ความคิดเห็นที่ 1 เพราะมีไว่แค่ไปสมัครงานเท่านั้น แต่เวลาทำงานจริง ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความรู้เลย  เช่นที่แถวบ้านผมได้โคต้าเรียน มธ.สาขามนุษย์ศาสตร์  พอจบมา ขายล๊อตเตอร์รีเท่านั้น   น่าเสียดายวุฒิและโคต้าจัง จากคุณ : คน72000 - [ 9 ก.ย. 51 12:53:28 A:125.24.0.208 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 มันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว ถ้าคนเราไม่รู้จักพัฒาตนเอง ไม่รู้จักใช้ ความคิดเชี่อมโยง จากคุณ : อมยิ้มใหม่ - [ 9 ก.ย. 51 12:58:54 A:124.120.237.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่จบ ปริญญา ห้ามใช้ DTAC เพราะความรู้ไม่ถึง ไม่มีสติที่จะใช้ จากคุณ : stcm_741 - [ 9 ก.ย. 51 13:00:09 A:124.121.220.165 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ใครเอาเรื่องการศึกษามาแบ่งแยกทางความคิดและชนชั้น คนๆ จะได้คำ "ต่อว่า" มากกว่า "คำชม" จากคุณ : หนุ่มฝั่งธนฯV2 - [ 9 ก.ย. 51 13:00:35 A:58.9.44.39 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 คนอเมริกัน....หลายคนเรียนจบระดับ "ปริญญา"...แต่ก็ไปเอาดีทางขาย "ป๊อบคอน" อยู่บ้านเลี้ยงลูก....ประสพความสำเร็จในชีวิตและครอบครัวมากมาย...... ต่างจากบ้านเรา....ยังเห่อปริญญากันเป็นบ้าเป็นหลัง....บ้านใครมีลูกรับปริญญา ขนาดล้มวัวล้ม๐วาย....เลี้ยงกันเอิกเกริก....ทั้งหมู่บ้าน....แต่สุดท้าย..ตกงาน...ขายตัว ฯลฯก็เยอะแยะ จากคุณ : NoomMan - [ 9 ก.ย. 51 13:08:59 A:10.12.1.215 X:202.28.180.202 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มีไว้สมัครงาน กับใช้อัพเกรด ก็แค่นั้น... จากคุณ : N'Honey - [ 9 ก.ย. 51 13:22:58 A:58.10.64.222 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 คนที่เรียนปริญญาได้...ต้องยกความดีให้พ่อแม่ ที่มีให้โอกาสเลี้ยงดูส่งเสีย...ไม่ใช่ยกย่องตนเอง แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 51 13:25:08 จากคุณ : สมเดช - [ 9 ก.ย. 51 13:24:03 A:58.64.74.198 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในส่วนตัวผมนั้น วุฒิการศึกษายังมีความสำคัญในสังคมมาก คนที่มีการศึกษาสูงๆ เหมือนคนที่ผ่านการเดินทางไปในหลายที่หลายแหล่ง ได้พบได้เห็นได้รู้หลากหลายสิ่ง ยิ่งเดินทางมาก ก็ยิ่งได้พบได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ออกไปเรื่อยๆ เมื่อเอามาบวกกับประสบการณ์ ก็ทำให้เกิดความชำนาญ บางเส้นทาง เพียงปลายตามองเพียงแว่บเดียว ก็รู้ว่าเป็นที่ใหนชื่ออะไร และต่อไปเป็นอะไร ซึ่งผิดกับคนที่มีการศึกษาน้อย ก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยเดินทางไกล พบเห็นบางสิ่งบางอย่างบางครั้งอาจไม่รู้จัก เพราะไม่มีคนบอก แต่ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ไม่ได้ และคนมีการศึกษาน้อยก็ไม่ใช่คนโง่ หรือเป็นคนเลว ซึ่งก็เหมือนกับบางท่านที่กล่าว คนที่การศึกษาน้อยหลายๆคนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดก็มี อยากจะเอ่ยชื่อเศรษฐีเมืองไทยให้เป็นตัวอย่างซักหน่อย แต่ก็เกรงใจ ใบประกาศนีบัตรการศึกษา ซึ่งเป็นการรับรองฐานะของคนคนนั้นได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้รับรองว่า คนคนนั้นจะเป็นคนเก่ง หรือเป็นคนดี และคิดดีแต่อย่างใดเลย จากคุณ : La coeur - [ 9 ก.