ความคิดเห็นที่ 1 แสดงว่าแผนที่ที่แนบเอกสารนั้น ระบุชายแดนไทยไว้ตามสันปันน้ำหรือไม่ก็แผนที่ L7302 เพราะไม่เช่นนั้น เราจะเอาอะไรไปประท้วงเขมรได้ตั้ง 3 ครั้งแล้ว จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 19:10:27 A:203.147.40.3 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 รู้แต่ ว่าคุณอภิสิทธิ์ ตอบแล้ว แต่ผมยัง งง ในคำตอบ นิดหน่อย รอคนฟังกระจ่าง มาตอบดีกว่า จากคุณ : envieco1 - [ 4 ส.ค. 51 19:26:58 A:210.203.186.47 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 55555555555 ขนาด คุณ thyrocyte ยังแ่ถช่วยพรรคแมงสาปไม่ได้ แสดงว่างานนี้หนักจริง จากคุณ : camuiman - [ 4 ส.ค. 51 19:48:09 A:10.87.100.68 X:202.28.95.11 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ใช่ผู้รู้นะคับ..แต่พูดอย่างกระดาษแผ่นเดียวอีกแล้ว... ปะท้วงเรื่องอะไร...เอาข้อความมาดูหน่อย... สุนัขเดินผ่านดินแดนก็ทำหนังสือประท้วง..ก็คือว่าประท้วง.. เอามาดูเลย... ข้อสังเกตของผม...1) ปักปันเขตแดนมีแนวโน้มให้เสียดินแดนมากกว่า.. นพดลให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะเขาพระวิหารอีก...ทำไมไม่เป็นเรื่องสนธิสัญญา.. 2) ถ้ามีความเห็นขัดแย้งอยู่แล้วจะไปลงนามทำไม...แผนที่กัมพูชามี..    พระวิหาร..แผนที่ไทยตัองการสันปันน้ำ...ไม่รู้ใครบ้า... 3) หลังลงนามร่วม43...ชาวกัมพูชามาตั้งถิ่นฐานในเขตทับซ้อน.. จากคุณ : bang_rud - [ 4 ส.ค. 51 19:50:43 A:58.8.186.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปกติคุณ thyrocite จะเชี่ยวชาญเรื่องเอกสาร น่าจะลองไปหามาให้คนในห้องนี้ดูหน่อยว่าการเซ็นครั้งนั้นส่งผลดีร้ายประการใดต่อประเทศไทย ทำไมทำเหมือนอุบอิบไว้ แล้วก็ออกมาพูดแก้ตัวแบบกว้างๆ ว่า คงไม่เสียหายอะไร ไม่งั้นคงเอามาอ้างอิงต่อรองกับเขมรไม่ได้ ฯลฯ หรือว่าไงครับ? จากคุณ : compassion - [ 4 ส.ค. 51 20:01:40 A:118.172.28.21 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่รู้ว่าจะตลกหรือว่าร้องไห้ ที่เหตุการณ์ผลิกกลับตาลปัตรแบบนี้ ตอนแรก พรรคประชาธิปัตย์ กับ พวกพันธมิตร เถียงคอเป็นเอ็น ว่า แผ่นดินใต้ตัวปราสาทยังเป็นของไทยอยู่ เขมรได้ไปเฉพาะตัวปราสาท ไทยยังมีข้อสงวนอยู่ พอเขาเอาหลักฐานสมัยจอมพลสฤษดิ์ ที่เป็นคนพูดปราศัยแถลงการณ์เองว่า ไทยเสียทั้งแผ่นดิน เสียทั้งปราสาทมาให้ดู และ ก็ชัดเจนว่า ข้อสงวนใช้ไม่ได้ เพราะ หมดอายุ 10 ปีไปแล้ว ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับ พวกพันธมิตร เถียงไม่ออก แล้ว ก็มาเล่นประเด็นใหม่เรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร หาว่า นพดล ขายชาติ ทำให้ไทยเสียดินแดน ตอนนี้ คอลัมนิสต์ ต่างๆ เริ่มเอาหลักฐานมาโชว์ ว่า ถ้ามันจะเสียก็เสียเพราะ คุณชาย สุขุมพันธ์ แห่ง ประชาธิปัตย์ นั่นล่ะ ที่ไปเซ็นรับรองแผนที่ฝรั่งเศส ในการปักปันเขตแดน และตรงกันข้าม คุณ นพดล ต่างหาก ที่ช่วยปกป้อง พื้นที่ทับซ้อนเอาไว้ เพราะ แถลงการณ์ร่วมของคุณนพดล ระบุชัดเจนว่า ให้เขมรขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ไม่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน ทำไปทำมา ตอนนี้เหตุการณ์เริ่มบานปลาย ทำท่าจะเสียดินแดนที่ติดกับเขมรอีกหลายแห่ง เขมรตอนนี้ เรียกว่า ถือไพ่เหนือกว่าไทยเยอะ ถ้าคดีขึ้นศาลโลกเมื่อไหร่ ก็เรียบร้อยเสียดินแดนเมื่อนั้น จากคุณ : ขาจร...ขอแจม - [ 4 ส.ค. 51 20:05:52 A:58.8.175.144 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในสมัยที่ นายวีรชัย พลาศรัย ยังเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ในเดือนเมษายน 2551 นี้ ไทยก็เพิ่งจะประท้วง กรณีกัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทยและละเมิดบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 ในพื้นที่บริเวณปราสาทพระ วิหาร เป็นครั้งที่ 4 หยกๆนี้เอง (แต่ต่อมาไม่ช้านาน นายวีรชัย พลาศรัย ถูกย้ายออกไปและนายกฤต ไกรจิตติ ก็เข้ามาเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญา) http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255104100303&tb=N255104&news_headline=%E4%B7%C2%BB%C3%D0%B7%E9%C7%A7%A4%C3%D1%E9%A7%B7%D5%E8 จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 20:05:53 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ข้อ 5 กำหนดไว้ว่า ทั้งสองฝ่ายจะงดเว้นดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม เพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนลงวันที่ 14 มิถุนายน 2543 จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 20:13:32 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทั้งสองฝ่ายจะงดเว้นดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน ---------------------------- ไทยประท้วงเรื่องนี้หรือครับ หรือประท้วงเรื่องเขมรใช้แผนที่ฝรั่งเศส 5555555555555 มันจะทับซ้อนได้ยังไง ก็ใช้สนธิสัญญา แผนที่ ของฝั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคม แผนที่เค้ามีอยู่แล้ว มันจะทับซ้อนกับอะไร ถ้าเรายึดแผนที่ของเรา ก็อาจมีพื้นที่ทับซ้อนบ้าง แต่นี่เขมรใช้แผนที่ฝรั่งเศสอยู่แล้ว และเราไปเซ็นสัญญาว่าปักปันเขตแดนตามแผนที่ฝรั่งเศส มันจะมีพื้นที่ทับซ้อนยังไง จะมีก็แต่เขตแดนทับซ้อนครับ ทับซ้อนเป็นเส้นเดียวกันเลย แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 20:31:42 จากคุณ : กุ้งไม่แห้ง - [ 4 ส.ค. 51 20:24:50 A:58.64.51.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในข้อตกลงปี 2543 จะพบว่าแผนที่ที่ข้อตกลงอ้างถึงต้องเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสม ตามสนธิสัญญาเท่านั้น ซึ่งประเทศไทยและศาลโลกก็ไม่ได้ยอมรับ ว่าแผนที่ที่กัมพูชาใช้ฟ้องเมื่อปี 2505 เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการ ผสม (เพราะคณะกรรมการผสมตามอนุสัญญา คศ.1904 ไม่ได้มีการประชุมรับรองแผนที่ฝรั่งเศสฉบับนั้น ตลอดจนคณะ กรรมการตามสัญญา คศ.1907 ก็ไม่ได้ใหการรับรองแผนที่นี้เช่นกัน) แม้ที่ตัวแผนที่จะมีการตีพิมพ์ว่าเป็นของคณะกรรม การผสมก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้แผนที่นี้ถูกต้องและถือว่าผ่านคณะกรรมการผสม คศ.1904 และ 1907 จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 20:25:36 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นไปได้ว่าไม่มีใครสนใจดูแผ่นที่อย่างจริงจังตอนเซ็น และตอนประท้วง อาจเป็นสาเหตุอีกว่าทำไม ไทยประท้วงแล้วประท้วงอีก แต่เขมรทำหูทวนลมจนป่านนี้ ไม่สนใจ เพราะได้หลอกให้ไทยเซ็นไปตั้งแต่ปี 43 แล้ว (เอ หรือว่าใช้มนต์ดำหลอกให้เซ็น) . แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 20:30:48 จากคุณ : Rights of Man - [ 4 ส.ค. 51 20:29:41 A:124.120.225.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 เอาหลักฐานมาแสดงครับ คำพูดคนๆนี้ ไม่อยากเชื่อครับ กล้าพูดไปทำนองให้ผู้คนเข้าใจไปว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" ก็ยังหน้าด้านพูดแล้ว จากคุณ : kriengchai - [ 4 ส.ค. 51 20:32:44 A:58.8.53.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 คคห 10 1. ช่วยตัดจากสนธิสัญญาปี 43 ให้ดูหน่อยได้ไหมครับว่า ต้องเป็นแผนที่ ที่จัดทำโดยคณะกรรมการผสมปี 1904 2. แล้วแผนที่ ที่มีการรับรองมีอยู่จริงหรือเปล่า ถ้าไม่มีอยู่จริง แล้วไปอ้างเพื่อเหตุผลอะไร จากคุณ : Rights of Man - [ 4 ส.