จากสภาพความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบัน ดูผิวเผินคล้ายเป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตร แต่ลึกลงไปกว่านั้น สิ่งที่พันธมิตรกำลังต่อสู้อยู่นั้น เป็นเสมือนหนึ่งในตัวแทนการต่อสู้ระหว่างขั้วของอำนาจ
ขั้วอำนาจเก่าที่กำลังมีแนวโน้มจะสูญเสียอำนาจ และจะเสียมากขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยให้สถานะของ ทักษิณ ชินวัตรและกลุ่มทุนที่รวมตัวเป็นกลุ่มการเมืองในวันนั้นจนมาถึงวันนี้ แม้กระทั่งตัวเองมีเหตุต้องระหกระเหินไปอยู่ในต่างแดนก็ตามที
ขั้วอำนาจเก่า อันประกอบไปด้วยกลุ่มศักดินา ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่มีฐานะในสังคม รวมถึงข้าราชการ ที่เคยมีบทบาทครอบงำสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน ส่วน ทักษิณนักการเมืองแนวใหม่และกลุ่มทุนที่จับขั้วเป็นกลุ่มการเมือง โดยมีชนชั้นล่างส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานะยากจน และด้อยโอกาส และชนชั้นกลางบางส่วนเป็นฐานรากในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
.
ด้วยการเข้าถึงมวลชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เอง ทำให้ทักษิณสามารถกุมใจพื้นฐานชาวรากหญ้าในสังคมไทยผ่านทางนโยบายถึงล่างถึงบน ต่อให้เลือกตั้งอีกกี่ที ทักษิณและไทยรักไทยก็นอนมา
ความร่วมมือหะแรกของการกำจัดทักษิณออกจากการเมืองเริ่มต้นขึ้น การเดินสายปฐกถาของชายชราผู้หนึ่ง ( ในนามของอำนาจนอกรัฐธรรมนูญที่ทักษิณเรียกในขณะนั้น ) ตามด้วยเสียงประสานจากพรรคการเมืองโดยการบอยคอตการเลือกตั้ง เรื่อยมาจนถึงการได้แนวร่วมอันเกิดจากข้อขัดแย้งส่วนตัวระหว่างสนธิ ลิ้มทองกุล และทักษิณชินวัตร ที่วิวัฒนาการมาเป็นพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ปูทางสร้างเงื่อนไขให้นำไปสู่การปฎิวัติรัฐประหาร ตามมาด้วยการจัดระเบียบโครงสร้างองค์กรอิสระ และคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จัดตั้งคัดสรรกันเรียบร้อย องค์กรต่างๆที่จัดตั้งขึ้นนั้น กลุ่มบุคคลที่เข้ารับหน้าที่ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนได้เสียจากการสูญเสียอำนาจจากกลุ่มอำนาจเก่าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวแทนพรรคการเมือง นักสื่อสารมวลชน กลุ่มธุรกิจ แม้กระทั่งข้าราชการ ตลอดจนนักวิชาการที่ถูกละเลยความสำคัญและนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของทักษิณ ในช่วงเวลาที่ทักษิณบริหารงานบ้านเมือง
การรัฐประหารที่มุ่งกำจัดทักษิณให้สิ้นซากจากการเมืองไทย ได้เริ่มออกฤทธิ์ เริ่มตั้งแต่การยุบพรรค ตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารที่เหลืออยู่ ตลอดจนการชี้มูลขององค์กรอิสระต่างๆชงเรื่องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม และการนำไปสู่อายัดทรัพย์สินจนเรียกได้ว่ากินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว ไม่ให้มีวันโงหัวขึ้นได้ในทางการเมือง