ย. 51 13:53:54 A:58.10.65.180 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 การศึกษา ไม่สามารถพูดได้เลยว่าตัวฉลาดกว่าคนอื่น เก่ง หรือดี กว่าคนอื่น เช่น หมอก็ฆ่าเมีย ได้ ถ้าคุณนึกว่าชาวไร่ชาวนาโง้ ขอให้พวกด๊อกเตอร์ ไปปลูกข้าว  ปลูกต้นไม้แข่งกับพวกนี้ดู จากคุณ : กาหลิบ (ดอกหญ้าคา) - [ 9 ก.ย. 51 13:58:57 A:58.8.212.150 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 คห.ที่ 9 ในส่วนตัวผมนั้น วุฒิการศึกษายังมีความสำคัญในสังคมมาก คนที่มีการศึกษาสูงๆ เหมือนคนที่ผ่านการเดินทางไปในหลายที่หลายแหล่ง ได้พบได้เห็นได้รู้หลากหลายสิ่ง ยิ่งเดินทางมาก ก็ยิ่งได้พบได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ออกไปเรื่อยๆ เมื่อเอามาบวกกับประสบการณ์ ก็ทำให้เกิดความชำนาญ บางเส้นทาง เพียงปลายตามองเพียงแว่บเดียว ก็รู้ว่าเป็นที่ใหนชื่ออะไร และต่อไปเป็นอะไร ------ขอชื่นชม..คุณ"La coeur"....ที่ได้แสดงความคิดเห็นที่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ..แสดงภูมิปัญญาอย่างดี ------เพราะเท่าที่เราพบเห็น...คนรอบๆตัวเรา..เราก็มักจะพบเสมอๆว่า...ทำไมนะ..เค้าช่างเข้าใจอะไรๆ ------ยากซะเหลือเกิน....แม้ว่าจะได้พยายามอธิบายอะไรให้ฟังยืดยาวอย่างไรก็ตาม..เหนื่อยเหมือนกัน ------สำหรับบางคนที่เราจะเสียเวลาไปเสวนาด้วย..เพราะตัวเค้าคงยอมรับยากพอๆกับคนที่มีวาระซ่อนเร้น ------เพราะคนประเภทหลังนี้...ไม่ใช่ว่าเค้าโง่...แต่เพราะมันไปขัดกับผลประโยชน์ส่วนตัวของเค้า ------จึงอาจจะต้องเห็นด้วยกับคุณว่า....คนเราฉลาดโง่ไม่เท่ากันเป็นพิ้นฐานอยู่แล้ว..แต่ถ้าได้ศึกษาเพิ่มเติม ------ก็อาจจะช่วยให้ "ช่องว่าง"....ทางความคิดลดน้อยลงบ้างไม่มากก็น้อย ------เพราะการศึกษา...ก็ช่วยส่งเสริมการใช้ "ปัญญา" ได้กว้างกว่า..การใช้เพียงกำลัง ซึ่งผิดกับคนที่มีการศึกษาน้อย ก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยเดินทางไกล พบเห็นบางสิ่งบางอย่างบางครั้งอาจ ไม่รู้จัก เพราะไม่มีคนบอก แต่ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ไม่ได้ และคนมีการศึกษาน้อยก็ไม่ใช่คนโง่ หรือเป็นคนเลว ซึ่งก็เหมือนกับบางท่านที่กล่าว คนที่การศึกษาน้อยหลายๆคนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดก็มี อยาก จะเอ่ยชื่อเศรษฐีเมืองไทยให้เป็นตัวอย่างซักหน่อย แต่ก็เกรงใจ ------ก็เห็นด้วยอีกเหมือนกันครับ...ว่า.."ความดี"....กับ "ความโง่ และความฉลาด"....อาจจะเป็นคนละเรื่องกัน ------แต่..เมื่อคนได้รับการศึกษามากขึ้น....ก็อาจจะมีส่วนที่จะทำให้คนๆนั้นมีทางเลือกที่จะคิด ไต่ตรอง ------หรือมีทางเลือก..