เปลวสีเงิน
"รัฐบาลแห่งชาติ"มิติปฏิรูปการเมือง
4 กันยายน 2551 กองบรรณาธิการ
จาก พ.ศ.๒๔๗๕ ที่ประเทศไทย "เปลี่ยนแปลงการปกครอง" จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใช้เวลา ๒๕ ปี คือถึงปี พ.ศ.๒๕๐๐
ก็สิ้นยุค "ประชาธิปไตย-คณะราษฎร" เข้าสู่ยุค "ประชาธิปไตย-ปฏิวัติ" โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
และอีก ๒๕ ปีต่อมาโดยประมาณ ประเทศไทยก็เปลี่ยนผ่านสู่ยุค "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" ในสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ต่อด้วยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
จาก พ.ศ.๒๕๒๕ นั้น ประเทศไทยก็ "ประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง-เต็มใบบ้าง" เรื่อยมา...
ถึง ณ วันนี้ ประเทศไทยใน พ.ศ.๒๕๕๑ ก็นับได้ว่า วงรอบประชาธิปไตยไทย "ครบรอบ ๒๕ ปี" โดยประมาณอีกครั้งแล้ว!
ถ้าสังเกตตามเส้นทางพัฒนาการประชาธิปไตยไทยจากตรงนี้ ก็น่าสนใจกับปรากฏการณ์ "แยกข้าง-ชิงเมือง" ในยุคประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จขณะนี้ เพราะเข้าสู่ช่วง "หัวเลี้ยว-หัวต่อ" ที่ต้องจับตาในเชิง "ทับรอยเกวียน" อีกครั้ง
ขณะนี้ โดยนิตินัย "นายสมัคร สุนทรเวช" เป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจนำสูงสุดทางการบริหาร
แต่จากที่นายสมัคร ไม่สามารถบริหารประเทศให้สงบเรียบร้อยได้ และประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ โดยมอบอำนาจเหนืออำนาจรัฐธรรมนูญ อันเปรียบเหมือน "ดาบอาญาสิทธิ์" นั้น ให้กับ "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ในฐานะ ผบ.ทบ.
ให้เป็นหัวหน้า บัญชาการ-รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในบ้านเมืองขณะนี้ มีอำนาจเต็ม กระทำการด้วย "ดาบอาญาสิทธิ์" นั้นอย่างใดก็ได้ ถ้าการนั้น
เป็นไปเพื่อ "คืนความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมือง"!
นั่นเท่ากับว่า ณ เวลานี้ "กรุงเทพมหานคร" ทั้งหมด-ทุกประการ เบ็ดเสร็จอยู่ภายใต้การตัดสินใจ-สั่งการ "ด้วยอำนาจพิเศษ" ในมือของ "พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ถูกต้องตามกฎหมายในกระบวนการประชาธิปไตยทุกประการ
แต่ผู้เดียว!!
และพูดโดยนิตินัยซ้อนอำนาจ ขณะนี้ "พลเอกอนุพงษ์" มีอำนาจสั่งการเท่านายกรัฐมนตรี หรือมีอำนาจเหนืออำนาจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "นายสมัคร สุนทรเวช" ด้วยซ้ำ..ถ้าจะใช้จริงๆ!
ณ วันนี้ ย่างเข้าวันที่ ๓ แล้ว ที่พลเอกอนุพงษ์ขึ้นสู่สถานะ "ผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว" โดยมีสถานการณ์ฉุกเฉินของบ้านเมืองเป็น "ภาระรับผิดชอบ"
ที่ต้องเด็ดขาด "ทำ" ทันที!
