แถลงการณ์เรื่อง บันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชาฉบับวันที่ 14 มิถุนายน 2543
โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 8 สิงหาคม 2551
เนื่องจากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ได้เกิดความสับสนเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MoU) ระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทย และ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 จึงต้องชี้แจงข้อเท็จจริง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระดังนี้
ที่มาของ MoU เป็นอย่างไร?
- เพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและกัมพูชา รัฐบาลทั้งสองประเทศมีเจตนารมณ์ที่ตรงกันในเรื่องความจำเป็นที่ต้องจัดทำหลักเขตแดนทางบกขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากว่า หลักเขต ซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยคณะปักปันเขตแดนร่วมกรุงสยาม และประเทศฝรั่งเศสได้สูญหาย ชำรุด หรือ ถูกเคลื่อนย้าย ในช่วงเวลา เกือบ 100 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เกิดสงครามในกัมพูชา เป็นเวลากว่า 20 ปี
- ดังนั้นจึงได้ร่วมกันจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MoU) ระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทย และ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งไทยได้ทำกับประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ ก่อนหน้านี้มานานแล้ว คือ มาเลเซียและลาว
MoU 2543 มีสาระสำคัญอย่างไร?
- ไทยและกัมพูชา ตกลงกันว่า วิธีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน จะดำเนินการในแนวทางตามเอกสารสำคัญคือ
1. อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามและฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904
2. สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (มาตรา 1<a>และ1<b> )
3. แผนที่ทั้งหลาย (Maps) ซึ่งเป็นผลของการปักปันเขตแดน โดยคณะกรรมาธิการ(Commissions) ร่วมอินโดจีน สยาม (ก่อตั้งขึ้นตามหนังสือสัญญาทั้งสอง) ตลอดจนเอกสารอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวโยงกับหนังสือสัญญาทั้งสอง (มาตรา 1[c] )
- ไทยและกัมพูชาดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) เพื่อรับผิดชอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัน (มาตรา 2)
- ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ในขณะที่กำลังสำรวจเขตแดน จะต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ในสภาพแวดล้อมของบริเวณพื้นที่เขตแดน (มาตรา 5)
ใครได้ใครเสียจาก MoU ?
- การยอมรับอนุสัญญาปี คศ.1904 และสนธิสัญญา ปี คศ.1907 เป็นเอกสารพื้นฐานสำหรับการดำเนินงาน เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสอดคล้องกับความเป็นจริง มิได้ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ
- ตอบข้อกล่าวหาในสื่อต่างๆที่คิดว่า MoU ฉบับนี้ยึดถือแผนที่ฉบับที่ประเทศไทยเสียเปรียบ........การยอมรับแผนที่ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนร่วมอินโดจีน-สยาม เป็นเพียงองค์ประกอบของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตเท่านั้น หรือหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติได้ ก็สามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจใดสามารถบังคับให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมรับในสิ่งที่ต้นไม่ต้องการยอมรับ
- มาตรา 5 ของ MoU เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย เพราะในช่วงที่มีการจัดทำ MoU ฝ่ายกัมพูชาเริ่มทำถนนเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน และชาวกัมพูชาได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ดังกล่าว แต่ด้วย MoU ฉบับนี้ทำให้ฝ่ายไทยมีเครื่องประกันเป็นลายลักษณ์อักษรว่ากัมพูชาจะไม่ทำถนนเข้าไปในพื้นที่ และจะดูแลไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น
จาก 2543-2551 มีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง?
- การสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชายังไม่คืบหน้าเท่าไรนัก และนับแต่ปี 2544 ฝ่ายกัมพูชา มิได้ทำตามคำมั่นสัญญา ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน โดยที่รัฐบาลไทยในช่วงนั้นมิได้มีการทักท้วงแต่อย่างใดแต่ในขณะเดียวกัน ยังไม่ควรสรุปว่า MoU ไม่เป็นประโยชน์ในทางใดทั้งสิ้น
- MoU ฉบับนี้ได้เป็นกรอบสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นได้จากที่ รัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประชุม JBC ขึ้น ถึง 3 ครั้ง โดย ดร.ประชา คุณเกษมเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ทั้ง 3 ครั้ง และในช่วงที่เกิดข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ใช้ MoU ฉบับนี้เป็นเอกสารอ้างอิงในการทักท้วงทุกครั้งไป มากไปกว่านั้นในการเจรจาระหว่างไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2551 ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะใช้ MoU นี้เป็นกรอบ ในการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาระหว่างกันโดยได้นัดหมายว่าจะมีการประชุม JBC ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 18 สิงหาคม 2551
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
- รัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร (ตั้งแต่ปี 2544) และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้นำ MoU นี้ไปใช้โดยไม่มีการแก้ไขใดๆ
- ผลของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตาม MoU ฉบับนี้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน ของความเห็นพ้องต้องกันในทุกประเด็น ดังนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถยอมรับในประเด็นใดๆก็ตาม สามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจใดบังคับให้เกิดการยอมรับในสิ่งที่ไม่ต้องการได้
- ในวันหน้าฝ่ายไทยต้องการยื่นขอจดทะเบียนประสาทพระวิหารและพื้นที่ประสาทโดยรอบเป็นมรดกโลกร่วมกับกัมพูชาแล้ว MoU และ JBC จะเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินการอีกด้วย เพราะมติขององค์กร UNESCO เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2551 ข้อ 15 [a] ได้เปิดช่องไว้แล้ว
- ปัญหาของ MoU ฉบับนี้มิได้อยู่ที่เนื้อหา หากอยู่ที่การไม่นำข้อตกลงไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีปัญหาสิ่งปลูกสร้างของชาวกัมพูชาในพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ได้รักษาคำมั่น และรัฐบาลไทยหลังปี 2544 ไม่ได้ทำการทักท้วงแต่อย่างใด
http://www.democrat.or.th/viewnews.asp?id_head=9425%20%20&id_main=60&p=0&ca=62&mt=175.92.185.153.216.238.33.205&st=172.102.168.190.167.250.47.206
---
^
^
^
แถกยังไงก็แถกไม่ขึ้นล่ะท่าน ถลอกไปหมดแล้ว
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 51 21:03:09
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 51 21:01:37
จากคุณ :
สิงห์สนามหลวง
- [
10 ส.ค. 51 20:59:18
A:58.8.181.128 X:
]