ที่จะประพฤติปฏิบัติตน...ไปในทางที่ดี...มากขึ้น...คือเรียนมากก็มีโอกาสเป็นคนดีมากขึ้นนั่นเอง ------แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...คนที่เรียนสูงๆ..ทุกคนเป็นคนดีทั้งหมด....แน่ๆ...555555 ใบประกาศนีบัตรการศึกษา ซึ่งเป็นการรับรองฐานะของคนคนนั้นได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้รับรองว่า คนคนนั้นจะเป็นคนเก่ง หรือเป็นคนดี และคิดดีแต่อย่างใดเลย จากคุณ : La coeur  - [ 9 ก.ย. 51 13:53:54 A:58.10.65.180 X: ]   ------นั่นดิ....เราจึงอาจจะกำลังหลงทางคิดไปว่า....การศึกษาระดับปริญญาขึ้นไปเท่านั้น..ที่ควรจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง ------ก็ในเมื่อคนที่เรียนต่ำกว่า...แต่เค้าได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ....ถ้าเราเชื่อว่า...การศึกษามิได้ ------หมายความเพียงแค่ภายในห้องเรียน..ในโรงเรียน..ในมหาลัยเท่านั้น...แต่มันเป็นการศึกษาตลอดชีพ ------คนเก่ง....ต้องถามว่า "เก่งเรื่องอะไร แค่ไหน มีประโยชน์ต่อตนเอง และ/หรือ ต่อคนอื่นอย่างไร ------คนดี.......ต้องถามว่า...."ดีสำหรับใคร...ดีต่อพ่อแม่..ดีต่อลูก...แต่เป็นโจร"...คือคนดีจริงหรือ ------คนเรียนเก่ง...คนเรียนสูง...ต้องถามต่อว่า..."ทำงานเก่งจริงหรือ"...เป็นคนดี...แน่หรือ.... แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 51 14:30:05 จากคุณ : NoomMan - [ 9 ก.ย. 51 14:29:09 A:10.12.1.215 X:202.28.180.202 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คนจนไร้โอกาสไร้ปริญญา   ต้นทุนสังคมต่ำ   ใช่จะตอบโจทก์เกิดมาต้องเป็นโจรผู้ร้ายเสมอ   เพราะสิ่งแวดล้อมนำพา      ..........คนรวยมากล้น  วาสนาสูงส่ง   มากบารมี   ปริญญาล้นกระบุง    ต้นทุนสังคมสูง    ใช่จะตอบโจทก์เกิดมาต้องเป็นผู้ดีเสมอ    เพราะสิ่งแวดล้อมนำไปไม่     ..........ทุกสิ่งล้วนแต่มีปัจจัยอื่นสอดแทรก    คนที่คิดว่าดี    สังคมยอมรับ    รวยแล้วคงพอ    รวยแล้วคงอยากแบ่งปัน     แบ่งโอกาส   แบ่งความสุขเพื่อผู้อื่น    นั้นก็มีแต่ยังไม่มากพอ    คนหลายคนจึงยังไม่ทัดเทียมกัน     ..........แต่ยังมีคนส่วนน้อยนิด    สังคมยอมรับ   ต้นทุนสูงล้ำ   รวยแล้วคิดอยากรวยอีก    คิดลงทุนทำการค้าหวังผลเก็บดอกกำไรครองประเทศ    ปกปิดไม่นำพาความถูกต้อง     กล้าโกงภาษีโดยช่องทางกฎหมาย     กล้าเปลี่ยนกฎหมายเพื่อช่องทางตนเอง    กล้าเปลี่ยนสภาเสียงข้างมากเป็นบริษัทไม่จำกัดทุน    เพื่อแบ่งสรรปันส่วนแก่ครอบครัวและผู้ติดตามรับใช้     กล้าถลุงย่ำยี่งบประมาณแผ่นดินเพื่อผลสำเร็จตนและบริษัทย่อยสาขา    ..........เงินทุนมาจากงบประมาณ   กำไรกลับมาแบ่งปันแจกจ่ายคนเล่นตามบท    เล่นแร่แปรธาตุ    เปลี่ยนผิดเป็นถูก   สร้างกระแส  "ลวงโลก"    ผู้คนคิดต่างไม่สนองตอบ    ผู้คิดตามยกประเคนถึงที่     เหล่านี้   ..........