แปลจาก The Economist: Worse than a coup
http://www.economist.com/opinion/displaystory.cfm?story_id=12070465
แย่ยิ่งกว่ารัฐประหาร
4 กันยายน 2008
ม็อบเผด็จการไม่ควรได้รับอนุญาตให้ขับไล่รัฐบาลที่แม้มีข้อบกพร่องมากแต่ก็ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยบางครั้งก็ต้องต่อสู้ให้กับนักประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีของไทยผู้ชอบทะเลาะวิวาท เป็นคนหัวแข็งคนพิเศษที่ควรปกป้อง เขาเป็นฝ่ายขวาที่ดุร้าย นายสมัครถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ยุยงให้ตำรวจและมวลชนฆ่านักศึกษาไร้อาวุธที่ประท้วงในกรุงเทพฯเมื่อปี 1976 สมัครก้าวสู้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งเดือนธันวาคมที่เป็นการกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยหลังจากมีรัฐประหารในปี 2006 สมัครเลือกคณะรัฐมนตรีบางคนของเขาจากคนที่ไม่น่าพอใจที่สุดที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ถูกขับออกจากตำแหน่งตอนรัฐประหาร แต่ด้วยความที่ทหารกลับมาบนท้องถนนกรุงเทพฯอีกครั้ง นายสมัครในครั้งนี้ แม้จะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ยังแย่น้อยกว่าพวกที่เรียกร้องจะเอาหัวของเขา
รัฐบาลของเขามีข้อบกพร่องอย่างมาก แต่มันจะผิดและอันตรายหากม็อบเผด็จการที่ยึดทำเนียบในกรุงเทพฯขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล สัปดาห์นี้ สมัครประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ผู้บัญชาการทหารบกสนับสนุนการตัดสินใจของเขา แต่จนถึงกลางสัปดาห์ก็ยังปัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเข้าสลายพวกคนบุกรุกสถานที่พวกนี้ ถ้าผู้ประท้วงเหล่านี้, ซึ่งมีชื่อที่ผิดอย่างน่าเศร้าว่า "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย", ประสบความสำเร็จแล้วล่ะก็ ประชาธิปไตยในประเทศไทย -- ที่ไม่นานมานี้ได้เป็นไฟนำทางแห่งการเมืองหลายขั้วให้กับเอเชีย -- จะตกอยู่ในอันตราย
คนบางคนในกลุ่มพันธมิตรฯเป็นพวกเสรีนิยมที่กลัวการลุแก่อำนาจของรัฐบาลทักษิณและกลัวรัฐบาลสมัครที่มีทีท่าว่าไม่ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกแกนนำพันธมิตรล้วนไม่ใช่ทั้งพวกเสรีนิยมหรือพวกประชาธิปไตย พวกเขาเป็นการรวมตัวอย่างน่าขยะแขยงของพวกนักธุรกิจ นายพล และชนชั้นสูงที่ต่อต้านความเจริญก้าวหน้า พวกเขาไม่ได้เรียกร้องการเลือกตั้งครั้งใหม่, ซึ่งพวกเขาจะพ่ายแพ้, แต่พวกเขาเรียกร้อง "การเมืองใหม่" -- ซึ่งโดยแท้จริงแล้วมันคือการหวนกลับไปสู่การปกครองในระบอบเผด็จการแบบเก่า ที่สมาชิกรัฐสภาเกือบทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งและให้อำนาจกับกองทัพเข้ามาก้าวก่ายได้ทุกเมื่อ พวกเขากล่าวว่าประชาชนตามชนบทที่ชอบทักษิณและสมัครนั้น"ไร้การศึกษา"อย่างมากเกินกว่าที่จะเลือกตั้งได้อย่างมีเหตุผล พวกเขามองข้ามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้งไปข้อหนึ่งซึ่งยากที่จะรับฟัง: นายกรัฐมนตรีทั้งสองคนนี้มีนโยบายที่ได้รับความนิยมอย่างแท้จริง เช่น นโยบายประกันสุขภาพและเงินกู้
พระราชวังและถนนของพม่าสู่ความพินาศ
