แนวคิดการเมือง 30/70 ของพันธมิตรที่จริงแล้วต้องการแยกการปกครองออกเป็น ชั้นวรรณะใช่หรือไม่? โดยอ้างว่า เสียงจากรากหญ้าถูกซื้อ และเสียงของพันธมิตรคือเสียงแห่งคนคุณภาพ ใช่หรือไม่?
และถ้าเป็นตามสูตรจริงการคัดสรรจากองค์กรที่ปชช.สังกัด และสัดส่วนของปชช.ในองค์ที่ไม่เท่ากันการ ล๊อบบี้ มันจะไม่ง่ายกว่าหรือ มันก็ตรรกะเดียวกับที่พวกคุณตั้งข้อกล่าวหากับ ชนชั้นรากหญ้านั่นแหละ
แล้วประชาธิปไตยที่เริ่มต้นสั่งสอนกันมาตั้งแต่การคัดเลือกหัวหน้าห้องในชั้นเรียน ประธานนักเรียน พวกคุณจะสอนเด็กที่จะมาเป็นอนาคตของชาติกันอย่างไร
หากเป็นเป็นเช่นนั้นจริง พันธมิตรได้สร้างเงื่อนไข ของการเป็นมนุษย์ไว้ในสูตรการเมืองของพวกคุณเรียบร้อยแล้วโดยมีการขับเคลื่อนของ รัฐธรรมนูญ50 เป็นตัวกำหนด...อนาคตคงไม่ต้องพูดถึง การตั้งข้อรังเกียจในอาชีพของผู้ที่สังกัดในองค์กรย่อมจะต้องเกิดขึ้นตามข้อกำหนดของการแบ่งแยก
!!!!! อะไร คือความน่ากลัวของการปกครองประเทศ ถ้าไม่ใช่ประชาชนแตกแยกและสงครามประชาชน และมันกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยต่อไปอีกภายในไม่ช้า แม้รัฐบาล สมัคจะลาออกหรือยุบสภา !!!!!!!!!
.......................ขออนุญาตนำข้อความในกระทู้ของ คุณลมทะเลไม่เคยหลับมานำเสนอประกอบ.........
ผมลองคิดเรื่อง 70/30 ดูแล้ว
คือเนื้อหาอาจจะกระโดดไปบ้างเพราะผมเขียนคุยกับคนอื่นอยู่ แต่ลองอ่านดูครับ ผมว่ามีมุมดีดีอยู่ครับ
เมื่อคืนผมลองคิดเรื่อง 70/30 ในกระทู้ที่แล้วหน่ะครับ หลักการเค้าคือ การลดทอนจำนวนลงจากสี่ร้อยเหลือสองร้อย จากจังหวัดละหลายๆคน เหลือสองคน จากนั้น ส่วนที่เหลือก็มาจากการสรรหาของสมาคมต่างๆ เช่นแพทยสภา สภาทนายความ สภาวิศวกร สถาปนิก ครู แล้วก็ร้านค้าปลีกทั่วไป หอการค้า ซึ่งเค้าบอกว่าก็มาจากการะเลือกตั้งเหมือนกัน ทางเค้าก็เลือกประธานต่างๆของเค้าอยู่จากจำนวนสมาชิกหลายแสนคน มันก็ประชาธิปไตยใช่มั๊ยหล่ะครับ
ผมก็คิดว่า มันเหมือนกับว่าคนแบบคุณแบบผมนี่มีหลายสถานภาพคุณอาจจะเป็นหมอ มีภูมิลำเนาอยู่จ.นครพนม ทำงานที่กรุงเทพ มีลูกสามคน สิ่งที่คุณสนใจมีอยู่สามด้านสี่ด้านคือ ปัญหาสาธารณสุข ปัญหาการศึกษา ปัญหาสังคม เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง สถานภาพในการเลือกตั้งกลับต้องกลับมายังจ.นครพนม ทั้งที่คุณย้ายไปทำงานกทม.สิบปีแล้ว สส.ใครเป็นใครก็ไม่รู้จัก หรือถึงอยู่นครพนม ความสนใจคุณก็ยังเป็นเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งการยกเอาภูมิลำเนาเป็นปัจจัยหลัก ผมว่ามันก็ยังมีความบกพร่องเรื่องการเลือกผู้แทนที่มาทำงานให้จริงๆ
เมื่อ เทียบกับการเลือกตั้งแบบใหม่ที่ดึงความสำคัญของพท.ลง แต่ไปเน้นเรื่อง บุคลากรเฉพาะด้านแทน ซึ่งจะเห็นได้ว่ารมต.ชุดที่แล้วเป็นใครไม่รู้ไปดูแลสาธาณสุข สำนึกในการดูแลรักษาคนในประเทศกลับไม่เข้าใจ เรื่องการคมนาคมก็ไปหาบุคลากรทางวิศวแทน ดีกว่าไปปรึกษาใครไม่รู้ซึ่งมีปํญหาเรื่องทุจริตการเข้าสอบ แต่กลับไปดูแลการก่อสร้างเป็นหมื่นล้าน
ซึ่งผมคิดว่าหลักการคิดดีดี ก็มีอยู่จริงๆ ตอนนี้มันอาจไม่สมบูรณ์ แต่ก็น่าคิดเหมือนกันนะครับ ต้องลองคิดดูว่าการเมืองใหม่แบบที่แก้ปัญหาการเมืองเก่าๆที่คุณบอกว่ามีมา ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดนี่หล่ะก็ เผื่อจะได้หมดกันไปในชาตินี้ได้ทีเดียว