ผมเข้าใจว่า ด้วยความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ.อันมีอยู่เดิม เหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังนำไปสู่ "ประเทศอกแตก" ขณะนี้ ท่านต้องได้ติดตามสถานการณ์ และวิเคราะห์ปัญหาถึง "ต้นเหตุ-กลางเหตุ-ปลายเหตุ" มาถ่องแท้ และครบถ้วนข้อมูลแล้ว
ฉะนั้น ผมคิดว่า ๓ วันก็มากเกินพอแล้ว ถ้าจะพูดว่า มาป่านนี้แล้ว ปล่อยไปอีกวัน-สองวัน, เดือน-ครึ่งเดือน จะเป็นไรไป ให้การเมืองแก้การเมืองไปด้วยตัวมันเอง
ผมเกรงว่า ไฟที่จุดเผาบ้านกันเอง ไม่เพียงในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ขณะนี้ลุกลามสู่ เหนือ-อีสาน-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตก เรียกว่าประเทศไทยไฟโชนฉาน ส่อว่าจะเผาผลาญทั้งประเทศ
รออีกวัน "ให้การเมืองสมัครแก้" ก็จะสายเกิน!
ประการที่สำคัญ ตรรกะที่ว่า "การเมืองแก้ด้วยการเมือง" นั้น ใช้ได้สำหรับสังคมประชาธิปไตยที่ "คนใช้ประชาธิปไตย" เข้าถึงปรัชญาประชาธิปไตยด้วย "สปิริต-จิตสำนึก" เท่านั้น
ตราบใดที่นักการเมืองยังมีความเข้าใจเพียง "ประชาชนเลือกผมมา" แค่นั้นว่าคือ "ทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นประชาธิปไตยที่เขาเป็น"
ก็เหมือนเด็กได้ไม้ขีดไฟ สุดท้ายอะไรจะเหลือ?
ไทยเราคือ "พุทธะ" ถูกยกเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาโลก หัวใจแห่งธรรมที่องค์พุทธะทรงสอน "ปัญหาใดเกิดแต่เหตุ จะแก้ปัญหานั้น ก็ต้องแก้ที่เหตุ"
"นายสมัคร สุนทรเวช" คือตัว "เหตุ" เป็นที่มาแห่งสถานการณ์ฉุกเฉินนี้!!
พันธมิตรประชาชนประชาธิปไตย ผิด-ถูก ก็คละกันไป แต่แก่นแท้คือ พี่น้องไทยที่มีใจรักชาติบนเจตนาการหนึ่ง
นปก.-นปช.อันเป็นฝ่ายตรงข้ามพันธมิตรฯ หรือฝ่าย "พรหมลูกฟัก" ที่ไม่เอาฝ่ายไหนกะใคร ผิด-ถูก ก็พี่น้องไทย ที่มีใจรักชาติบนเจตนาการหนึ่งเช่นกัน
ซึ่งทั้งสองฝ่าย หรือคนไทยฝ่ายเดียวกัน เรียกได้ว่า "ตัดไม่ตาย-ขายไม่ขาด" จากกันและกัน!
ในความเป็นชาติไทย-ประเทศไทย เราขาดฝ่ายไหนไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าฝ่ายพันธมิตรฯ ฝ่าย นปก.-นปช. ฝ่ายเอาทักษิณ หรือฝ่ายไม่เอาทักษิณ ในความหมายของการบริหารและปกครอง และในความหมาย "สายเลือดไทย" ด้วยกัน
เราต้องเอาความเข้าใจเป็นแขนโอบกอดทุกคน-ทุกฝ่ายไว้ด้วยใจรัก ด้วยเข้าใจบนสายใยรักเดียวกัน
นั่นคือ พลเอกอนุพงษ์-ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์เหนือบ้านเมือง จะเอาดาบไปฟาดฟันฝ่ายพันธมิตรฯ ในความหมายสลายการชุมนุมเพื่อ "ชิงทำเนียบฯ คืน" แถมตัดหัว "สนธิ-จำลอง-สมศักดิ์-สมเกียรติ-พิภพ" แถมสุริยะใสอีกหัว ใส่พาน แล้วรองเลือดไปมอบให้นายสมัคร
นั่นก็แก้ปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้ และก็ไม่จบ!