ต่อให้เป็นคนแค่หยิบมือเดียว     แต่ความประพฤติและการกระทำมันส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อผู้คนและประเทศชาติ    เกิดความแตกแยกในความคิด    เกิดความแตกต่างในการกระทำ    เกิดความไม่เท่าเทียมในการใช้อำนาจรัฐ      สนองเพียงคนกลุ่มตน     ไม่ยอมรับไม่นำพาเสียงตรงข้าม     สร้างภาพกระแสลวง     อ้างตนเป็นเสียงข้างมากที่ระดมทุนซื้อซากผีดิบเหล่านั้นมาได้     ใช้เสียงข้างมากลากพา    เกิดการทุจริตในเชิงนโยบาย    เกิดการคอรับชั่นเพื่อเรียกทุนคืนในทุกกลุ่มชั้น     อำนาจปกครองแทรกแซงผู้ทำงาน    ลำดับถูกสับเปลี่ยน    ผู้น้อยไม่อาจฝืนกระแสลมบน    ยอมไขว้คว้าอำนาจอิงลดความเสียดทาน    กลายเป็นตอบสนองระบบทุน    ความยุติธรรมเอนเอียงด้วยอำนาจรัฐ  อำนาจทุน    จนสังคมเต็มไปด้วยอาการ  "เมาค้าง"      ..........สุดท้ายเกิดความคิดต่อต้านฝ่าฝืนอาการสังคม "เมา"  หลังเสพอำนาจนั้น     มีการรวมกลุ่มก้อน    ค้นหาสิ่งมอมเมาคล้ายเชื้อราเชื้อร้ายปานนั้น   ..........แนวทางฝืนกระแสเพื่อหักล้าง    จนมาถึงอาการ  "หักดิบ"   ของผู้ต้องการความเป็นธรรม  ยอมฝืนกระแสลวงโลก    ไม่ยี่หระอำนาจรัฐจอมปลอม      จากกลุ่มคนที่ถูกนายทุนเชิดโยง    อาการเช่นนี้   เค้าเรียก   "ประชาธิปไตยภาคประชาชน"    ..........ซึ่งถือเสียงประชาชนเป็นใหญ่    มันผู้ใดได้มาซึ่งเสียงแห่งปวงชนดุจเสียงสวรรค์     กลับทำการใช้โดยไม่ชอบธรรม    ไม่ยี่หระเสียงแห่งประชาเหล่านั้น    หากเพียงเพื่อหวังกอบโกย    หวังเพียงทดแทนคุณ    หวังเพียงทำลายล้าง   มันผู้นั้น   จักไม่มีแผ่นดินให้ซุกกายตนและครอบครัวทั้งโคตรเหง้าสืบต่อไป แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 51 16:07:16 จากคุณ : ลมออกหู - [ 9 ก.ย. 51 16:02:47 A:124.121.141.225 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 12   คนจนไร้โอกาสไร้ปริญญา   ต้นทุนสังคมต่ำ   ใช่จะตอบโจทก์เกิดมาต้องเป็นโจรผู้ร้ายเสมอ   เพราะสิ่งแวดล้อมนำพา      ..........คนรวยมากล้น  วาสนาสูงส่ง   มากบารมี   ปริญญาล้นกระบุง   ต้นทุนสังคมสูง    ใช่จะตอบโจทก์เกิดมาต้องเป็นผู้ดีเสมอ     ------มันขึ้นอยู่กับว่า...เสียงส่วนใหญ่ในประเทศ..ต้องการอย่างไร ------คำตอบมันมีอยู่แล้วว่า...คนที่เรียนสูงๆ..คนที่มีฐานะทางสังคมสูงๆ..หรือคนที่หลายๆคนชื่นชม ------ว่าเค้าเป็นคนมีคุณธรรม จริยธรรม.แต่ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ...ตอบสนองความ ------ต้องการของคนส่วนใหญ่ใช่ว่าจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาหรือไม่สามารถทำงานในหน้าที่ดังกล่าวได้ ------เพราะถ้าหากคิดว่า...คนที่มีคุณธรรม จริยธรรม...มีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศได้ ------แล้วทำไมจึงเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ...เข้ามาอยู่ในระบบการเลือกตั้ง..มีการเลือกตั้งทำไม ------ถ้าแน่ใจแล้วว่า...การเลือกตั้ง..ไม่ใช่คำตอบ...เสียงข้างมาก..ไม่ใช่คำตอบ...ก็เอาคนที่หลายๆคน ------อุปโลก...