เย็นวานนี้ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ได้ขอยุติการได้รับเสนอชื่อเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ สส. ภายในพรรคพลังประชาชน สามารถลงมติเลือกผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อในสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทูลเกล้าเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยไม่ต้องพะวงกับธรรมเนียมปฏิบัติที่หัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งมีเสียงข้างมากจะเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อโดยผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร
เชื่อว่า หลายท่านโดยเฉพาะผู้สนับสนุน ท่านสมัคร คงรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง และอาจรู้สึกว่า ประชาธิปไตย ได้พ่ายแพ้อีกคำรบหนึ่งแล้ว แต่โดยส่วนตัว ผมกลับรู้สึกชื่นชม ท่านอดีตนายกฯ สมัคร มากขึ้น และเห็นว่า การที่ท่านถอนตัวในการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ช่วย รักษาระบอบประชาธิปไตย ไว้
ในกระทู้ก่อนๆ ผมได้แสดงความเห็นไว้ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ส่งผลให้ท่านสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ตีความกฎหมายโดยไม่อ้างอิงตามนิยามของกฎหมายที่มีอยู่แต่กลับไปตีความตามพจนานุกรม ซึ่งคงจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่เหล่านักกฎหมายและบรรดาที่ปรึกษาทางกฎหมายว่า จะยึดถือนิยามอ้างอิงกันอย่างไรต่อไปในการทำนิติกรรมสัญญาต่างๆ
แม้ท่านสมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็ตาม แต่เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีว่าผู้นำฝ่ายบริหาร ยังคงให้เกียรติและยอมรับในการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการ จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม หากท่านอดีตนายกฯ สมัครจะยังไม่กลับมารับตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารในช่วงนี้ เว้นแต่ว่าสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเห็นชอบต่อการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรอบที่สองของท่าน
แต่เหตุการณ์ในวันที่ 12 กันยายน 2551 ที่ รัฐสภา เป็นภาพที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่า สภาผู้แทนราษฎร ไม่มีความสบายใจต่อการกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านสมัคร ซี่งจะมาจากเหตุผลที่แท้จริงอะไรก็ตาม แต่ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชน คือ สมาชิกผู้แทนราษฎร ทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนในพรรคพลังประชาชน ต่างมีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองโดยเฉพาะในเรื่องความขัดแย้ง ซึ่งมีหลายฝ่ายท้วงติงว่าไม่ควรจะกระทำการอันใดที่จะเป็นเงื่อนไขหรือเป็นเการเติมชื้อไฟให้สถานการณ์ทางการเมืองยิ่งลุกลามไปกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้
หากพรรคพลังประชาชนจะยืนกรานในการเสนอให้ท่านสมัคร ได้รับการเสนอชื่อขึ้นทูลเกล้า เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ก็เท่ากับว่าพรรคพลังประชาชนกระทำการที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย ที่แม้จะต้องให้การยอมรับในมติของเสียงส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักเคารพในความคิดเห็นของเสียงส่วนน้อยด้วย
การดื้อแพ่งไม่ฟังเสียงทักท้วงของภาคส่วนอื่นๆ ในสังคมเลยจะทำให้พรรคพลังประชาชนมีภาพพจน์ไม่แตกต่างจากกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ละเมิดอำนาจอธิปไตยของปวงชน ทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ โดยไม่เคยรับฟังเสียงท้วงติงจากองค์กรหรือสถาบันใดเลย ซ้ำยังกระทำการกล่าวหาดูหมิ่นว่ากล่าวผู้มีความเห็นแตกต่างด้วยถ้อยคำหยาบคาย
การประกาศถอนตัวของท่านสมัครในครั้งนี้ ได้สะท้อนว่า ท่านมีความเข้าใจในหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และท่านมีความห่วงใยชาติบ้านเมืองจริงๆ
ดังนั้น ความเสียสละของท่านอดีต นายกฯ สมัคร ในวันนี้ จึงเป็นเรื่องน่ายกย่อง เพราะท่านได้ทำให้ระบอบประชาธิปไตย เดินหน้าต่อไปได้ตามครรลอง ซึ่งขั้นตอนต่อไปพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากจะต้องลงมติเลือกผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อในสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทูลเกล้าเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในวันพุธที่ ๑๗ กันยายน ที่จะถึงนี้ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคได้ประกาศกับสาธารณชนแล้วว่า ยินดีที่จะให้การสนับสนุนพรรคพลังประชาชน เนื่องจากตามระบบรัฐสภาและระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พรรคเสียงข้างมากย่อมมีความชอบธรรมในการเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อพรรคการเมืองในรัฐบาลทุกพรรคได้แสดงออกซึ่งการรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็สมควรถึงเวลาแล้วที่กลุ่มอำนาจและกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ได้แก่ กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม รวมทั้งพรรคการเมืองบางพรรคที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรฯ จะต้องยุติความเคลื่อนไหวทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยุติสร้างความขัดแย้งแตกแยก ยุติการทำลายความสงบสุขในสังคมไทย และแกนนำพันธมิตรควรได้แสดงออกซึ่งความเคารพในอำนาจตุลาการอย่างปากว่าโดยการยินยอมเข้ามอบตัวเพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
จากคุณ :
จำปีเขียว
- [
13 ก.ย. 51 15:00:28
A:125.27.214.245 X:
]