ถึงจะไปใช้ดาบอาญาสิทธิ์ไล่ปราบบรรดา นปก.-นปช. ต่อให้ตัดหัวคั่วแห้งร่อนตะแกรงเอาเกรด A มาให้นายสมัครเอาไม้เสียบเป็นตุ๊กตาเสียกบาลให้หลานเล่น
ฆ่าให้วอดวายทั้ง ๒ ฝ่าย ผมก็ยังมองไม่เห็นทางว่าบ้านเมืองจะว่างเว้นจากคำว่า "สถานการณ์ฉุกเฉิน" ไปได้!
ในทางการบริหาร "รักฝ่ายไหน-เกลียดฝ่ายไหน, เอาฝ่ายไหน-ไม่เอาฝ่ายไหน" ผมก็ทราบว่า ใครเป็นผู้ใหญ่ก็จะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะในสายตาและสายใจ ในขณะที่ "ทุกฝ่าย" ตกอยู่ในภาวะแล้งรักต่อกัน
ผู้ใหญ่-ยิ่งต้องใช้ "สายใยรัก" จากใจตัวเองนั่นแหละเป็นสื่อประสาน!
"จอมพล ป. พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีตามทัศนคตินักการเมืองวันนี้ "ประชาชนเลือกผมมา" ปิดฉากทั้งฉากการเมือง และฉากชีวิต เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ ด้วยการถูกปฏิวัติ และถูกเนรเทศไปจบชีวิตอยู่นอกประเทศ
"จอมพล ป." เลี้ยงเสือไว้ ๒ ตัวข้างกาย เสือหนึ่งคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผบ.ทบ. และอีกเสือหนึ่งคือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อ.ตร.
และเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ เวลา ๒๒.๐๐ น. จอมพลสฤษดิ์ก็จำใจปฏิวัติ ยึดอำนาจ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" เหตุผลหนึ่งคือ เพื่อ "เริ่มประวัติศาสตร์หน้าใหม่" ของประเทศไทย ด้วยประกาศว่า
"บัดนี้ บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์อันแสนจะยุ่งยาก และมีแต่นำความทุกข์ยากลำบากมาสู่ประชาชนชาวไทยทับทวีขึ้นทุกวัน ฉะนั้น คณะทหารจึงเห็นเป็นภาวะอันสุดแสนที่จะดำเนินการโดยวิธีสงบเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้ต่อไป จึงจำเป็นต้องส่งกำลังเข้ายึดพระนคร..."
ผมไม่ได้ย้อนประวัติศาสตร์ด้วยหวังให้ทหารปฏิวัติ แต่หวังได้ดูรอยกงล้อประวัติศาสตร์การเมืองผสมการทหารเป็นแนวตรึก
พลเอกอนุพงษ์จะเป็น "เสือข้างกาย" ของนายสมัครใช่หรือไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ที่เป็นประเด็น คือขณะนี้ "บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์อันแสนจะยุ่งยาก มีแต่นำความทุกข์ยากลำบากมาสู่ประชาชน"
เพื่อแก้สถานการณ์อันแสนจะยุ่งยาก และเพื่อแก้ความทุกข์ยากลำบากของประชาชน พลเอกอนุพงษ์ ในฐานะผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดสูงสุดแต่ผู้เดียวขณะนี้
ต้องไม่ใช้อำนาจทหาร "ยึดอำนาจการปกครอง" ที่เรียกว่าปฏิวัติ
แต่ควรต้องใช้อำนาจ "หัวหน้าแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน" ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น
"ยึดอำนาจผู้นำฝ่ายบริหาร" จากนายสมัครเป็นการด่วน เพราะนี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ!
