Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    นิวส์วีค(NEWSWEEK)ยกย่อง“ทักษิโณมิกส์”ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ครองความนิยมในเอเชีย

    นิวส์วีค นิตยสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่เคยขึ้นปก 4 ผู้นำในเอเชียและมีรูปของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นหนึ่งในผู้นำทั้ง 4 คนรวมอยู่กับนายหม่า อิง จิ่ว ผู้นำของไต้หวันนายลี เมียง บัก ประธานาธิบดีนักธุรกิจของเกาหลีใต้ และ นายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ภายใต้บทความที่นำเสนอในชื่อว่า The Politics of Practical Nostalgia หรือ การเมืองแห่งการโหยหาอดีตที่ทำได้จริง

    ล่าสุดนิตยสารนิวส์วีคฉบับประจำวันที่ 1 กันยายน 2551 ซึ่งออกวางตลาดในเร็วๆนี้ได้ลงตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอีกครั้งในบทความที่มีชื่อว่า A Leader Who Looms/ ผู้นำที่ยังคงยืนเด่นเป็นตระหง่าน โดยเนื้อหาของบทความชิ้นนี้ได้ยกย่อง “ทักษิโณมิกส์” ว่าเป็นนโยบายที่ได้รับการยอมรับในภูมิภาคเอเชียอย่างกว้างขวาง มีผู้นำในแถบเอเชียหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียแม้กระทั่งประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดียก็ยังเดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย

    แถมไม่พลาดที่จะเหน็บพวกปัญญาชนว่า “พวกปัญญาชนผู้รอบรู้เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชีย”

    นอกจากนี้นิวส์วีคยังกล่าวยกย่องชมเชยกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณที่ออกมาในรูป “นโยบายคู่ขนานหรือทักษิโณมิกส์” ว่าเป็น“ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” พร้อมเอ่ยชมอดีตนายกฯทักษิณว่าเป็น “นักคิดทางเศรษฐกิจผู้ยิ่งใหญ่”

    โดยในตอนท้ายนิวส์วีคสรุปว่า “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” นั้นมันทำงานได้ผลจริงๆ

    สำหรับ George Wehrfritz แห่งนิตยสาร NEWSWEEK ผู้เขียนบทความ A Leader Who Looms/ ผู้นำที่ยังคงยืนเด่นเป็นตระหง่านนี้เคยเขียนบทความเรื่อง Buddhist Economics/พุทธเศรษฐศาสตร์ มาแล้วเมื่อต้นปี 2007

    ==============

    ผู้นำที่ยังคงยืนเด่นเป็นตระหง่าน

    ถอดความภาษาไทยโดย Thinking in ink

    พวกปัญญาชนผู้รอบรู้เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชียแม้กระทั่งจวบจนวาระที่เขาอำลาประเทศไทย

    โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์
    นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
    ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551

    ในศัพท์ทางการเมือง คุณทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เป็นไรไปมากกว่า “ผู้สูญเสียอำนาจ” เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วอดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ  เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือนหลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549

    คุณทักษิณได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ต้องบินไปยังอังกฤษครั้งนี้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องเส้นสายแห่งการคอร์รัปชันและข้อกล่าวหาอื่นๆกำลังถูกนำเข้าสู่การพิจาราณาคดีในชั้นศาลไทย “ที่มีธงตั้งไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อจัดการกับผมและครอบครัว” การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ)ผู้สร้างฐานะด้วยตนเองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต

    แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา  ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียงว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร – ชาวไทยชนบท – ให้พ้นจากความยากจน  นโยบายทักษิโณมิกส์ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544 ความคิดริเริ่มของคุณทักษิณได้พลิกฟื้นความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติการเงินเอเชียช่วงปี 2540-41 และทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่อิจฉาในภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ปัจจุบันนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่หยิบยืมมาจาก“ทักษิโณมิกส์” กำลังถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียเพื่อจัดการกับปัญหาเดียวกันที่เคยระบาดในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 1990 และในตอนนี้ได้คุกคามทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง:  การพึ่งพาตลาดส่งออกจากอีกประเทศหนึ่งมากเกินไป การพัฒนาแบบไม่เท่าเทียมในประเทศและ ช่องว่างของรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนที่เพิ่มถ่างมากขึ้น

    นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญเงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค(เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือนในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น(ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ

    แน่นอนว่า หนี้สาธารณะได้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้จากภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเกือบ ร้อยละ 6 ต่อปีจากปี 2544-2549 โดยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกที่ลดลงและจริงๆแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศไทยก็หดแคบลงในขณะที่ระยะห่างระหว่างคนมั่งมีและคนยากจนกลับกว้างมากขึ้นทุกหนแห่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเห็นได้ชัด

    ระบบคิดในการดำเนินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณในตอนนี้ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็น “ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” นโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสในการจ้างงานและการบริการสังคมขั้นพื้นฐานสามารถเปลี่ยนโฉมจากภูมิภาคที่เสียเปรียบกลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้

    ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือนที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก  หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549  เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน(เหรียญสหรัฐ)ให้กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ(ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของทางการจีน)

    บรรดาผู้นำของจีนได้ยืนยันถึงความสำคัญของสิ่งที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเรียกว่า “การเติบโตที่ก้าวไปพร้อมกัน” เมื่อครั้งที่สภาประชาชนแห่งชาติจัดการประชุมขึ้นช่วงเดือนมีนาที่ผ่านมาและไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานการวิเคราะห์ของจีนและต่างประเทศได้บอกเป็นนัยว่าในเร็วๆนี้ทางปักกิ่งจะเปิดเผยถึงมาตรการทางด้านการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีข้อเสียเปรียบ

    ในฐานะผู้นำชาติอาเซียนที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน หากไม่ผิดพลาดทางการเมืองแบบมโหฬารอย่างไม่น่าให้อภัยเสียก่อน ทักษิณอาจก้าวขึ้นสู่ “ทำเนียบปูชนียบุคคลแห่งแวดวงนักคิดทางเศรษฐกิจผู้ยิ่งใหญ่” ไปแล้ว โดยในช่วงปลายปี 2548 เขาได้ขายกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของครอบครัวให้กับบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่สนนราคา 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่ต้องจ่ายภาษี ดีลการซื้อขายครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็น”การวางแผนที่ผิดพลาด” แม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมืองแบบระบบพวกพ้องที่อะลุ้มอะหล่วยต่อกันอย่างไทย ในการเปิดเกมรุกโต้ตอบทักษิณครั้งนี้ ได้มีการประสานความร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มทุนเก่า พรรคร่วมฝ่ายค้านและผู้มีอำนาจในกองทัพโดยเรียกร้องให้เขาลาออกและจัดแสดงการชุมนุมประท้วงบนท้องถนนที่ทำให้กรุงเทพฯเป็นอัมพาตอยู่หลายเดือน

    ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 13 นับตั้งแต่ปี 2488 เข้ายึดอำนาจการปกครองขณะที่ทักษิณยังอยู่ที่กรุงนิวยอร์คเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ

    ในตอนแรก รัฐบาลทหารพยายามที่จะเก็บพับ “นโยบายทักษิโณมิกส์” โดยเชิดชูยกย่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตแบบพุทธขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงที่เป็นไปแบบทันควันทำให้บรรดานายทหารต้องรีบเปลี่ยนแนวนโยบายแทบไม่ทัน แม้กระทั่งโละทิ้งโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 รักษาทุกโรคของทักษิณเปลี่ยนมาเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” แทน รัฐบาลชุดใหม่ของไทยได้เดินตามรอยนโยบายของทักษิณด้วยการออกมาตรการลดภาษีน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า-ประปาฟรีสำหรับครัวเรือนขนาดเล็กและกระทั่งขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี!

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีกล่าวถึงมาตราการที่ออกมาเหล่านี้ว่านโยบาย (6 มาตรการ 6 เดือน)เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีสูงถึงร้อยละ 6 และสามารถลดการใช้จ่ายของครัวเรือนได้ประมาณ 350 เหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย

    “ผู้ที่นำเสนอนโยบายเหล่านี้มาปฏิบัติจะได้คะแนนเสียงอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่ยกเลิกนโยบายเหล่านี้จะสูญเสียคะแนนเสียงแทน” นิธินัย สิริมัทการ นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว

    แต่นั่นเป็นเพียงบางส่วนของการอธิบายถึงความนิยมของนโยบายประชานิยมเท่านั้น เมื่อผลงานในอดีตของทักษิณแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม บทสรุปอีกอันที่ตามมาก็คือ “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” จริงๆแล้วมันทำงานได้ผลนั่นเอง

    แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 51 00:41:00

     
     

    จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 26 ส.ค. 51 04:41:50 A:24.222.191.131 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom