอซีทีแล้ว และเป็นความต้องการของพนักงาน ซึ่งขณะที่เข้ารับตำแหน่ง ยังถูกทวงถามจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของการสื่อสารแห่งประเทศไทยว่าทำไมแปรรูปช้า หรือเป็นเพราะต้องการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพนักงานมีความประสงค์จะแปรรูปเอง เพราะหลังการแปรรูปแล้ว พนักงานจะได้ผลประโยชน์มากมาย ทั้งเรื่องหุ้น เงินโบนัส
นพงสุรพงษ์ กล่าวว่า จากเหตุผลดังกล่าว ที่มี กทช.เกิดขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าสัญญาสัมปทานซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้ เมื่อก่อนรัฐให้กับองค์การโทรศัพท์ฯ และการสื่อสารฯ ในฐานะเป็นผู้กำกับดูแลและกำลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะต้องถูกแบ่งส่วนที่เป็นของรัฐกลับมาสู่กระทรวงการคลัง ไม่ใช่ติดตัวเข้าไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ด้วย จึงเป็นแนวคิดที่จะต้องมีส่วนแบ่งรายได้ เป็น 2 ส่วน คือ 1. เป็นขององค์การโทรศัพท์ฯ และการสื่อสารฯ และ 2. เป็นของกระทรวงการคลัง ซึ่งได้ข้อสรุปว่ารูปแบบดังกล่าวคือภาษีสรรพสามิต ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมาการใช้ภาษีสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้รับส่วนแบ่งรายได้ในรูปแบบภาษีสรรพสามิตเดือนละประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่วันนี้เมื่อยกเลิกไป รายได้ก็หายไปด้วย และกลับเข้าไปสู่รัฐวิสาหกิจ ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่กำกับดูแล เพียงแต่ให้บริการอย่างเดียว แต่มีรายได้ที่เป็นรายได้ของรัฐคงอยู่ในรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย และทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ารัฐวิสาหกิจนั้นมีกำไร ซึ่งที่จริงแล้วกำไรควรมาจากการประกอบธุรกิจที่แท้จริง ไม่ใช่ส่วนแบ่งรายได้ในฐานะที่เป็นตัวแทนของรัฐที่กำกับดูแล ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวคิดนำไปสู่การเก็บภาษีสรรพสามิต
3. กิจการโทรคมนาคมทุกวันนี้ยังคงมีความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท ซึ่งแนวคิดในขณะนั้นที่จำภาษีสรรพสามิตที่ได้มาจากการกิจการโทรคมนาคมนำไปสนับสนุนกิจการโทรคมนาคมในชนบท เช่น อินเทอร์เน็ตโรงเรียน ถ้าในวันนี้ไม่มีภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม หวังแค่การปันผลกำไรจากองค์การโทรศัพท์ฯ และการสื่อสารฯ แล้วรัฐบาลจะมีเงินพอหรือไม่ที่จะสร้างโครงข่ายกิจการโทรคมนาคมอย่างกว้างขวาง
4. มีการกล่าวหาว่าภาษีสรรพสามิตมีขึ้นเพื่อกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมามีโอกาสพบทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการทำธุรกิจด้านโทรคมนาคม ไม่มีใครพูดเลยว่าการมีภาษีสรรพสามิตจะเกิดความลังเลที่จะประกอบกิจการโทรคมนาคม ทุกคนต่างบอกว่าเมื่อไรที่ กทช.ให้ขอใบอนุญาตได้ จะรีบทำทันที และมีข้อพิสูจน์แล้วว่าผู้ให้บริการรายใหม่ทำให้ค่าบริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต มีราคาถูกลง ดังนั้นการที่ระบุว่าถูกกีดกันจากภาษีสรรพสามิต ก็ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะกิจการโทรคมนาคมเป็นกิจการต้องปรับปรุงเทคโนโลยีตลอดเวลา ถ้า กทช.เปิดให้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาให้บริการกับประชาชน เช่น ระบบ 3จี ผู้ให้บริการปัจจุบันไม่สามารถผูกขาดได้เลย เพราะโครงข่ายที่มีจะล้าสมัยและผู้ให้บริการรายใหม่ที่เข้ามา ก็พร้อมแข่งขันเพราะมีเงินทุนและเทคโนโลยี สามารถสร้างโครงข่ายรองรับเทคโนโลยีใหม่ได้
5. เรื่องผลประโยชน์ 50,000 ล้านบาท ของประเทศชาติที่เสียหายที่มีการกล่าวอ้างกันก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการดูจากมูลค่าของบริษัทในเครือชินวัตรในปี 2544 และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548-2549 ถือเป็นการพูดเพียงด้านเดียว ถ้าดูทั้งตลาดหลักทรัพย์ในปี 2544 มีมูลค่าเพียงกว่า 200 จุด ดังนั้น ในปี 2548-2549 มีตั้งแต่ 600-700 จุด เพราะฉะนั้นการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์เป็นเพราะความมั่นใจของนักลงทุนที่ทำให้มูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เรื่องการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากกิจการโทรคมนาคม เพราะบริษัทอื่น ๆ ในกิจการโทรคมนาคมก็มีผลประกอบการสูงขึ้นด้วย ซึ่งคตส.ต้องทำหน้าที่ให้สมกับที่ประชาชนไว้วางใจ ถ้ามีอคติโดยยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม ไม่หนักใจกับเรื่องดังกล่าว และพร้อมชี้แจง คตส
แหล่งที่มา
โพสทูเดย์
จากคุณ :
VikingsX
- [
19 ก.ค. 51 11:21:17
A:202.12.118.61 X:
]