ในเวลาเดียวกันนั้น เชิญประธานสภาฯ ทั้ง ๒ คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา พร้อมหัวหน้าพรรคการเมืองทั้ง ๗ มาประชุมหารือ
เพื่อ "ปฏิรูปการเมืองไทย" เป็นการขึ้นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์การเมืองประชาธิปไตยในครึ่งศตวรรษหลังนี้..โดยไม่ต้องยุบสภาฯ
เพียงแต่ใช้ระบบรัฐสภานั้น "พักการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา" อย่างเช่นในหมวดที่ ๖ ว่าด้วยรัฐสภา และในหมวดที่ ๙ ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
เพื่อจัดตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" ขึ้นมารับภาระบริหาร เพื่อกู้วิกฤติสังคมบ้านเมือง และเยียวยา-ฟื้นฟูความรัก ความเข้าใจมวลหมู่พี่น้องประชาชนชาวไทยให้คืนสู่สมัครสมาน-กลมเกลียวกันดังเดิม
ในขณะเดียวกัน ก็พึ่งพาอาศัย ส.ส.๔๘๐ ท่าน ส.ว.๑๕๐ ท่าน ซึ่งอาจต้องปฏิรูปฐานะรวมเป็นหนึ่งเดียว ทำหน้าที่นิติบัญญัติร่วมกับปัญญาชนอาวุโสอีกจำนวนหนึ่ง เรียกเป็น "รัฐสภาแห่งชาติ" เพื่อภารกิจเร่งด่วนสำคัญ คือ
ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือจะร่างเป็นรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ด้วยสปิริต-จิตสำนึกประชาธิปไตย ขึ้นมาเพื่อประกาศใช้เป็น "รัฐธรรมนูญ-ฉบับปฏิรูปสังคมและการเมืองไทย"
แล้วยุบสภาฯ-ให้เลือกตั้งกันใหม่ในปีหน้าโน้น!
ที่แล้วมา อโหสิ-อภัย คืนสิทธิ์ทางการเมืองอันมิใช่โทษทางอาญาให้กับทุกคน-ทุกฝ่าย เช่น ๑๑๑ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จะเรียกว่า "นิรโทษกรรม" ทางการเมืองก็ย่อมได้
ความขัดแย้ง-ปวดร้าว-ขมขื่น-แบ่งแยก ที่ผ่านมา ก็ให้มันผ่านไป!
ทุกคน-ทุกฝ่าย หันหน้ามาจับมือร่วมกัน "ฟื้นฟูบ้านเมือง" เดินหน้าด้วยประชาธิปไตยปฏิรูปนี้ ซึ่งผมคิดว่า "อโหสิ-อภัย" คือมีใจรักให้ต่อกัน ที่แล้วมาก็แล้วไป ลืมมันไปเสียเถิด
อโหสิ-อภัยนี่แหละคือ "โอสถทิพย์" สูตรพระพุทธศาสน์ ที่จะสามารถสมานสามัคคีชาติได้
ประเทศชาติบ้านเมืองจะได้ตั้งต้นเดินหน้า และวิ่งฉิวไปด้วยกันพร้อมหน้า-พร้อมตาเสียทีตั้งแต่กลางปี ๒๕๕๒ เป็นต้นไป!
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ครับ ด้วยอำนาจเหนืออำนาจรัฐธรรมนูญในมือท่านขณะนี้ ซึ่งเป็นอำนาจที่ได้มาถูกต้องตามกฎหมาย ผมขอย้ำเสนอในสิ่งที่ท่าน "พูดได้-ทำได้ และคงทำ" เพราะทำกรอบอำนาจกฎหมายที่ท่านได้มาในฐานะ "หัวหน้า" กอบกู้สถานการณ์วิกฤติชาติ
"คงไม่เกินกำลังที่จะทำได้ในส่วนนี้" ใช่ไหมครับ!?
ใช้อำนาจเหนืออำนาจรัฐธรรมนูญ บนความร่วมมือกับอำนาจนิติบัญญัติผ่านระบบรัฐสภา เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก่อนประเทศชาติจะพังพินาศ อย่าปล่อยให้ "คนป่วย" บริหารประเทศอีกต่อไปเลย เสียสละคนคนหนึ่ง "เพื่อคนอีก ๖๓ ล้านคน" พลเอกอนุพงษ์ผู้เป็นทั้งนักรบและนักวิชาการ น่าจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจในความจำเป็นต้องทำนี้ได้ จับนายสมัครให้ท่านไปพักผ่อนสบายๆ แล้วตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกิน.
จากคุณ :
FloatingPoint
- [
4 ก.ย. 51 11:33:40
A:118.173.150.72 X:
]