ว่าดีเหลือหลายนั้นเป็นผู้นำตลอดไปสิ... เพราะสิ่งแวดล้อมนำไปไม่     ..........ทุกสิ่งล้วนแต่มีปัจจัยอื่นสอดแทรก    คนที่คิดว่าดี    สังคมยอมรับ    รวยแล้วคงพอ    รวยแล้วคงอยากแบ่งปัน     แบ่งโอกาส   แบ่งความสุขเพื่อผู้อื่น    นั้นก็มีแต่ยังไม่มากพอ   คนหลายคนจึงยังไม่ทัดเทียมกัน     ..........แต่ยังมีคนส่วนน้อยนิด    สังคมยอมรับ   ต้นทุนสูงล้ำ   รวยแล้วคิดอยากรวยอีก    คิดลงทุนทำการค้าหวังผลเก็บดอกกำไรครองประเทศ    ปกปิดไม่นำพาความถูกต้อง ------ความถูกต้องของสังคม...ต้องมีการขีดเส้นว่า...มีขอบเขตอยู่ตรงไหน...ไม่ใช่กล่าวลอยๆ..พล่ามคุณธรรม ------จริยธรรมลอยๆ..แต่ไม่มีกฏหมายรองรับ...ก็คงเถียงกันไม่จบแน่ๆ....สังคมก็จะวุ่นวายอยู่อย่างนี้ ------ส่วนที่บอกว่า..ใ:-)..ไม่รวย..พอไม่พอ...โกงไม่โกง...ก็ได้แต่นินทาว่าร้าย..อาศัยการจินตนาการ ------กันไปเอง....ข้อยุติ...อยู่ตรงไหน...คนส่วนใหญ่...ไม่มีสิทธิ..ในการวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้หรือไร     กล้าโกงภาษีโดยช่องทางกฎหมาย     กล้าเปลี่ยนกฎหมายเพื่อช่องทางตนเอง   ------ถ้าเลื่อมใสในการปกครอบระบอบประชาธิปไตยจริง...ก็ต้องยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ------กฏหมาย..เป็นส่งที่มนุษย์สร้างขึ้น...เสียงส่วนใหญ่...เอาอย่างไง...ก็ต้องตามนั้น ------ทุกคนที่อยู่ในประเทศเดียวกัน...คงไม่มีใครอยากเสียภาษี...ทั้งนั้น...แต่ที่ต้องเสียภาษีเพราะมีกฏหมายบัญญัติ ------ความเท่าเทียมกัน...ยังคงหาไม่ได้ 100% เพราะทุกคนในประเทศไม่ได้ร่ำรวยเท่ากัน ------ช่องทางที่ไม่อยู่ในกฏหมาย..ต้องทำได้...ไม่งั้นถ้าคุณหายใจรดต้นคอคนอื่น...ก็คงทำไม่ได้...เพราะอ้างว่า          ไม่มีมารยาท..ไม่ผิดกฏหมายแต่ผิดคุณธรรมจริยธรรม.....ไม่งั้นก็คงอยู่กันไม่ได้ ------คุณทำอะไรก็ตาม....ไม่ผิดกฏหมาย แต่..คนบางคนไม่ชอบ..ไม่ถูกใจ...แล้วถือว่านั่นเป็นการผิดจริยธรรม ------คนออกกฏหมาย....เพื่อตนเอง....คงอยู่ไม่ได้นาน..ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย..กฏกติกา กฏหมาย ------บังคับอยู่แล้ว....ก็ไปฟ้องร้องกันได้..แต่ไม่ใช่มีคนกลุ่มหนึ่งมาทำผิดกฏหมาย..เช่นปิดถนน..ฯลฯซะเอง          ผิดคุณธรรม....อย่างงั้น...ก็คงออกนอกบ้านไม่ได้แน่ กล้าเปลี่ยนสภาเสียงข้างมากเป็นบริษัทไม่จำกัดทุน    เพื่อแบ่งสรรปันส่วนแก่ครอบครัวและผู้ติดตามรับใช้     กล้าถลุงย่ำยี่งบประมาณแผ่นดินเพื่อผลสำเร็จตนและบริษัทย่อยสาขา    ..........เงินทุนมาจากงบประมาณ   กำไรกลับมาแบ่งปันแจกจ่ายคนเล่นตามบท    เล่นแร่แปรธาตุ    เปลี่ยนผิดเป็นถูก   สร้างกระแส  "ลวงโลก"   ผู้คนคิดต่างไม่สนองตอบ    ผู้คิดตามยกประเคนถึงที่     เหล่านี้   ..........ต่อให้เป็นคนแค่หยิบมือเดียว ------ถ้าสังคม..ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่...แต่หันไปยอมรับเสียงส่วนน้อย...แล้วเปิดให้มีการเลือกตั้งทำไมไม่ทราบ ------แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า...