ค. 51 20:37:26 A:124.120.225.75 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ  kriengchai คงจะฟังเพี้ยนไป เพราะผมมีสำเนาการอภิปรายของอภิสิทธิ์อยู่ ทั้งวันเปิดอภิปรายและวันลงมติ อภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" มีแต่ขุนพลรุ่นน้องที่พูด ส่วนที่ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาเมื่อปี 2543 ใช้แผนที่ฉบับไหนแนบท้าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีแผนที่แนบ แต่เป็น การพูดถึงการทำข้อตกในการจัดทำหลักเขตแดนต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ซึ่งข้อแรกคือ ตัวสนธิสัญญา ส่วนแผนที่ที่ พูดถึงจะต้องจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสม ตามสนธิสัญญา(ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีแผนที่ทางการจากคณะกรรมการ) และอภิสิทธิ์ยังชี้ให้เห็นว่า สมัครเองก็ใช้ข้อตกลงนี้ประท้วงกัมพูชา ที่คนไทยไปอยู่ที่วัดแล้วเขมรจับคนไทยจนนำไปสู่ การเผชิญหน้าในปัจจุบัน จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 20:37:29 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ในการประท้วงในปี 2547และ 2548 เกิดในสมัยทักษิณ แต่ท่านทักษิณก็ไม่ยอมใช้ไม้แข็ง ปล่อยให้ชาวกัมพูชา กว่า 500 ครัวเรือนเข้ามาสร้างบ้านในเขตพื้นที่ทับซ้อน -ส่วนข่าวของอภิสิทธิ์อ่านได้จากเวบนี้ -เรื่องศาลโลกไม่ยอมรับแผนที่ของกัมพูชาว่าสามารถใช้ได้เป็นทางการ เคยนำเสนอไปแล้ว ลองดูในกระทู้เก่า จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 20:41:44 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 #14 คุณ  kriengchai คงจะฟังเพี้ยนไป เพราะผมมีสำเนาการอภิปรายของอภิสิทธิ์อยู่ ทั้งวันเปิดอภิปรายและวันลงมติ อภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" มีแต่ขุนพลรุ่นน้องที่พูด -------------------------------------------------------------------------- เยี่ยมครับ ที่มีหลักฐาน อย่างนั้น นายอภิสิทธิ์เคยพูดให้สังคมรับรู้หรือไม่ ว่าลูกน้องตัวเองพูดผิด ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต่างกัน จากคุณ : kriengchai - [ 4 ส.ค. 51 20:47:02 A:58.8.53.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 ที่คุณ Rights of Man  ถามถึงสนธิสัญญาปี 43 ให้ดูหน่อยได้ไหมครับว่า ต้องเป็นแผนที่ ที่จัดทำโดยคณะกรรมการผสมปี 1904 เป็นไปตามนี้แหละครับ.... จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 20:51:13 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 10   นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในข้อตกลงปี 2543 จะพบว่าแผนที่ที่ข้อตกลงอ้างถึงต้องเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสม ตามสนธิสัญญาเท่านั้น ซึ่งประเทศไทยและศาลโลกก็ไม่ได้ยอมรับ ว่าแผนที่ที่กัมพูชาใช้ฟ้องเมื่อปี 2505 เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการ ผสม (เพราะคณะกรรมการผสมตามอนุสัญญา คศ.1904 ไม่ได้มีการประชุมรับรองแผนที่ฝรั่งเศสฉบับนั้น ตลอดจนคณะ กรรมการตามสัญญา คศ.1907 ก็ไม่ได้ใหการรับรองแผนที่นี้เช่นกัน) แม้ที่ตัวแผนที่จะมีการตีพิมพ์ว่าเป็นของคณะกรรม การผสมก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้แผนที่นี้ถูกต้องและถือว่าผ่านคณะกรรมการผสม คศ.1904 และ 1907 จากคุณ : thyrocyte   - [ 4 ส.ค. 51 20:25:36 A:124.121.39.210 X: ] --- ความคิดเห็นที่ 14   คุณ  kriengchai คงจะฟังเพี้ยนไป เพราะผมมีสำเนาการอภิปรายของอภิสิทธิ์อยู่ ทั้งวันเปิดอภิปรายและวันลงมติ อภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" มีแต่ขุนพลรุ่นน้องที่พูด ส่วนที่ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาเมื่อปี 2543 ใช้แผนที่ฉบับไหนแนบท้าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีแผนที่แนบ แต่เป็น การพูดถึงการทำข้อตกในการจัดทำหลักเขตแดนต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ซึ่งข้อแรกคือ ตัวสนธิสัญญา ส่วนแผนที่ที่ พูดถึงจะต้องจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสม ตามสนธิสัญญา(ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีแผนที่ทางการจากคณะกรรมการ) และอภิสิทธิ์ยังชี้ให้เห็นว่า สมัครเองก็ใช้ข้อตกลงนี้ประท้วงกัมพูชา ที่คนไทยไปอยู่ที่วัดแล้วเขมรจับคนไทยจนนำไปสู่ การเผชิญหน้าในปัจจุบัน จากคุณ : thyrocyte   - [ 4 ส.ค. 51 20:37:29 A:124.121.39.210 X: ] --- ประเทศไทย และ ศาลโลก ไม่ยอมรับ <<<--- ของไทยไม่ยอมรับอ่ะชัวร์ แต่ของศาลโลกไม่ยอมรับ อันนี้ยังไม่เห็นหลักฐาน แต่มายอมรับในปี 2543 ไง ยุคใน ชวน นั่นแหล่ะ เค้าเรียกว่า ยอมรับให้ถือเป็นพื้นฐานทางกฎหมาย และที่นายอภิสิทธิ์ บอกไม่มีแผนที่แนบ <<<--- โกหกคำโตครับ มาดูมติ ครม ชวน ก่อนนะครับ v v v v http://www.spokesman.go.th ข่าวที่ 06/130 วันที่ 13 มิถุนายน 2543 สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางรัตนา จงสุทธนามณี และนายปาน พึ่งสุจริต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ 17. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ แล้วมีมติ ดังนี้ 1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 14 - 16 มิถุนายน 2543 2. อนุมัติในหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือทางวิชากาารเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำแผนที่สมัยใหม่แก่ฝ่ายกัมพูชา เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจของฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทยจัดหางบประมาณเพื่อการนี้ให้ในระดับที่จำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินกากรโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 20:59:36 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 พันเอก นพดล โชติศิริ (กรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด): สภาพแนวเขตแดนไทย-กัมพูชา มีความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร เป็นสันปันน้ำ 524 กิโลเมตร เป็นเส้นตรง 58 กิโลเมตร เป็นลำคลอง 216 กิโลเมตร แนวเขตแดนเริ่มตั้งแต่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงหลักเขตแดนที่ 73 บริเวณแหลมสารพัดพิษ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด แนวเขตแดนไทย-กัมพูชา ได้ถูกกำหนดให้เป็นไปตามหลักฐานทางกฎหมายที่สำคัญดังนี้ ประการแรก สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ว่าด้วยดินแดนและข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส วันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 122 (ค.ศ. 1904) ประการที่ 2 สัญญาว่าด้วยการปักปันเขตแดนระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 (ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 (ค.