ดังเช่นที่เคยปูทางให้กับรัฐประหารเมื่อปี 2006 แกนนำพันธมิตรกำลังขับไล่รัฐบาลด้วยข้ออ้างหลอกลวงของเขาที่ว่าพวกเขากำลัง"ปกป้อง"กษัตริย์ภูมิพลที่น่าเคารพจากแผนการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสาธารณรัฐ ผู้ประท้วงบางคนยังเชื่อด้วยว่าการประท้วงของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเงียบๆจากกษัตริย์ ถ้าเป็นที่อื่นเกือบทุกที่ จนถึงตอนนี้ตำรวจจะต้องสลายการชุมนุมของพวกเขาไปแล้วแม้ว่าจะต้องใช้กำลังถ้าจำเป็น แต่มีข่าวกระซิบกระซาบกันว่าพันธมิตรฯมีคนที่อยู่ใน"ระดับสูง"คอยปกป้องอยู่--อาจเป็นนายพลหัวแข็งบางคนหรือคนในพระราชวังก็เป็นได้ (แม้ว่าอาจจะไม่ใช่พระมหากษัตริย์โดยตรง) เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยความพยายามป้องกันการพูดคุยเรื่องเหล่านี้และการปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับราชวงศ์เหล่านี้ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีโทษรุนแรงและถูกนำไปใช้ในทางผิดๆอย่างมากกลับให้ผลลัพธ์ที่น่าขันคือมันกลับเป็นการช่วยกระจายข่าวลือเหล่านี้เสียเอง
ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ฉบับเป็นทางการของไทย พระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกป้องสันติภาพและประชาธิปไตยผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งจะมากอบกู้สถานการณ์ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ เหตุการณ์ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นวิกฤติหนึ่ง คำพูดที่สุขุมจากพระมหากษัตริย์จะช่วยลดความตึงเครียดได้อย่างมาก คนไทยชอบเชื่อว่าพวกเขาเก่งในเรื่องการประนีประนอมหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมานั้นแทบไม่มีสัญญาณแห่งการประนีประนอมกันเลย และตอนนี้ก็มีความเสี่ยงของสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจถูกบังคับให้ลาออกเพื่อให้นักปลุกระดมของพันธมิตรฯสงบลง มันอาจเกิดขึ้นเพื่อแบ่งอำนาจให้กับพรรคฝ่ายค้านที่ไม่สมควรจะได้รับตำแหน่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพวกเขาแสดงความเป็นผู้นำออกมาน้อยมากในระหว่างที่พวกเขากำลังรออำนาจหยิบยื่นใส่จานของพวกเขา หรืออาจจะเป็นเหมือนบังกลาเทศ ที่พวกแกนนำประชาชนเป็นเครื่องอำพรางการปกครองแบบเผด็จการทหาร
เป็นไปได้ที่จะลองนึกภาพการประนีประนอมร่วมกันจากทั้งสองฝ่ายที่นายสมัครจะยกตำแหน่งให้คนกลางที่มีท่าทีนุ่มนวลกว่าและพันธมิตรกับผู้สนับสนุนทั้งในกองทัพ ข้าราชการ และพระราชวัง (ถ้ามี) จะยอมรับการตัดสินใจของประชาชน แต่แกนนำของพันธมิตรฯก็คงจะไม่หยุดจนกว่าแนวคิดทางการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของพวกเขาจะบรรลุ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงอันตรายยิ่งกว่าพวกก่อรัฐประหารในปี 2006 ที่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสัญญาว่าจะคืนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และภายหลังการกดดันอย่างหนัก พวกเขาก็ทำตามสัญญา
มั่งคั่ง ทันสมัย และเปิดกว้าง ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่แตกต่างไปจากยุคมืดที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่ากำลังง่อนแง่นภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารที่แยกตัวโดดเดี่ยวและโหดเหี้ยมรุนแรง มิตรประเทศต่างๆของไทยควรจะพูดกับพวกชนชั้นสูงของไทยให้ชัดเจนว่าการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นการก้าวถอยหลังเหมือนที่พม่าได้พบ และประเทศไทยอาจจะต้องเจอกับมาตรการลงโทษ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เห็นความไม่สงบผ่านโทรทัศน์ เช่น การปิดสนามบิน อาจจะบอยคอตต์ประเทศไทยด้วยวิธีของพวกเขาเอง
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 51 01:25:21