เสียงส่วนน้อยไม่ประพฤติตนอย่างที่ว่า... ------ข้อยุติ...ที่ทุกคนยอมรับอยู่ตรงไหนกันแน่   แต่ความประพฤติและการกระทำมันส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อผู้คนและประเทศชาติ   ------ส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต้อผู้คนและประเทศชาติ..ส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไรบ้าง ------น่าจะแจงรายละเอียด..นำมาชี้ให้เห็นชัดๆ...ไม่ใช่กล่าวสวยหรูลอยๆ..แบบอคติ..จึงจะเรียกว่า ------วิญญูชน..ที่น่ายกย่อง  เกิดความแตกแยกในความคิด    เกิดความแตกต่างในการกระทำ    เกิดความไม่เท่าเทียมในการใช้อำนาจรัฐ ------การแตกแยกในความคิด...เป็นธรรมดาของคนที่อยู่ในสังคมมนุษย์เสมอ ------ถามว่าสังคมที่อยู่ในระบอบเผด็จการ..เสียงข้างน้อย..มีความคิดแตกแยกหรือไม่... ------แต่ที่เห็นว่าไม่แตกแยกน่าจะเป็นเพราะจำทนอยู่ด้วยการถูกบังคับ..ด้วยปลายกระบอกปืนหรือไม่ ------แล้วนั่น..ไม่ใช่การ "ลวงโลก" หรือไร..มีความเท่าเทียมในการใช้อำนาจรัฐหรือไร     สนองเพียงคนกลุ่มตน     ไม่ยอมรับไม่นำพาเสียงตรงข้าม     สร้างภาพกระแสลวง     อ้างตนเป็นเสียง ข้างมากที่ระดมทุนซื้อซากผีดิบเหล่านั้นมาได้     ใช้เสียงข้างมากลากพา    เกิดการทุจริตในเชิงนโยบาย   เกิดการคอรับชั่นเพื่อเรียกทุนคืนในทุกกลุ่มชั้น     อำนาจปกครองแทรกแซงผู้ทำงาน    ลำดับถูกสับเปลี่ยน   ผู้น้อยไม่อาจฝืนกระแสลมบน    ยอมไขว้คว้าอำนาจอิงลดความเสียดทาน    กลายเป็นตอบสนองระบบทุน   ความยุติธรรมเอนเอียงด้วยอำนาจรัฐ  อำนาจทุน    จนสังคมเต็มไปด้วยอาการ  "เมาค้าง"      ..สุดท้ายเกิด ความคิดต่อต้านฝ่าฝืนอาการสังคม "เมา"  หลังเสพอำนาจนั้น     มีการรวมกลุ่มก้อน    ค้นหาสิ่งมอมเมาคล้าย เชื้อราเชื้อร้ายปานนั้น   ..........แนวทางฝืนกระแสเพื่อหักล้าง    จนมาถึงอาการ  "หักดิบ"   ของผู้ต้องการความ เป็นธรรม  ยอมฝืนกระแสลวงโลก    ไม่ยี่หระอำนาจรัฐจอมปลอม      จากกลุ่มคนที่ถูกนายทุนเชิดโยง     อาการเช่นนี้   เค้าเรียก   "ประชาธิปไตยภาคประชาชน"    ..........ซึ่งถือเสียงประชาชนเป็นใหญ่     มันผู้ใดได้มาซึ่งเสียงแห่งปวงชนดุจเสียงสวรรค์     กลับทำการใช้โดยไม่ชอบธรรม    ไม่ยี่หระเสียงแห่งประชา เหล่านั้น    หากเพียงเพื่อหวังกอบโกย    หวังเพียงทดแทนคุณ    หวังเพียงทำลายล้าง   มันผู้นั้น   จักไม่มีแผ่นดินให้ซุกกายตนและครอบครัวทั้งโคตรเหง้าสืบต่อไป จากคุณ : ลมออกหู  - [ 9 ก.ย. 51 16:02:47 A:124.121.141.225 X: ]   -----ที่พล่ามมาทั้งหมด..ก็จับใจความได้แต่เพียงว่า..ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ว่างั้นเหอะ -----แล้ว "ประชาธิปไตยภาคประชาชน"...ที่คุณหมายถึงเนี่ย...หมายถึงกลุ่มไหน -----ใครเลือกเค้าเข้ามา..ใครยอมรับมั่ง....มีใครสามารถตรวจสอบที่มาที่ไป...ทรัพย์สิน..วาระซ่อนเร้น -----ของคนที่คุณว่าได้หรือไม่..มีกฏหมายรองรับแค่ไหน จากคุณ : NoomMan - [ 10 ก.ย. 51 10:34:40 A:10.12.1.215 X:202.28.180.202 ]