ศ. 1907) ประการที่ 3 สิ่งที่ใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายคือ แผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ 1907 ที่ผ่านมารวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส สำหรับการสำรวจและปักปันเขตแดนนั้น สยามและฝรั่งเศสได้แต่งตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามและฝรั่งเศสขึ้น โดยมีหน้าที่ในการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกให้เป็นไปตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 ฝ่ายสยามมีพลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธาน ส่วนฝ่ายฝรั่งเศสมี พันตรีแบร์นาร์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ทำแผนที่แสดงแนวเขตแดนมาตรส่วน 1:200,000 ไว้จำนวน 6 ระวาง (แผนที่มีชื่อว่า Commission de Délimitation entre l’ Indochine et le Siam) ในเวลานั้นเมืองเสียมราฐ พระตะบอง อยู่ในเขตไทย ซึ่งศรีโสภณตอนนั้นอยู่ในเขตเมืองพระตะบอง ต่อมาในปี 1907 ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนดินแดนกันระหว่างจังหวัดตราด อำเภอด่านซ้ายกับเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ พร้อมทั้งได้มีการทำสนธิสัญญาแสดงแนวเขตแดนฉบับ ค.ศ. 1907 ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้จัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนโดยฝ่ายสยามมีพระองค์เจ้าบวรเดช เป็นประธาน ฝ่ายฝรั่งเศสมีพันตรี กิชาร์ มองแกร์ เป็นประธานกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้นับเป็นคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่ในการปักปันเขตแดนให้เป็นไปตามอนุสัญญา ค.ศ. 1907 และคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้จัดทำแผนที่มาตรส่วน 1:200,000 โดยใช้ชื่อเดิม แผนที่ชุดนี้ได้เฉือนส่วนที่เป็นพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ออกไป เพราะฉะนั้นแผนที่ชุดนี้จะเหลืออยู่จำนวน 5 ระวาง ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ประเทศไทยในปัจจุบัน แผนที่ชุดนี้ได้จัดทำแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1908 ส่วนจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานีให้ใช้แผนที่ที่จัดทำไว้เดิมตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 จำนวน 2 ระวาง คือ ระวางดงรักและระวางโขง เขาพระวิหารอยู่ในระวางดงรัก นอกจากนั้นยังได้ทำการปักปันเขตแดนไว้จำนวน 75 หลัก หลักใหญ่ 73 หลัก หลักย่อย 2 หลัก โดยเริ่มหลักเขตแดนที่ 1 ที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ รอยต่อกับจังหวัดสุรินทร์ ไล่ลงมาจนถึงหลักเขตแดนที่ 73 ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ทั้งนี้ไม่มีการปักหลักเขตแดนไว้ในเขตจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดอุบลราชธานี เพราะปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ ปัญหาและลักษณะของเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จากหลักฐานทางกฎหมายที่ทั้งสองฝ่ายยึดถือเป็นดังนี้ ตามสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 กำหนดให้แนวเส้นเขตแดนไปตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักฝั่งบนเป็นฝั่งไทย ฝั่งล่างเป็นฝั่งกัมพูชา ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน ปราสาทเขาพระวิหารอยู่บนเนิน ส่วนทางขึ้นปราสาทนั้นอยู่ทางฝั่งไทย โดยจะกันตัวปราสาทเขาพระวิหารไว้ในฝั่งไทย แต่แผนที่มาตรา 1:200,000 ของพันตรีแบร์นาร์ กลับลากเส้นเขตแดนไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว ดังนั้น การที่ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหารขึ้น จึงมีสาเหตุจากการที่เส้นเขตแดนในแผนที่ไม่ตรงกับที่เขียนไว้ในสนธิสัญญา ท่านผู้ฟังคิดว่าระหว่างสนธิสัญญากับแผนที่ อย่างไหนมีความสำคัญเหนือกว่ากัน สนธิสัญญาเปรียบเสมือนกฎหมายแม่ เมื่อระบุให้ไปตามสันปันน้ำแล้ว แผนที่ก็ควรไปตามสันปันน้ำด้วย หรือท่านคิดว่าแผนที่ที่มาทีหลังควรจะมีน้ำหนักมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่มาทีหลัง ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้ไทยมีข้อพิพาทกับกัมพูชา แผนที่ชุดของพันตรีแบร์นาร์เห็นได้ชัดว่า กันตัวปราสาทเขาพระวิหารไว้ในเขตกัมพูชา และกัมพูชาก็ยึดถือเส้นเขตแดนนี้เป็นหลัก ทั้ง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 เมื่อเกิดข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา ใน พ.ศ. 2505 ศาลโลกได้ติดสินให้อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร (ตัดสินเฉพาะตัวปราสาท) ให้เป็นของกัมพูชา หลังคำตัดสินของศาลโลกแล้ว ฝ่ายไทยได้กันเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทเขาพระวิหารออกจากแผนที่ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2505 โดยวิธีการนับออกจากบันไดนาค บันไดสิงห์ 20 เมตร ห่างออกมา 100 เมตร มาถึงเป้ยตาดี โค้งไปถึงบันไดหัก ปัจจุบันฝ่ายไทยได้ยึดถือเอาเส้นเขตแดนที่ปรากฏตามแผนที่ 1:50,000 ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือแนวเส้นเขตแดนตามแผนที่ปักปันตามมาตราส่วน 1:200,000 (หรือแผนที่แบร์นาร์) ซึ่งเส้นเขตแดนทั้งสองแนวมีความแตกต่างกันมาก ดังนั้น พื้นที่ที่อยู่ในสองเส้นเขตแดนดังกล่าวจึงเป็นพื้นที่ที่เป็น Grey Area ดังนั้นการกระทำกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่นี้ มักจะมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างสองฝ่ายอยู่เสมอ จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 21:02:14 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 สังเกตในกรอบสี่เหลี่ยมที่คุณ mcu51 กรอบไว้นะครับ ข้อ ค. คือแผนที่ ชัดเจน จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 21:06:44 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 พรรคนี้ลูกพรรคจะโกหกพกลมอะไรก็ได้เพื่อทำลายฝั่งตรงข้าม หัวหน้าพรรคไม่เกี่ยวไม่รู้เรื่องครับครับ จากคุณ : ป้อมบ้านโป่ง - [ 4 ส.ค. 51 21:06:59 A:125.27.174.27 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อก่อน ใช้มนต์แดง ต่อมาใช้มนต์ม่วง ปัจจุบันใช้มนต์ $$$ จากคุณ : กุ้งไม่แห้ง - [ 4 ส.ค. 51 21:07:48 A:58.64.51.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 รูปของคุณ thyrocyte ในความคิดเห็นที่ 17 ข้อ ค. ขอให้ไปอ่านความคิดเห็นที่ 19 ประกอบ ครับ จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 21:09:21 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ  kriengchai คงจะฟังเพี้ยนไป เพราะผมมีสำเนาการอภิปรายของอภิสิทธิ์อยู่ ทั้งวันเปิดอภิปรายและวันลงมติ อภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" มีแต่ขุนพลรุ่นน้องที่พูด -------------------------------- ผมยืนยันตามที่คุณ  kriengchai โพส ครับ พอดีฟังตอนถ่ายทอดสดเลยครับอันนี้ ชัวร์ๆ จากคุณ : กุ้งไม่แห้ง - [ 4 ส.ค. 51 21:12:16 A:58.64.51.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 ทำความเข้าใจตรงกันชัดเจนแล้วนะครับ ที่อภิสิทธิ์บอกไม่มีแผนที่แนบ ทั้งรูปและข้อความที่คุณและผมโพสต์ ปรากฎมีเป็นหลักฐานแน่นอน จึงถือว่าเป็น คำโกหกคำโต ของนายอภิสิทธิ์ จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 21:12:27 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 ลืมรูปประกอบ คำโกหกว่าไม่มีแผนที่ ส่วนประเด็น 2505 ไทยอ่ะไม่ยอมรับอ่ะถูกต้อง แต่ 2543 ไทยยุคชวนอ่ะยอมรับเต็มๆ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 21:14:04 จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 21:13:34 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 คคห ที่ 17 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ แต่ดูๆแล้ว อนุสัญญา 1904 กับ สนธิสัญญา 1907 มันก็มีอยู่แค่ เวอร์ชั่น เดียวเท่านั้น เป็น เวอร์ชั่นที่ไทยไม่เคยยอมรับ แล้ว มรว. สุขุมพันธุ์ เอามาใส่ไว้ในข้อตกลงปี 43 ทำไมครับ จากคุณ : Rights of Man - [ 4 ส.ค. 51 21:19:04 A:124.120.230.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 ในกรณีที่ไทยประท้วง ที่อ้าง MOU คือ ยึดข้อ 5 ครับ ไทยคิดว่าพื้นที่ทับซ้อนเป็นของไทย เพราะไทยใช้แผนที่ L7017 แต่ไทยเสียค่าโง่ไปแล้วครับ เพราะพื้นฐานทางกฎหมายใน MOU กลับไม่มีแผนที่ฝ่ายไทยใน MOU (ขอให้ไปอ่าน ความคิดเห็น 19 ประกอบ เรื่องแผนที่) จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 21:20:47 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 #14 คุณ  kriengchai คงจะฟังเพี้ยนไป เพราะผมมีสำเนาการอภิปรายของอภิสิทธิ์อยู่ ทั้งวันเปิดอภิปรายและวันลงมติ อภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" มีแต่ขุนพลรุ่นน้องที่พูด -------------------------------------------------------------------------- เยี่ยมครับ ที่มีหลักฐาน อย่างนั้น นายอภิสิทธิ์เคยพูดให้สังคมรับรู้หรือไม่ ว่าลูกน้องตัวเองพูดผิด ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต่างกัน จากคุณ : kriengchai  - [ 4 ส.ค. 51 20:47:02 A:58.8.53.128 X: ] ------------------------------------------- อภิสิทธิ์ไม่เคยพูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา ใต้ปราสาทเป็นพื้นที่ของเรา" ที่จริงนายอภิสิทธิ์พูดว่า "เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขา แต่พื้นที่ใต้ตัวปราสาทไม่ใช่ ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของเขมร" จากคุณ : กุ้งไม่แห้ง - [ 4 ส.ค. 51 21:22:31 A:58.64.51.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 แผนที่ที่คุณ สิงห์สนามหลวง ว่ามีอยู่นั้น สงสัยจะไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามีอยู่ก็คงเป็นคนละอันกับของกัมพูชา เพราะอย่างที่จั่วหัวกระทู้ไว้ หากเป็นแผนที่ฉบับนั้นจริง ไทยก็ไม่มีอะไรที่จะไปประท้วงกัมพูชาได้ถึง 4 ครั้ง จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 21:27:51 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 หรือถ้ามีจริง รบกวนคุณ สิงห์สนามหลวง อธิบายด้วยสิครับว่า ไทยจะเอาอะไรไปประท้วงกัมพูชาตั้ง 3-4 ครั้ง ถ้าอธิบายตรงนี้ไม่ออก ก็แสดงว่า ข้อตกลงที่สุขุมพันธ์ไปเซ็น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแผนที่ที่เขมรใช้ในศาลโลกปี 2505 จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 21:30:14 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 ในขณะที่ตัวอนุสัญญา คศ.1904 และ 1907 ยังอยู่ในข้อตกลง และกำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นแนวเขต ไทยสามารถอ้างอิงสัญญาและอนุสัญญานี้ได้ตลอด ว่ากัมพูชาลุกล้ำเขต จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 21:31:44 A:124.121.39.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมไม่อยากจะสรุปนะครับ แต่ดูเหมือน มรว. สุขุมพันธ์ ทำงานไม่ละเอียด ผิดพลาดอย่างร้ายแรง นายชวน กับ นายอภิสิทธิ์ โจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ทำการบ้านมาให้ดีก่อน พรรค ปชป ควรให้ความสำคัญกับข้อมูลให้แน่นกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนสำคัญของ พรรค จากคุณ : Rights of Man - [ 4 ส.ค. 51 21:35:30 A:124.120.230.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 แจ่มแจ้งเลยครับ คุณ สิงห์สนามหลวง อธิบายได้เยี่มมาก ขอบคุณมากครับ คุณชายครับ ช่วยออกมาอธิบายหน่อย อยากรู้ความจริงครับ จากคุณ : ร่าเริง - [ 4 ส.ค. 51 21:40:13 A:124.121.9.40 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 คคห 32 แต่ข้อตกลงปี 43 ที่คุณเอามาลงไว้ใน คคห 17 เขียนไว้ชัดเจนนะครับว่า "แผนที่" ที่จัดทำขึ้น ... (แผนที่ฝรั่งเศสทำขึ้น ที่ไทยเสียเปรียบและไม่เคยยอมรับ) ไม่ใช้แค่ "อนุสัญญา"  (แบ่งเขตแดนตามสันปันน้ำที่ไทยยอมรับ ก่อนทำแผนที่) V V V ผมคิดว่า มรว.สุขุมพันธ์ คงไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนเซ็น จากคุณ : Rights of Man - [ 4 ส.ค. 51 21:50:12 A:124.120.230.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 36 เอาล่าสุดดีกว่าครับ การขอขึ้นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก ประเทศไทยได้ทำการประท้วง ซึ่งนายนพดลต้องทำตามกระแสกดดันจากฝ่ายงี่เง่าต่างๆ ของไทยเอง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญสาระแนเฉพาะกิจของฝ่ายไทยที่เข็มขัดสั้นคาดไม่ถึง คิดเองเออเองฝ่ายเดียวว่า การขอขึ้นจดทะเบียนมรดกโลกจะต้องเข้าองค์ประกอบ 3 ข้อ ในการขอขึ้นจดทะเบียนมรดกโลกครั้งนี้ ถ้ากัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารอย่างเดียว มีองค์ประกอบไม่ครบทั้ง 3 ข้อ และประเทศไทยทำการใช้สิทธิ์ประท้วง ประเทศกัมพูชาจะไม่สามารถทำการขึ้นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้แน่นอน สรุป กัมพูชา สามารถขอขึ้นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ไหมครับ ? การณ์นี้ก็เช่นกัน เรื่องพิพาทชายแดนต่างๆ ในอดีต เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันทางกองทัพซึ่งจะนำมาสู่ความสุ่มเสี่ยงต่อการปะทะและบานปลายจุดชนวนเป็นสงครามระหว่างประเทศ การใช้วิธีเจรจาทางการฑูตจึงถือเป็นวิธีการปฏิบัติเบื้องต้น แต่ละฝ่ายยึดแผนที่คนละฉบับ ถ้าตกลงกันไม่ได้ และไม่ยอมกันจริงๆ นอกเหนือจากการใช้ศาลโลกเข้ามาช่วยตัดสินแล้ว ก็มีแต่การเผชิญหน้าหักกันด้วยกำลัง ท้ารบทำสงครามกันล่ะครับ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีสุดท้ายที่ไม่มีใครอยากทำกัน ดังนั้นถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้น ไทย-กัมพูชา เบื้องต้นจึงต้องใช้วิธีการเจรจาทางการฑูต จะประท้วง หรือ ยื่นหนังสือชี้แจง ก็ว่ากันไป ซึ่งถือเป็นเทคนิคทางการฑูตเพื่อรักษาสิทธิเท่านั้นเอง ดังที่อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกล่าวไว้ (ตามในรูปของคุณ thyrocyte) สุดท้าย ถ้าต่อสู้ด้วยกฎหมาย เอากันถึงที่สุดแบบไม่เผาผี ก็ต้องนำข้อพิพาทไปขึ้นศาลโลกให้ช่วยตัดสิน แล้วถ้ากัมพูชายึดเอาตามพื้นฐานทางกฎหมายที่กำหนดไว้ใน MOU ที่ไทย-กัมพูชาทำร่วมกัน ในปี 2543 และตามหลักฐานทางคดีตามประวัติศาสตร์เก่าๆ ที่ศาลโลกเคยตัดสินพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 มาประกอบ ประเทศไทยมีสิทธิ์สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนเพิ่มเติม พื้นที่ที่ทางฝ่ายไทยคิดว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนไม่มากก็ไม่น้อยแน่นอนนั่นล่ะครับ ปล. จะสังเกตเห็นได้ว่า หลังจากทำ MOU ในปี 2543 แล้ว ชาวกัมพูชาก็อพยพเข้าพื้นที่ในปีนั้นทันที มันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของรัฐบาลชวนได้เป็นอย่างดีครับ สรุป อภิสิทธิ์ ตัวจริง ชัดเจน โกหก สองเด้งแน่ๆ คือ 1. แผนที่แนบ 2. ไม่เคยมีรัฐบาลไหนยอมรับตั้งแต่แพ้คดีในศาลโลก ยกเว้นยุครัฐบาลชวน 2543 อนุมัติและเซ็นในรับรองเป็นพื้นฐานทางกฎหมายใน MOU ไปเต็มๆ . . แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 22:31:02 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 22:25:01 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 22:16:06 จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 22:00:01 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 หาไม่เจอเหมือนกัน ถ้าเจอจะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเวลานั้น รมว.