วันเดียวกัน ที่โรงแรมสยามซิตี้ สำนักงานประธานศาลฎีกา จัดสัมมนาเรื่อง ความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้พิพากษา ทนายความ และอัยการ มีนายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา เปิดสัมมนา โดยมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี กล่าวปาฐกถาว่า ในอดีตกระบวนการยุติธรรมเคยทำงานผิดพลาดอย่างคดีเชอรี่แอน ดันแคน ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกขังและเสียชีวิต และไม่มีการลงโทษต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้ แง่คิดว่า ในส่วนของศาลยุติธรรม แม้รัฐธรรมนูญใหม่ให้ ความเป็นอิสระแก่ผู้พิพากษา ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ผู้พิพากษาระดับต้นๆ คิดว่าแตะต้องไม่ได้ ทำให้ผู้ที่อาวุโสกว่าไม่อาจตรวจดูคุณภาพการทำงาน ผู้พิพากษาก็ พิจารณาไม่ดูซ้ายดูขวา ทั้งที่คดีในศาลเดียวกัน ลักษณะคล้ายกัน ก็ตัดสินไปคนละอย่าง ทำให้ไม่มีเอกภาพ ต่อมาทางประธานศาลฎีกาได้แก้ไขใหม่ ให้อำนาจผู้บริหารศาลมีอำนาจตรวจดูสำนวนและลงนามในคำพิพากษา แต่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ การเลื่อนตำแหน่งยึดหลักบัญชีอาวุโสเป็นหลัก ไม่ยึดหลักคุณธรรมมาประกอบ ทำให้บางคนทำงานเช้าชามเย็นชาม ดังนั้น รัฐธรรมนูญปี 50 ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม คือการเลื่อนตำแหน่งให้ดูความรู้ความสามารถ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้พิพากษาเป็นสำคัญด้วย ไม่ควรยึดหลักอาวุโส ในการเลื่อนชั้น ถึงเวลาที่คณะกรรมการตุลาการจะต้องเปลี่ยนและต้องเป็นกลาง
ระบุต้องมีองค์กรตรวจสอบศาล :
องคมนตรีกล่าวต่อไปว่า การตรวจสอบคุณภาพผู้พิพากษา ยังทำได้โดยองค์กรภายนอก และภาคประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 87 (3) ให้รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุน การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตรวจสอบทุกระดับ ฝ่ายตุลาการเองก็ถูกตรวจสอบได้ มาตรา 40 (3) ให้อำนาจตรวจสอบโดยรวดเร็ว โปร่งใส ตัวอย่าง เช่น ข้าราชการพลเรือนมีการตรวจสอบโดยคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ต้องมีความอิสระ ตนเห็นว่าควรมีระบบตรวจสอบศาลยุติธรรม คือน่าจะมีคณะกรรมการตรวจสอบระบบงานศาลยุติธรรม มีกรรมการมาจากบุคคลภายนอก รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับตัวผู้พิพากษา เช่น เรื่องรับสินบน การประพฤติดำรงตน แต่ถ้าเป็นเรื่องสำนวนคดี ต้องเป็นคดีที่เสร็จไปจากศาลแล้ว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญให้อำนาจวุฒิสภา ถอดถอนผู้พิพากษา โดยให้ประชาชน 2 หมื่นคน เข้าชื่อ หากพบว่าผู้พิพากษากระทำผิดต่อตำแหน่ง
(ที่มา นสพ.ไทยรัฐ , 19 สิงหาคม 2551)
จากคุณ :
จำปีเขียว
- [
20 ส.ค. 51 20:31:26
A:125.25.9.24 X:
]