สบายดีนะครับ หวังว่าลดความโกรธเกลียดลงแล้วมองกันดูดีดี
ส่วน 70 คือ
องค์กรของประชาชน เช่น NGO ทั้งหลาย องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค
องค์กรทางศาสนา ทุกศาสนาและความเชื่อ องค์กรทางจริยธรรม และจิตวิญญาน
องค์กรทาง สิทธิมนุษยชน ผู้ทรงคุณวุฒิทางการทหาร ตำรวจ การปกครอง ทนายความ
แพทย์ พยาบาล ตำรวจ สื่อมวลชน เกษตรกร ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา
ตัวแทนสภาวิชาชีพของเอกชน เช่น สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา นักบิน
แอร์โอสเตส ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเล บกและน้ำ ช่างอุตสาหกรรม
วิศวโยธา ผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยว
ผู้ค้าเพชร พลอย อัญมนี ผู้ประกอบกิจการด้านร้านอาหารและการบริการ
อาชีพอิสระ ผู้ค้าขายรายย่อย ผู้ผลิต SME โรงงานอุตสาหกรรม
ผู้ส่งออกและนำเข้า นักการธนาคาร ผู้ประกอบการประกันภัย
ลูกจ้าง นายจ้าง รัฐวิสาหกิจ กระทั่งแม้ผุ้ประกอบอาชีพเช่น หมอนวด
หาบเร่ แผงลอย คนขายลอตเตอรี่ ขายของเก่า และอื่นๆอีกมาก ฯลฯ
คือ ว่าจะบอกว่าหลังจากเสร็จสิ้นตอนนี้แล้วเค้าจะไปนั่งเลือก 70 ผมว่า เค้านั่นแหล่ะจะโดนโห่ออกก่อน 70 ที่ผมเข้าใจ คือภาคนักวิชาการ ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในการบริหารบ้านเมือง
ยกตย.เช่น ปริมาณแพทย์ ต่อ จำนวน ประชากรทั่วไป เมื่อเทียบเป็นสัดส่วน แล้วแพทย์มีปริมาณที่น้อยกว่า แต่ไม่ได้ตอบว่า สิทธิในการรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศด้อยกว่า กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนด นโยบายสาธารณสุขต่างๆ ในอาชีพอื่นๆก็อยู่ในมุมมองที่เหมือนกัน คือการใช้ปริมาณ มาชี้ขาด ซึ่งหลงลืมคำว่า คุณภาพ
การวัดสิ่งเหล่านี้ ที่กำลังประสบปัญหาอยู่คือ ทำไมจึงเกิดปัญหา คนจนเลือก รัฐบาล คนชั้นกลางล้มรัฐบาล เพราะ ว่า ลึกๆแล้วระบบ การเมืองในปัจจุบันไม่ได้ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชนคนชั้นกลาง โดยตรง ทางเลือกที่เสนอมา ผมคิดว่ามีความน่าสนใจในหลายมุมมากครับ อย่างเช่นนอกจากการให้ความสำคัญของ คุณภาพของบุคลากรในสาขาอาชีพต่างๆแล้ว ยังตอบสนองต่อสถานภาพทางสังคมที่หลากหลายในตัวบุคคลๆหนึ่งที่มีอีกหลากหลาย (เป็นทั้ง พ่อ แพทย์ อื่นๆ)
ตัวเลขพวกนี้เป็น แค่ตัวนำเสนอครับ ผมว่าวิธีคิดมันดีนะครับต้องอย่าลืมว่าองค์กรพวกนี้มันมีลักษณะเฉพาะ หรือวัฒนธรรมภายในองค์กรที่หลากหลายและแตกต่าง การทุจริตภายในองค์กรทำได้ยากมาก เช่นว่า การจะมาซื้อเสียง แพทย์ ซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั่วประเทศ การคัดเลือกพวกนี้นี่ ผมคิดคิดว่าน่าจะได้ลักษณะของคนที่มีคุณภาพมาอย่างตรงเป้าหมายมากกว่า ระบบโควต้า รมต.พรรคแบบเดิม
จากคุณ : ลมทะเลไม่เคยหลับ - [ 4 ก.ย. 51 01:11:08 A:118.173.77.170 X: ]
แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 51 08:06:21
จากคุณ :
เวียงกาหลง
- [
4 ก.ย. 51 07:55:08
A:117.47.121.91 X:
]