คือ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ เท่านั้น ไปเซ็นต์หนังสือ ที่มีผลต่อเขตแดนอย่างนี้ แสดงว่า รมว.ต้องรู้เห็นด้วย ดังนั้น นายสุรินทร์ ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย จากคุณ : Black Propaganda - [ 4 ส.ค. 51 22:01:05 A:124.121.124.123 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไทยจะเอาอะไรไปประท้วงกัมพูชาตั้ง 3-4 ครั้ง ---------------------------------------- คุณ thyrocyte ไทยไม่ได้ประท้วงเรื่องเขตแดนนะครับ ไทยประท้วงเรื่องเขมรไปสร้างสิ่งปลูกสร้างในบริเวณที่ยังไม่ปักปันเขต ซึ่งถ้าปักปันตามแผนที่ฝรั่งเศส ก็เป็นของเขมรอยู่ดี จากคุณ : กุ้งไม่แห้ง - [ 4 ส.ค. 51 22:15:39 A:58.64.51.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 จริงหรือครับที่ว่า หากปักปันเขตแดนจะเป็นของเขมรอยู่ดี เพราะโดยหลักการแล้วสัญญาหรือนุสัญญาซึ่งเป็นต้นกำเนิด ของการจัดทำแผนที่ ย่อมเป็นหลักใหญ่ว่าตัวแผนที่เองซึ่งสามารถเกิดการผิดพลาดได้ เพราะแผนที่ผิดไปจากข้อสัญญา ที่ได้ตกลงกันไว้ อีกทั้งคณะกรรมการร่วมไทย-ฝรั่งเศส ที่จัดตั้งตามอนุสัญญาก็ไม่เคยให้การรับรอง และศาลโลกเองก็ไม่ให้การรับรอง ดังนั้น ข้อความที่อยู่ในสนธิสัญญา จึงเป็นหลักให้ยึดเพื่อใช้ในการโต้แย้งสิทธิได้ ข้อความนี้คือคำขอที่ฝ่ายเขมรเคยขอต่อศาลโลกเมื่อปีพศ.2505 แต่ศาลโลกไม่ให้ คือ เขมรขอให้ศาลตัดสินว่า 1.แผนที่ที่เขมรใช้นั้น เป็นแผนที่ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ.1904 เป็นแผนที่จากคณะกรรมการร่วม 2.ให้เขตแดนไทย-กัมพูชา เป็นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่นั้น ข้อคำร้อง 2 ข้อนี้ศาลโลกไม่เคยตัดสินให้เป็นไปตามที่กัมพูชาขอเลย ดังนั้นที่อภิสทิธ์พูดว่า"แผนที่ของคณะกรรมการร่วม นั้นไม่มี" ก็มาจากข้อเท็จจริงนี้ แหละในเมื่อแผนที่ไม่มีอยู่จริง ข้อความที่ตกลงกันไว้บันทึกปักปันชายแดน 2543 ก็ไม่ใช่ ว่าจะเอาแผนที่กัมพูชาเข้ามาทดแทนได้ เพราะจะอย่างไรแผนที่นั้นก็ไม่ใช่"แผนที่ของคณะกรรมการร่วม"อยู่ดี จากคุณ : thyrocyte - [ 4 ส.ค. 51 22:40:44 A:124.121.33.67 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 แล้วในข้อตกลงจะไปอ้างอะไรที่ไม่มีในโลกทำไมครับ จากคุณ : Rights of Man - [ 4 ส.ค. 51 23:12:39 A:124.120.230.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมดู NBT ความจริงวันนี้ไปด้วย และไปค้นคำตอบ จากกระทู้เก่าๆ ของเพื่อนๆ มาตอบ คห. 39 ของคุณ thyrocyte ด้วย (ตามข้างล่าง) v v v ความคิดเห็นที่ 12   #5   thyrocyte   เหตที่ศาลโลก ไม่มีคำสั่งศาลเกี่ยวกับการระบุเขตแดน ก็เพราะเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับเขตแดน แต่ศาลโลกบอกไว้ชัดเจนว่า  ทุกส่วนที่มีการพิจารณา ล้วนตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้การปกครองของกัมพูชา ****************************** #7 ศาลไม่ได้มีคำสั่งยกพื้นที่ไทยให้กัมพูชา แต่ศาลมีคำสั่งให้ไทยออกจากพื้นที่กัมพูชา ****************************** ส่วนเรื่องคำสั่งและการดำเนินการต่างๆ ตามคำสี่งศาลโลก ที่มีภายในประเทศ ก็เป็นเรื่องภายในประเทศ ซึ่งจะดำเนินการอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ายังไม่มีการคัดค้าน หรือฟ้องร้องจากเขมร ไทยก็สามารถดำเนินการได้ แต่ถ้าเขมรฟ้องร้อง คัดค้าน ศาลโลกก็จะยึดแนวเขตแดนตามที่ใช้ตัดสินเมื่อปี 2505 ซึ่งก็คือแผนที่ของเขมรในปัจจุบัน ส่วนกรณี การกำหนดเขตอธิปไตยให้กับเขมร ซึ่งไทยเราพยายามตีความคำพิพากษา เพื่อรักษาส่วนพื้นที่ทับซ้อน สุดท้าย จึงได้แผนที่ที่ใช้ในปัจจุบัน ที่มีรูปสามเหลี่ยมตรงตัวปราสาท และส่วนที่เรียกว่า พื้นที่ทับซ้อน แต่ต่อไป จะรักษาส่วนพื้นที่ทับซ้อนไว้ได้หรือไม่นั้น คงต้องยกให้เป็นหน้าที่ คุณอภิสิทธิ์แล้วกระมัง .. จากคุณ : nopos  - [ 2 ก.ค. 51 02:54:54 A:117.47.164.9 X: ] http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6758640/P6758640.html#57 --- ความคิดเห็นที่ 11 ผมอ่านกระทู้นั้นแล้ว ก็เห็นว่า มีเอกสารมากมายเกียวข้อง ที่ กระทรวงต่างประเทศ ทำขึ้นมา และก็มีมาวาดแผนที่อะไรต่อ มิอะไรอีกมากมายก่ายกอง เป็นพวก simplifier ผมว่า ท้ายที่สุด เอกสารพวกนั้น อาจจะไม่ สำคัญ เพราะใจความของคำตัดสิน พ.ศ. 2505 นั้น  ชัดเจนแล้ว http://www.icj-cij.org/docket/files/45/4871.pdf (ผมเพิ่งได้อ่านเย็นนี้แหละ เพราะเข้าเว็บไซต์ ICJ - International Court of Justice ไม่ได้ทั้งวัน  และก็ไม่มีแหล่งอื่นให้อ่านเสียด้วย) อ่านโดยรวมแล้วก็ชัดเจน ไม่มีความใด เขียนว่ายกให้เฉพาะตัวเขา พระวิหาร  ถึงแม้ย่อหน้า เกี่ยวกับ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาให้ ศาล ประกาศว่า แผนที่ใน Annex I นั้น เป็นแผนที่แบ่งเขตแดนอย่างเป็น ทางการ  นั้น จะเขียนไว้อ่านยากทีเดียว   แต่ก็เห็นว่า ศาล พยายาม จะบอกว่า มันไว้อ่านดูดินแดนได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของศาล ที่จะประกาศ ตามนั้น (แต่ศาลใช้เขตตามแผนที่นั่นแหละที่ว่า  เขาพระวิหารอยู่ฝั่ง กัมพูชา) Referring finally to the Submissions presented at the end of the oral proceedings, the Court, for the reasons indicated at the beginning of the present Judgment, finds that Cambodia's first and second Submissions, calling for pronouncements on the legal status of the Annex 1 map and on the frontier line in the disputed region, can be entertained only to the extent that they give expression to grounds, and not as claims to be dealt with in the operative provisions of the Judgment. It finds on the other hand that Thailand, after having stated her own claim concerning sovereignty over Preah Vihear, confined herself in her Submissions at the end of the oral proceedings to arguments and denials opposinç the contentions of the other Party, leaving it to the Court to word as it sees fit the reasons on which its Judgment is based. ผมไม่ได้ดูแผนที่ละเอียดหรอก  แต่ผมว่า เรื่องพื้นที่ ทับซ้อนอะไรนั่น วาดไปแล้ว ดูแผนที่ใน Annex I  อยู่ฝั่งไหน ก็อยู่ฝั่งนั้น แหละ ผมว่า ขึ้นศาลโลกอีกครั้ง ก็คงไม่พ้น คำตัดสินเดิม คือ เอาแผนที่ตาม Annex I เป็นหลัก  ลากตรงไหน เนื้อที่ตรงนั้น ก็อยู่ตรงนั้น  (โดยที่ เหมือนเดิม คือ ศาลไม่มีหน้าที่รับรองแผนที่ให้ แต่ใช้เป็นหลักฐาน ที่ยึดเป็นหลัก) แต่นะ ยุคสมัยเปลี่ยนไป เปลี่ยนองค์คณะศาล ความเป็นอาจจะเปลี่ยนก็ได้ คำถามคือ ฝ่ายไทย กล้าไหม จะไปขึ้นศาลโลก อีกรอบ ถ้าคิดว่า ข้อมูล ของตัวเองแน่จริง? (นี่ ไม่ต้องมาว่า กัน ว่าเป็นคนเขมร เป็นคนไทย มีใจเป็นธรรม ยึดถือ ความถูกต้องเป็นที่ตั้ง และก็ไม่ได้ฟันธง  แต่สนับสนุนให้มีระบบชี้ขาด อย่างเป็นรูปธรรม) จากคุณ : StoneFox  - [ 28 ก.ค. 51 22:20:35 A:202.7.193.219 X:202.7.176.134 ] http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6837528/P6837528.html#11 จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 23:20:40 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ : thyrocyte ##ส่วนที่ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาเมื่อปี 2543 ใช้แผนที่ฉบับไหนแนบท้าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีแผนที่แนบ แต่เป็น การพูดถึงการทำข้อตกในการจัดทำหลักเขตแดนต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ซึ่งข้อแรกคือ ตัวสนธิสัญญา ส่วนแผนที่ที่ พูดถึงจะต้องจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสม ตามสนธิสัญญา(ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีแผนที่ทางการจากคณะกรรมการ)## แล้วสุขุมพันธ์ไปเซ็นรับรองแผนที่ของเขาโดยไม่แสดงแผนที่เช่นนั้นหรือ ? รับรองเพื่ออะไร ? รับรองทำไม ?   ลูกพรรคพูดผิดทำไมหัวหน้าพรรคไม่แก้ไข ? หากอีกด้านเขาพูดผิดร้ายแรงแบบนี้ไม่เอาเขาตายหรือครับ ? แล้วถ้านภดลขายชาติ แบบนี้จะเรียกว่าอย่างไรครับ ???? แถกจนระอาแล้วครับ....... จากคุณ : ไอ้หัวลูกหิน - [ 4 ส.ค. 51 23:30:42 A:118.172.30.139 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 แผนที่L7017 มันทำขึ้นโดยไทยฝ่ายเดียวใช้อ้างไม่ได้ ถึงจะเกิดจากการแปลสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศสปี1904และมัติครม.2505 ซึ่งเรายึดถือสัญญาปี1904มาตลอด ในปี1907ฝรั่งเศสก็ทำแผนที่ขึ้นมา เราเองอาจจำต้องเฉยพูดอะไรไม่ได้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ต้องเสียดินแดน เขมรเขาใช้แผนที่อันนี้ พูดไปก็เท่านั้นดูที่ทำได้ดีกว่า เว้นเรื่องการเมืองไว้ก่อน ๑.ไทย-เขมรใช้แผนที่ต่างกัน ประชาชนทั้งสองประเทศต่างก็เชื่อความถูกต้องของแผนที่ของตนเอง ๒.ประชาชนทั้งสองประเทศ ต่างไม่ยอมรับหากรัฐบาลใดจะยอนรับแผนที่ของอีกประเทศ ๓.จากข้อ๑,๒ หากจะได้มาก็ต้องรบกัน ไทยชนะแน่นนอน แต่ไม่นานUNก็จะเข้ามา ที่เสียคือ เศษฐกิจทั้งสองประเทศ และก็กลับมาที่เดิม ๔.การรบกันไม่ใช่ทางออกแน่นนอน ก็ต้องใช้วิธีตกลงกัน ก็ตั้งคณะกรรมการร่วม ๕.ก่อนอื่นก็ต้องกำหนดแผนที่ว่าตรงไหนบ้างที่ทับซ้อน ก็คือเอาแผนที่1904กับแผนที่1907 มาร่วมกัน ๖.ที่ก็กำหนดระเบียบในพื้นที่ดังกล่าว โดยสรุป ห้ามใครทำอะไรเอง จะทำอะไรต้องทำด้วยกัน ว่าไปแล้วเป็นเจ้าของร่วมกัน ๗.หากดูในทะเล บ่อก๊าซน้ำมันของปตท.ในพื้นที่ทับซ้อน เข้าไปขุดได้ไง? ง่ายๆลงทุนร่วมกัน บางจุดมีตั้ง3ประเทศ หากจะรอตกลงเรื่องเขตแดนรับรองไม่ได้ใช้แน่ แต่รับว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนรัฐบาลทั้งคู่ทำได้ ตอบประชาชนได้ทั้งคู่ ผมเชื่อว่าทำได้เท่านี้ พื้นที่ทับซ้อนก็จะเป็นพื้นที่ทับซ้อนไปอีกนาน เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อ ระหว่างรอ ลองคิดไปก่อนว่าหากคุณเป็นรัฐบาลไทยจะทำไงดีและหากเป็นรัฐบาลเขมรจะตกลงอย่างไร แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 00:24:09 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 00:19:29 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 23:42:57 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 23:40:18 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 23:38:39 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 23:37:34 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 23:35:40 จากคุณ : CDALU - [ 4 ส.ค. 51 23:32:49 A:125.25.128.2 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 แผนที่มีอยู่จริง แต่รัฐบาลไทยไม่ยอมรับ และ ไม่ได้เป็นหน้าที่ของศาลโลกในการพิจารณาเขตแดน ไม่ใช่ในความหมายของนายอภิสิทธิ์ว่า แผนที่นั้นไม่มีอยู่จริง มันคนละความหมายกันเลย ระหว่างคำว่า "ไม่ยอมรับ" กับ "ไม่มีอยู่จริง" และ "ไม่ได้เป็นหน้าที่ของศาลโลกในการพิจารณาเขตแดน" แล้วแผนที่ไม่มีอยู่จริง อยู่ดีๆ ปี 13-14 มิถุนายน 2543 ผีหลอก? ผีจับยัด? มติครม.ชวน ดันไปรับรองแผนที่นั้นให้เป็นพื้นฐานทางกฎหมายไปเสียนี่กระไร จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 4 ส.ค. 51 23:42:00 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ให้กลับมาดูใน มติ ครม.ชวน นะครับ ไม่ใช่ MOU ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เซ็น (ย้ำ มาดูมติ ครม.ชวน) ตรงนี้ล่ะครับสำคัญ เพราะเป็นส่วนขยายของตัวแผนที่ที่ออกเป็นมติรับรอง http://www.spokesman.go.th ข่าวที่ 06/130 วันที่ 13 มิถุนายน 2543 สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางรัตนา จงสุทธนามณี และนายปาน พึ่งสุจริต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ 17. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ แล้วมีมติ ดังนี้ 1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 14 - 16 มิถุนายน 2543 2. อนุมัติในหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือทางวิชากาารเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำแผนที่สมัยใหม่แก่ฝ่ายกัมพูชา เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจของฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทยจัดหางบประมาณเพื่อการนี้ให้ในระดับที่จำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินกากรโดยใช้เอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คืออนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารแนบท้าย และแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ^ ^ ^ ข้างบนนี่ชัดเจนเลยนะครับ เป็นการขยายความว่า แผนที่ฉบับไหน ที่ครม.ชวน ออกมติรับรองให้ม.ร.ว.ไปเซ็น ของกัมพูชา ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 <--- ชัดเจน ของไทย ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 <--- L7017 ไม่มีปรากฎใน MOU ถ้าไม่เข้าใจให้ดูความคิดเห็น 19 ประกอบในเรื่องแผนที่ เราจึงต้องมาเอามติครม.ชวน มาใช้ประกอบกับ MOU ด้วย ก็จะเห็นภาพเติมเต็ม แล้วไฉน พี่มาร์ค ถึงบอก ไม่มีแผนที่แนบ หรือตามที่คุณ thyrocyte ว่า ไม่มีอยู่จริง จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 5 ส.ค. 51 00:00:04 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ^ ^ ^ โผล่มาได้ไง ในมติครม.ชวน? ไม่มีอยู่จริง? โผล่มาได้ไง ในมติครม.ชวน? ไม่มีอยู่จริง? โผล่มาได้ไง ในมติครม.ชวน? ไม่มีอยู่จริง? จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 5 ส.ค. 51 00:06:08 A:58.8.192.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 คุณสิงห์สนามหลวง สุดยอดจริงๆครับ จากคุณ : EHK - [ 5 ส.ค. 51 01:18:59 A:118.173.39.80 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถึงได้เป็นสาเหตุให้พวกเขมรถือเป็นโอกาสในการเข้ามาตั้งชุมชน ส่วนการประท้วง 4 ครั้ง ก็ไม่ต่างอะไรกับการแก้เกี้ยว หลังจากเสียค่าโง่ ดังนั้น หางโผล่แล้ว ว่าพรรคไหนกันแน่ ที่สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ เอาที่ป่าให้นายทุนพรรคตัวเองไม่พอ ยังไปเซ็นแถลงการณ์สร้างความเสียหายอีกในปี 43 จากคุณ : kriengchai - [ 5 ส.ค. 51 01:47:40 A:58.8.45.134 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 มายืนยันตามข้อมูลคุณสิงห์สนามหลวง เพราะถ้าแผนที่ 1:200,000 ของเขมรฉบับนี้ไม่มีอยู่จริง ไม่เพียงแต่คุณชายจะไม่ยอมลงนามด้วยเท่านั้น มติครม.