อีกทางหนึ่งนั้น จะด้วยกลไกอำนาจทหารผ่านองค์กรอิสระที่ตัวเองจัดตั้งขึ้น หรือการชักจูงจาก คณะ สสร. นักวิชาการฝ่ายเดียวกัน นักสื่อสารมวลชน ที่นำเสนอข่าวสารเพียงครึ่งเดียวให้ประชาชนยอมลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีเจตนาเพื่อกำจัดคนๆเดียวแอบแฝงอยู่นั้น โดยให้คำมั่นว่ารัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้หลังจากมีการเลือกตั้งในบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว......หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเรียบร้อยลงตัว หลายสิ่งอย่างได้เข้ารูปเข้ารอยตามแผนบันไดสี่ขั้นแล้ว การเลือกตั้งครั้งใหม่ก็เกิดขึ้น ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วยความคาดหวังว่าทุกสิ่งจะเรียบร้อย ปรากฏว่าชาวบ้านร้านตลาดที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังคงเสพติดยาหลายขนานที่ทักษิณเคยมอบเอาไว้ให้
การต่อสู้ของทักษิณเริ่มมีความหวังที่จะกลับมาลบล้างภาพที่ขั้วอำนาจเก่าสร้างไว้ยังไม่จบสิ้น... จึงเป็นที่มาของนอมินีที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวชและ พรรคพลังประชาชนจึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้การชูธงของชายที่ชื่อว่า สมัครและบุคคลที่ทักษิณไว้วางใจ
จากความหวังเรืองรองในการมีรัฐบาลนอมินี เป้าหมายในการแก้รัฐธรรมมนูญช่วยเหลือทักษิณ กลับเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งในการดำเนินการ จากพิษสงของรัฐธรรมนูญฉบับปัจุบัน เนื่องเพราะฝ่ายนิติบัญญัติที่ครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกสรรทำหน้าที่ในสภาบน ขณะที่สภาล่างก็มีพรรคการเมืองเก่าแก่คอยทำหน้าที่อยู่แล้ว อีกฝั่งก็มีพวกที่อยู่ข้างถนนโดยอ้างสิทธิความชอบธรรมตามมาตรา 63 ส่วนฝ่ายตุลาการก็เพียงดำเนินการพิจารณาความต่างๆที่มีองค์กรอิสระชงเรื่องให้ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เท่านั้นเป็นอันเสร็จพิธี
การต่อสู้ในวันนี้ จึงป็นการต่อสู้ของขั้วอำนาจกลุ่มเดิมที่กุมสภาพนิติบัญญัติและตุลาการ กับกลุ่มอำนาจฝ่ายทักษิณผ่านไปยังรัฐบาลสมัครที่กุมอำนาจฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว จะมุ่งหน้าไปทางใดก็ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก เพราะฝ่ายตรงข้างแฝงเร้นกายอยู่ในทุกหนทุกแห่ง
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนฉันท์ใด รัฐบาลที่เพลี่ยงพล้ำก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ จากผลการตัดสินจากศาลที่จะทยอยปรากฏในเวลาไม่ช้านาน ในช่วงเวลาคาบลูกคาบดอก ............ พันธมิตรชิงไหวชิงพริบเป่านกหวีดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมืองหากนายกลาออก หรือ ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกเพื่อนำไปสู่การรัฐประหารอีกครา.... อย่างน้อย รัฐธรรมนูญที่จะคลอดออกมาใหม่ก็คงพอต่อสายตรงกันได้
การต่อสู้ในวันนี้ ที่ดูเหมือนเกิดขึ้นระหว่างพันธมิตรและรัฐบาลสมัครนั้น มีคำถามว่าจะจบลงตรงไหน
ดังจะเห็นว่าข้อเรียกร้องของพันธมิตรตามที่พลตรีจำลองเรียกร้องนั้น คือ หนึ่ง ... ต้องให้นายกลาออก และห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเด็ดขาด มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือล้างขั้วอำนาจทักษิณใช่หรือไม่ ????
สองนั้น....การเมืองใหม่ที่นำเสนอโดยให้มีการเลือกสรร 70% และเลือกตั้ง 30% .
.มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงอยู่ตรงไหน เอื้อประโยชน์แก่ขั้วอำนาจเดิมใช่หรือไม่ ????? ..........
ประชาชนที่เลือกข้างแล้ว....ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายใด ลองใช้สติปัญญาพิจารณากันดูเอาเองเถิดครับ......สุดท้ายใครอยากเลือกเป็นเบี้ยให้ฝ่ายใดก็เลือกกันเอาเอง.........
จากคุณ :
พลเมืองชั้นสอง
- [
1 ก.ย. 51 09:17:40
A:124.121.189.11 X:
]