หัวข้อนี้ผมเห็นอยู่ในกระทู้ข้างล่าง ซึ่งเป็นบทความของประดาบ วิเคราะห์ไว้น่าคิดตาม ลองอ่านดูนะครับ
มีข้อพึงสังเกตบางประการเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผมเห็นว่าไม่ควรมองข้ามไป แม้จะเป็นเงื่อนงำเล็กๆ ที่ใครต่อใครก็มองข้าม แต่ผมเห็นว่าไม่อาจจะมองข้ามไปได้ เพราะผลของเงื่อนงำที่ถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่สุจริตในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญประการนี้ มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ และ ทุกองค์กร ในประเทศไทย หากวันหนึ่งข้างหน้ามีผู้ใดหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ในอนาคต
เงื่อนงำบางประการที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่กระทำให้มีความชัดเจนที่ผมกล่าวถึงนี้ก็คือ นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี ตั้งแต่วันใด
ในกรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ ศาลรัฐธรรมนูญ (ชุดเดียวกัน) มีคำวินิจฉัยว่า...
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ผู้ถูกร้องได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 และได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบของตนเองและคู่สมรสต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 กรณีเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว และไม่ปรากฏว่าผู้ถูกร้องได้แจ้งให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ทราบว่าประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการที่นางจุไร สะสมทรัพย์ คู่สมรสของผู้ถูกร้องถือหุ้นในบริษัท ทรัพย์ฮกเฮง จำกัด เกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้น ที่จำหน่ายได้ในบริษัทภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ถูกร้องได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 269 แม้ว่าในปัจจุบันพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ยังมิได้มีการบัญญัติให้รวบถึงการถือครองหุ้นและได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี แต่เมื่อรัฐธรรมนูญ มาตร 269 บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีผู้นั้นที่จะต้องแจ้งให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ทราบ ดังนั้น รัฐมนตรีจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งความประสงค์จะรับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย กรณีจึงถือว่าการกระทำของผู้ถูกร้องในฐานะรัฐมนตรีเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 269 เป็นการกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7)ประกอบมาตรา 269
มีกรณีต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้ถูกร้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อใด เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง(7) บัญญัติให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 269 ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อมีเหตุการใดเหตุการณ์หนึ่งตามที่กำหนดไว้เกิดขึ้น ความเป็นรัฐมนตรีย่อมต้องสิ้นสุดลงทันที ไม่ใช่สิ้นสุดลงในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ส่วนมาตรา 92 นั้น เป็นการบัญญัติถึงการลาออกจากตำแหน่งไว้เพื่อแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับกิจการที่รัฐมนตรีได้ทำไปหลังจากความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดแล้วถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ไม่ให้กระทบกระเทือนกิจการที่กระทำไปในระหว่างนั้น หากความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติรับรองกิจการที่ทำไปก่อนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง(7) ประกอบมาตรา 269 ตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
หากศาลรัฐธรรมนูญ มีมาตรฐานเดียวในการวินิจฉัยกรณีนายสมัคร สุนทรเวช กับกรณ๊ นายไชยา สะสมทรัพย์ ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะต้องกำหนดให้ชัดว่านายสมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่วันใด เพราะประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญ ยิ่งเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยิ่งต้องได้รับความสนใจ ใส่ใจ ที่จะพิจารณาวินิจฉัยมากกว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่จากคำวินิจฉัยที่นำมาเสนอเปรียบเทียบ สองกรณีนี้ จะเห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญ มีสองมาตรฐานในการวินิจฉัย อย่างชัดเจน และมิอาจจะปฏิเสธได้
หากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีสองมาตรฐาน และใช้มาตรฐานเดียวกันในสองกรณีนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ก็จะต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่กระทำการอันเป็นเหตุให้มีคุณสม บัติขัดรัฐธรรมนูญ คือ ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันที่นายสมัคร สุนทรเวช ทำการบันทึกเทปรายการชิมไปบ่นไป เป็นครั้งแรก หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เป็นการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก่อนที่จะแถลงนโย บายบริหารราชการแผ่นดินต่อรัฐสภา ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2551
เป็นการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นัดที่หนึ่งจนถึงนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา
เป็นการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายประสพสุข บุญเดช เป็นประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2551
เป็นการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหารประจำปี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2551
เป็นการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
พิจารณาเพียงเท่านี้ ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายแล้วว่า เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตามมาตรา 182 (7) แล้ว การบริหารราชการแผ่นดิน ในห้วงเวลาที่ผ่านมา 7 เดือน จะเป็นโมฆะหรือไม่
การลงนามในข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลนานาชาติ ยังมีผลสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นโมฆะทั้งหมด
การรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานวุฒิสภา มีความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และตำแหน่งประธานวุฒิสภา ของนายประสพสุข บุญเดช มีความถูกต้อง มีผลสมบูรณ์หรือไม่ หากว่าผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติ หรือ เป็นผู้ที่ไม่มีสถานะรับสนองพระบรมราชโองการ ได้
เช่นเดียวกับ การรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายทหารประจำปี มีความถูกต้องหรือไม่ ในเมื่อนายสมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551
คำถามเหล่านี้ ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้เกิดความกระจ่าง ก่อนที่จะมีการตีความแบบเข้าข้างตัวเอง ของฝ่ายต่างๆ คนต่างๆ อันจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมาอีก หลายร้อยพันเรื่อง
เช่นเดียวกันหากศาลรัฐธรรมนูญ ใช้มาตรฐานเดียวกับกรณีนายไชยา สะสมทรัพย์ ก็ต้องบอกว่าการกระทำใดๆ ของนายสมัคร ที่เกิดขึ้นหลังวันสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ย่อมไม่มีผลตามกฎ หมาย เนื่องจากนายสมัคร ไม่มีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ แล้ว มิใช่ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
พอจะมองเห็นเค้าลางความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี หรือยัง
พอจะมองเห็นความไม่สุจริตในคำวินิจฉัยแบบสองมาตรฐานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือยัง
พอจะมองเห็นความไม่น่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง และ ใช้ศาล เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมืองให้แก่ใครบางคนหรือยัง
พอจะมองเห็นหรือยังว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีเจตนาที่จะกำจัด นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลที่มาจากประชาชน และพยายามจำกัดความเสียหายให้อยู่ในวงจำกัดเฉพาะรัฐบาล ป้องกันไม่ให้ลุกลามไปถึงองค์กร บุคคลอื่น ที่เป็นพวกพ้องของตนเอง
ลองตอบตัวเองว่า เราจะเชื่อถือศาลรัฐธรรมนูญ และ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนนี้ ได้อีกหรือไม่ ?
ประดาบ
--------------------------------------------------
ในเรื่องที่เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของตลก.ผมไม่ขอพูดถึง แต่ละคนตั้งธงกันเองละกัน แต่ประเด็นของบทความนี้ที่ผมเห็นว่าสำคัญ และน่าเป็นห่วงมากคือ สมัคร พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่วันไหน ถ้าเป็นตั้งแต่ได้เริ่มมีการกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ(อย่างที่ศาลว่า) นั่นคือตั้งแต่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 อย่างนั้นสิ่งที่คุณสมัครทำมาทั้งหมดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถือเป็นโมฆะใช่หรือไม่(อย่างที่หลายๆคนในห้องนี้ล้อกันว่าถ้าจรัญโดยข้อหาเดียวกัน ที่ตัดสินทั้งหมดถือว่า = 0) อย่างนั้นทุกเรื่องต้องรื้อมาทำใหม่กันหมดรึเปล่า ใครที่พอจะทราบ รบกวนอธิบายให้ฟังทีครับ
จากคุณ :
Number 31
- [
11 ก.ย. 51 03:56:33
A:124.120.0.16 X:
]