ชวน ก็คงไม่รับรอง MOU เป็นการยืนยันอีกครั้งแน่นอน งานนี้เท่ากับว่ามาร์คโกหกคำโต หาว่าไม่มีแผนที่แนบ ทั้งๆ ที่มี แถมยังบอกอีกว่า (จาก nbt สัมภาษณ์ตัวต่อตัว) ยอมรับว่า ที่ต้องใช้แผนที่ดังกล่าว เพื่อความสะดวกในการปักปันเขตแดน แบบนี้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับแผนที่เขมรของจริง เป็นการเซ็นยอมรับอีกต่างหาก แต่ถ้าในตอนนั้น คุณชายสามารถเจรจาจนเขมรยอมใช้ L7017 ประกอบด้วยได้ จึงจะถือว่า ไม่ได้เป็นการยอมรับแผนที่เขมรโดยตรง แต่นี่ไม่มีเลย จะอ้างว่า เพราะเขมรไม่ยอมรับแผนที่ L7017 ไม่ได้ เพราะไทยเป็นคนขีดเส้นพื้นที่ตั้งตัวปราสาทให้เขมรเอง และหลังจากนั้นก็ทำ L7017 ตามมา เพราะฉะนั้น จะต้องนำมาใช้ประกอบกัน ถ้าเขมรไม่ยอม ก็อย่าเพิ่งลง MOU จะได้ไม่เป็นการผูกมัดฝ่ายไทย แต่พอมีลายเซ็นโชว์หราแบบนี้ เท่ากับไทยไปยอมรับแผนที่เขมรชัดๆ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นไปบนเขาพระวิหารของกรมพระยาดำรง แล้วต้องขออนุญาตฝรั่งเศสนั่นแหละ อ้อ! ส่วนการประท้วงหลายครั้งทีผ่านมานั้น ทางการไทยประท้วงในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ไม่ใช่เรื่องเขตแดน เพราะในข้อตกลงบอกว่า ห้ามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปทำอะไรในพื้นที่นี้ แต่ปรากฎว่า เขมรส่งคนเข้ามา ไทยเลยต้องประท้วงโดยยกมติครม.2543 ขึ้นมาอ้าง แต่อ้างในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ไม่ใช่เขตแดนหรือแผนที่ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 01:58:16 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 01:54:18 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 01:52:17 จากคุณ : TSC - [ 5 ส.ค. 51 01:51:12 A:64.62.138.102 X: ]

ความคิดเห็นที่ 50 เพิ่มเติม คนที่พูดว่า พื้นดินใต้ปราสาทยังเป็นของไทย มีมาร์คด้วยอีก 1 คน อันนี้ได้ยินเองกับหู แต่เอกสารที่คุณ thyrocyte มีอยู่อาจจะไม่ได้ลงคำพูดนี้ไว้ เพราะมันดูตลกเกินไปที่คนระดับหน.พรรค ผู้นำฝ่ายค้านจะไปพูดแบบนั้น จากคุณ : TSC - [ 5 ส.ค. 51 02:05:52 A:64.62.138.102 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 ไฟล์เสียง ทำนอง"พื้นดินใต้ปราสาทยังเป็นของไทย" โดย หัวหน้าพรรค ปชป 2551 Cut000.wma (1.55 MB) 13 นาที http://www.mediafire.com/?i2nzjv2drjq --------- แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 51 04:33:39 จากคุณ : mcu51 - [ 5 ส.ค. 51 04:32:00 A:124.121.248.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 http://www.ryt9.com/news/2000-06-14/27145326/ การเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี        กรุงเทพฯ--13 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน 2543 โดยคณะผู้แทนไทยที่จะร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ประกอบด้วย นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายภิญโญ นิโรจน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย        การเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีความสำคัญ เนื่องจาก        (1) เป็นการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีหลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2540 ตามคำเชิญของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา        (2) เป็นการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของผู้นำฝ่ายบริหารสูงสุดของไทยในวาระที่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชากำลังจะครบรอบ 50 ปีในเดือนธันวาคม 2543 (สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา เมื่อ 19 ธันวาคม 2493)        ในการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีภารกิจที่สำคัญ ดังนี้        - เข้าเฝ้าฯ กษัตริย์สีหนุและพระราชินีมณีนาถ ซึ่งจะพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี ณ พระราชวังเขมรินทร์ กรุงพนมเปญ (14 มิ.ย.43 เวลา 12.00 —14.00 น.)        - เข้าพบสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและการหารือข้อราชการเต็มคณะกับฝ่ายกัมพูชา (14 มิ.ย.43 เวลา 15.00-17.00 น.)                  - เป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงต่าง ๆ คือ        (1) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับการส่งคืนยานพาหนะที่ถูกลักลอบหรือยักยอก และ        (2) ความตกลงในการต่อต้านการเคลื่อนย้ายโดยผิดกฎหมายและการลักลอบขนข้ามแดนซึ่งสังหาริมทรัพย์และส่งคืนให้แก่ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด และ        (3) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก        - ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจัดเป็นเกียรติแก่ นายกรัฐมนตรีและคณะ (14 มิ.ย.43 เวลา 19.00 น.)              - วางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์เอกราช (15 มิ.ย.43 เวลา 08.00 น.) ? เยี่ยมคารวะสมเด็จเจีย ซิม ประธานวุฒิสภา (15 มิ.ย. 43 เวลา 08.30 — 09.00 น.)        - เยี่ยมคารวะสมเด็จกรมพระนโรดม รนฤทธิ์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา (15 มิ.ย. 43 เวลา 09.10 — 09.40 น.)        - เป็นประธานร่วมกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในการเปิดศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นโครงการความช่วยเหลือของไทย เพื่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของกัมพูชา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (15 มิ.ย.43 เวลา 10.30 น.)        นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะไปเยือนเมืองเสียมราฐ และพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนและนักธุรกิจไทยในกัมพูชาทั้งที่กรุงพนมเปญ (14 มิ.ย.43) และที่เสียมราฐ (16 มิ.ย.43) ด้วย        การเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาแล้ว ยังจะเป็นการย้ำให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านต่าง ๆ กับกัมพูชา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และความผาสุกและเจริญก้าวหน้าร่วมกันของไทย กัมพูชา และภูมิภาคโดยส่วนรวมด้วย        กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th ------------------------------------------------------------------------------------------------------- ข้อสังเกตุ : ในข่าวก่อนไป บอกว่า รมว. สุรินทร์ จะไป  แต่ใน MOU คนเซ็นเป็น รมช. สุขุมพันธ์ อาจมีเหตุฉุกเฉินทำให้ รมว ไปไม่ได้ เลยให้ รมช ไปแทน ------------------------------------------------------------------------------------------------------- http://spokesman.go.th/index/cabline-t.htm รัฐบาลชวน 5( 14 มิย.43) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ - นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ - หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากคุณ : P166 - [ 5 ส.ค. 51 07:35:27 A:118.172.173.25 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 อ่านแล้ว สรุปได้ว่า รัฐบาลนายกชวนนี่เอง ที่ขายชาติ ด้วยความเขลาเบาปัญญาโดยแท้ ถ้าสื่อเล่นเรื่องนี้ และศาลตัดสินโดยมาตรฐานเดียวกับนพดลละก็ โดนประหารชีวิตหมดทั้งพรรคแน่ จากคุณ : เขยสุราษฎร์ - [ 5 ส.ค. 51 10:41:23 A:61.7.167.96 X: ]

ความคิดเห็นที่ 54 มารออ่านคำตอบจากท่าน thyrocyte จากคุณ : kriengchai - [ 5 ส.ค. 51 10:42:50 A:58.8.46.231 X: ]

