ความคิดเห็นที่ 14
ตอบความเห็นที่ 12 นะครับ
หนี้สาธารณะ เพิ่มขี้น เพราะหนี้สินของ ปตท. กลับมาเป็นหนี้สินของรัฐ 100% ===> รัฐได้หนี้กลับมา ก็ได้ Asset กับมาด้วย ซึ่ง Asset เหล่านั้นจะสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการเกิดหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นครับ (ดูจากกำไรของกลุ่ม ปตท. ในปัจจุบันก็ได้ครับ)
เรื่องนี้พูดยากครับ เพราะถ้ากลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ความคล่องตัวในการทำธุรกิจหลายๆ อย่างก็จะถูกจำกัดลง การหาแหล่งเงินทุนที่ดอกเบี้ยต่ำ เช่นการออกหุ้นกู้ก็จะยากลำบาก เครดิต Rating ก็จะลดลง ทำให้ต้องหาเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้น และเป็นภาระให้รัฐต้องค้ำประกันอีก
กำไรส่วนที่เหลือจะถูกดึงเขากระทรวงการคลังเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป โดยที่ไม่ตกไปอยู่ของกลุ่มนายทุนต่างๆ (อย่างน้อยการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินก็ต้องผ่านระบบการตรวจสอบของรัฐสภา)
กำไรที่ได้ของ ปตท. ปกติทุกปีจะปันผลให้ผู้ถือหุ้น ประมาณ 1 ใน 3 ครับ กระทรวงการคลังถือหุ้นเกินครึ่งก็จะได้รับในส่วนนี้ด้วย ส่วนกำไรที่เหลือก็จะนำไปจ่ายหนี้เงินกู้ และลงทุนขยายกิจการครับ ที่สำคัญงบการเงินของ ปตท. โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ครับ (ทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เขาสามารถดูงบการเงินได้ และคุณรู้ไหมว่าทุกวันนี้ สตง.เป็นผู้ตรวจงบการเงินของ ปตท.ครับ (อย่างงี้โปร่งใสแล้วหรือยัง)
ถามว่าทำไมไม่ควรแปรรูป เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีลักษณะ Economy of scale ซึ่งเอื้อต่อการผูกขาด แถมยังเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อนโยบายรัฐบาลค่อนข้างมาก ทำให้ไม่มีคู่แข่งขันเข้ามาสู้ในตลาด
ดังนั้นจึงเกิดการผูกขาด ดังเช่นธุรกิจ โรงกลั่นน้ำมัน ในเมืองไทย นักเศรษฐศาสตร์ทุกท่านคงรู้นะครับว่า การผูกขาดนำมาซึ่งกำไรที่มากกว่าปกติ (ลองเข้าไปดู Gross Margin / Net Margin ของ ปตท.สผ. ดูสิครับ)
..... เอาง่ายๆ ว่าลองดูธุรกิจน้ำมันจากต่างชาติบริษัทใหญ่ๆสิครับ ว่าทำไมเค้าถึงถอยออกไปหมด แต่ ปตท. กลับขยายธุรกิจต่อเนื่อง????
อันนี้คุณก็เขียนขัดแย้งกันเองแล้ว ทุกวันนี้ถึงแม้ปตท.จะแปรรูปเป็นบริษัทก็ยังมีฐานะเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติอยู่ เป็นผู้มีส่วนช่วยกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันที่เป็นธรรม สังเกตได้ว่า หากน้ำมันขึ้นจะขึ้นช้ากว่าบริษัทอื่น เวลาน้ำมันลง ก็ลงเร็วกว่าเขา ซึ่งผลจากการช่วยรัฐในการตรึงราคาน้ำมัน จึงทำให้บริษัทน้ำมันคู่แข่งต่างชาติ ที่มีแต่ธุรกิจค้าปลีกแบกรับภาระขาดทุนไม่ไหว จึงทยอยขายกิจการไป เช่น BP ,Q8 และ Jet เป็นต้น และทุกวันนี้ธุรกิจขายปลีกน้ำมัน ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ค้าตามมาตรา 6 ด้วยครับ จึงทำให้ดูเหมือนว่าเป็นธุรกิจผูกขาด แต่ปัจจุบันหลัง ปตท.แปรรูป ก็ไม่ได้สิทธิ์ในการขายน้ำมันผูกขาดให้หน่วยงานรัฐทั้งหลายนะครับ ต้องแข่งขันกับเจ้าอื่น
ส่วนเรื่องโรงกลั่นน้ำมัน การจะตั้งโรงกลั่นน้ำมันจะต้องขออนุญาตจากรัฐครับ ต้องมีค่า Royalty ต่างๆ ทำให้การสร้างโรงกลั่นโรงหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายไหนจะต้องมีค่าใช้จ่ายให้รัฐ จะต้องหาเงินทุนมาสร้างโรงหนึ่งไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท ในขณะที่ค่าการกลั่นจะมีความผันผวน มีวัฏจักรขึ้นลงครับ และที่ ปตท. ไปถือหุ้นโรงกลั่นหลายโรง เกิดขึ้นในขณะปี 2535 ครับ ซึ่งรัฐกำหนดให้ ปตท. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเข้าไปถือหุ้นครับ (ลองไปค้นหาอ่านเป็นความรู้ดู) แต่ ปตท. ไม่ได้ถือหุ้นโรงกลั่นทุกแห่งนะครับ อย่างโรงกลั่นของแอสโซ่หรือระยองเพียวริไฟร์ก็ไม่ได้ถือหุ้นนะครับ ส่วนค่าการกลั่นปัจจุบัน ก็จะอิงราคาตามตลาดโลกครับ (ช่วงนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกแพง ได้ค่าการกลั่นสูง แต่ช่วงปี 2540 ค่าการกลั่นติดลบ ขาดทุนทุกโรงกลั่นครับ) ส่วน ปตท.สผ. เป็นบริษัทสำรวจผลิตปิโตรเลียม ไม่มีโรงกลั่นน้ำมันครับ เข้าใจผิดเสียแล้ว
สุดท้ายที่คุณพูดน่ะ ต่อไปบริษัทน้ำมันต่างชาติ หากบริษัทไหนสายป่านไม่ยาวพอ ก็ม้วนเสื่อกลับทุกรายครับ ต่อไปหากราคาบ้านเรายังเป็นแบบนี้อีก คงได้เห็นบริษัทน้ำมันต่างชาติ บางรายถอนทุนขายกิจการกลับบ้านไปแน่
จากคุณ :
env (env)
- [
28 ก.ค. 51 12:05:01
A:202.44.7.81 X:
]
|
|
|