ความคิดเห็นที่ 55 อ่านกระทู้ของไทโรไซท์คราวนี้ ดูเหมือนท่านจะเล่นคำ แล้วเลือกเฉพาะจุดที่เอามาแก้ตัวเท่านั้น เหมือนจะอ้างว่า แผนที่ไม่มีอยู่จริง ผมว่าที่ท่านเน้นว่าแล้วเอาอะไรไปประท้วงได้ตั้ง 3-4 ครั้ง อันนี้ท่านก็ต้องไปหาหลักฐานมาด้วยสิครับ ว่าเอาอะไรไปท้วงได้ 3-4 ครั้ง จากคุณ : tror ikke det for du se - [ 5 ส.ค. 51 11:01:50 A:192.1.1.202 X:58.137.153.35 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ชอบจังกระทู้แบบนี้ ได้อ่านข้อมูลมากๆดีครับ จากคุณ : ++GuyTips++ - [ 5 ส.ค. 51 11:09:22 A:58.8.144.32 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 ที่จบไม่ลงเพราะต่างจะเชียร์ ขั้วการเมื่องที่ชอบมากกว่า เพิ่มให้ ปี48กองทัพภาค2 ทำหนังสือถึงท่านทักษินว่าจะพลักดันเขมรออกจากพื้นที่ทัซ้อน แต่ได้รับการปฎิเสธ ทำแค่ออกหนังสือทักท้วง สรุป ครม.05ผิด นพดลผิด ปชป.43ผิด ฝรั่งเศสหาเรื่อง แล้วอย่างไร มีอะไรดีขึ้น น่าจะช่วยกันดูว่าไทยจะดำเนินการต่อไปอย่างไร จะได้ประโยชน์มากกว่า รอไว้เสร็จธุระกับต่างชาติก่อน มีเวลาแล้วค่อยมาหาคนผิดก็ได้ การมาแตกแยกกันตอนนี้ มีแต่จะเป็นผลดีกับเขมรเท่านั้นครับ จากคุณ : CDALU - [ 5 ส.ค. 51 11:14:55 A:125.25.128.2 X: ]

ความคิดเห็นที่ 58 กระทู้นี้คุณสิงห์สนามหลวง เยี่ยมมากครับ จากคุณ : ndjroom - [ 5 ส.ค. 51 11:31:53 A:58.8.236.63 X: ]

ความคิดเห็นที่ 59 เป็นกระทู้ที่เยี่ยมยอดครับท่านทั้งหลาย เป็นเหตุผลและผลงานของรัฐบาลปชป. ทำไมผมถึงไม่เคยคิดจะเลือกให้ปชป.เป็นรัฐบาลมาตลอด พูดเก่งเป็นน้ำไหลไฟดับ แต่ฝีมือเด็กๆๆเล่นขายของ คุณภาพสมาชิกพรรคปชป.เลื่องลือไปทั่วจักรวาลจริงๆๆ จากคุณ : สลักหิน - [ 5 ส.ค. 51 12:02:52 A:58.10.9.84 X: ]

ความคิดเห็นที่ 60 ทีแผลตัวเองเปิดล่ะทำมาเป็นบอกให้ช่วยกันรักษา รักษาน่ะต้องรักษาแน่   ตอนนี้ต้องหาต้นเหตุก่อน ว่าแผลนั้นใครมันเป็นคนทำ และสาเหตุอะไร จะได้รักษาถูก ไม่ใช่สาเหตุยังไม่รู้  แล้วเอายาแดงทา สก๊อตเทปแปะ ขอให้ไม่เห็นแผลเป็นพอ  จะเน่าในอย่างไงก็ช่างมัน จากคุณ : P166 - [ 5 ส.ค. 51 12:53:52 A:118.172.174.188 X: ]

ความคิดเห็นที่ 61 ชอบกระทู้นี้ครับ มีความรู้ เหตุผลและหลักฐาน ไม่มีการตัดสินว่าใครถูกใครผิด ขึ้นอยู่กลับผู้อ่านในการพิจารณา อยากให้สื่อมวลชนแสดงข่าวในด้านข้อมูลแบบนี้จ้ง โหวตให้ครับ จากคุณ : ฝรั่งดอง - [ 5 ส.ค. 51 13:13:14 A:58.8.156.229 X: ]

ความคิดเห็นที่ 62 ติดใจราชดำเนินก็เพราะ...กระทู้แบบนี้แหละครับ ขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่สละเวลา หาข้อมูลมานำเสนอให้อ่านครับ จากคุณ : tabset - [ 5 ส.ค. 51 13:44:15 A:125.24.161.126 X: ]

ความคิดเห็นที่ 63 กระทู้คุณภาพจริงๆโต้ตอบกันด้วยเหตุผล ตาสว่างขึ้นอีกเยอะเลยเรา จากคุณ : สันติวิธี - [ 5 ส.ค. 51 17:24:03 A:203.146.157.172 X: ]

ความคิดเห็นที่ 64 ชอบครับ ได้ข้อมูลที่เป็นจริง เอกสารอ้างอิงครบถ้วน จากคุณ : evil_frog - [ 5 ส.ค. 51 19:13:50 A:58.9.151.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 65 เจ๋งครับ คุณคห.51 ที่สามารถหาช่วงที่คุณอภิสิทธิ์พูดถึงว่า ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่เขตแดนเป็นของไทย เพราะยึดตามแนวสันปันน้ำ สรุปคือ ซากปราสาท เป็นของกัมพูชา แต่มาอยู่ในดินแดนไทย  (ล้อมด้วยดินแดนไทย) แล้วเป็นจริงหรือไม่ในปัจจุบันครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 5 ส.ค. 51 20:06:51 A:58.9.189.206 X: ]

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ CDALU "เพิ่มให้ ปี48กองทัพภาค2 ทำหนังสือถึงท่านทักษินว่าจะพลักดันเขมรออกจากพื้นที่ทัซ้อน แต่ได้รับการปฎิเสธ ทำแค่ออกหนังสือทักท้วง" - ที่ทราบมา ฝ่ายความมั่นคงเคยแจ้งเรื่องการเข้ามาของชาวเขมรตั้งแต่สมัยชวนแล้ว เพราะเขมรเข้ามาตั้งแต่ปี 41 แต่จากนั้นก็เข้ามาปลูกสิ่งก่อสร้างด้วย ทางรัฐบาลชวนเองทราบ ก็ไม่ได้สั่งให้มีการผลักดันชาวเขมรออกไป แต่เลือกการเจรจาตั้งคณะกรรมการ JBC ขึ้นมาแทน เพื่อร่วมกันจัดการพื้นที่ทับซ้อน และเมื่อมีคณะกรรมการ JBC ที่รับรองตามมติครม.2543 แล้ว เมื่อเขมรยังเข้ามาในพื้นที่ ไทยจึงต้องใช้วิธีประท้วงและอ้างบันทึกข้อตกลง 2543 ตลอดมา ไม่มีการใช้กำลังทหารแต่อย่างใด เพราะเขาถือว่ามีคณะกรรมการร่วมแล้ว แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 51 01:42:11 จากคุณ : TSC - [ 6 ส.ค. 51 01:40:13 A:64.62.138.73 X: ]

ความคิดเห็นที่ 67 "โฆษกเงา" แถก "รมต.กต.เงา" เอาสีข้างเข้าประชุม "ครม.เงา" เล่นเอา "นายกฯเงา" ถลอกปอกเปลือก เฮ้ย ไหนวันนั้น อภิสิทธิ์ บอกไม่ได้แนบแผนที่ (โกหกคำโต) มาวันนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บอกแนบแผนที่ (เพียงแต่เอาสีข้างเข้าถู) ขำๆ อ้างอิงข่าว v v v ปชป.ระบุ "สมัคร" บิดเบือน ยัน "นพดล" เป็นเหตุให้ไทยเสียดินแดน 13:48 น. นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะรัฐมนตรี(เงา) แถลงหลังการประชุมครม.เงาว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณากรณีที่นายกรัฐมนตรีบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องปราสาทพระวิหาร โดยในเรื่องนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รมว.ต่างประเทศ (เงา) ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและนำเอกสารมาแจกให้ครม.เงาทราบ โฆษกครม.เงา กล่าวต่อไปว่า คำแถลงการณ์ร่วมที่นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ไปลงนามเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 นั้นได้แนบแผนที่ฉบับของฝรั่งเศส ที่ปราสาทพระวิหาร รวมถึงพื้นที่อีก 4.6 ตารางกิโลเมตร ตกเป็นของกัมพูชา และยังเป็นการยอมรับคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ ทำให้ประเทศต้องเสียปราสาทพระวิหารพร้อมทั้งพื้นที่อีก 30 เมตร รอบปราสาท และยังเป็นผลให้การสงวนสิทธิของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2505 ต้องตกไป แต่การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา เมื่อปีพ.ศ. 2543 นั้นเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมาก เพราะเป็นเรื่องของการจัดทำหลักเขตแดนทางบก โดยคำนึงถึงอนุสัญญาในปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาในปี ค.ศ.1907 ที่ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน (ปราสาทและเขาพระวิหารอยู่ในไทย) ในขณะที่กัมพูชาขอให้คำนึงถึงแผนที่ทั้งหลายที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ตามอนุสัญญาในปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาในปี ค.ศ.1907 นายศิริโชค กล่าวว่า ประเด็นปัญหาดังกล่าวจึงทำนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมตรี เข้าใจผิดหรือตั้งใจบิดเบือน เพราะคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน มีอยู่ 2 ชุด คือชุดที่ตั้งเมื่อปี ค.ศ.1904 และอีกชุดเมื่อปี ค.ศ. 1907 โดยแผนที่ของชุดที่มีปัญหา คือชุดที่ตั้งเมื่อปี ค.ศ.1904 (ที่แสดงตำแหน่งปราสาทพระวิหารและเขาพระวิหารอยู่ในประเทศกัมพูชา) เป็นแผนที่ๆกัมพูชายื่นฟ้องศาลระหว่างประเทศ และนายนพดลนำไปแนบท้ายคำแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 นั้น เป็นแผนที่ที่ศาลระหว่างประเทศระบุชัดในคำพิพากษาว่า ไม่ได้เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ดังนั้นแผนที่นี้จึงไม่เป็นตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจปีพ.ศ.2543 แต่แผนที่ที่อยู่ในเงื่อนไขที่ต้องคำนึงถึงคือแผนที่ตามคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนชุดที่ตั้งเมื่อปี ค.ศ.1907 ชุดที่สองนั่นเอง และรัฐบาลทุกชุดหลังจากนั้นมาก็ใช้ประโยชน์กับบันทึกความเข้าใจนี้มาตลอด nationchannel.com แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 51 15:24:29 จากคุณ : สิงห์สนามหลวง - [ 8 ส.ค. 51 15:22:28 A:58.8.184.248 X: ]