ความคิดเห็นที่ 1

กรณีศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการจัดรายการชิมไปบ่นไปของอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช นั้นเข้าข่ายเป็น ลูกจ้าง แล้ว โดยศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดพจนานุกรม5 เพื่อหาความหมายของคำว่า ลูกจ้าง ว่ามีความหมายว่าอย่างไร โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คำว่า "ลูกจ้าง" ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีความหมายกว้างกว่าคำนิยามของกฎหมาย หรือการแปลตามความหมายทั่วไป โดยศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดดูพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ในความหมายของ "ลูกจ้าง" ว่าหมายถึง ผู้รับจ้างทำการงาน ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิได้คำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น หากได้มีการตกลงรับจ้างกันทำการงานการแล้วย่อมมีความของคำว่า "ลูกจ้าง" ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ทั้งสิ้น
ในคดีชิมไปบ่นไป ผมมีข้อสังเกตบางประการดังนี้
ประการแรก ประเด็นที่สำคัญของคดีนี้คือ การทำรายการของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นมีลักษณะเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ การจะวินิจฉัยว่า อดีตนายกฯ มีสถานะเป็นลูกจ้างหรือไม่ มิใช่เพียงแค่เปิดพจนานุกกรมเพื่อหาความหมายของคำว่าลูกจ้าง แต่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิเคราะห์ลักษณะหรือองค์ประกอบของสัญญาจ้างแรงงานด้วย ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงานนั้นมีหลายประการ เช่น เป็นสัญญาเฉพาะตัว เป็นสัญญาต่างตอบแทน เป็นสัญญาไม่มีแบบ เป็นสัญญาที่นายจ้างมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือลูกจ้าง ผมไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่จะวินิจฉัยว่าอดีตนายกฯ เป็นลูกจ้างนั้น ได้มีการวิเคราะห์อธิบายแต่ละองค์ประกอบข้างต้นว่าลักษณะการทำงานของอดีตนายกฯ นั้นเข้าองค์ประกอบแต่ละข้ออย่างละเอียดหรือไม่ เนื่องจากขณะเขียนบทความนี้ คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เผยแพร่ ข่าวที่ปรากฏดูเหมือนว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเพ่งเล็งไปที่เรื่องค่าตอบแทนเป็นหลัก แต่ค่าตอบแทนนั้นเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานเท่านั้น
ประการที่สอง แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการจ้างแรงงาน มาตรา 575 จะไม่มีบทนิยามศัพท์หรือคำอธิบายว่าลูกจ้างคืออะไรก็ตาม แต่กฎหมายแรงงานอย่างอื่นก็มีบทนิยามศัพท์ในเรื่องลูกจ้างว่าคืออะไร เช่น ใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 4 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายถึง ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร หรือใน พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 5 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย หรือ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 5 บัญญัติว่า ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญควรพิจารณาจากแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งมีอยู่มากมาย เกี่ยวกับสาระสำคัญของสัญญาจ้างแรงงานว่ามีอะไรบ้าง กล่าวโดยสรุปแล้ว การค้นหาความหมายของคำว่าลูกจ้าง ศาลรัฐธรรมนูญควรเทียบเคียงจากกฎหมายแรงงานอื่นๆ มากกว่าดูจากพจนานุกรมอย่างเดียว การที่ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า กฎหมายแต่ละฉบับมีเจตนารมณ์เป็นของตนเองแตกต่างกันไปแต่ละฉบับนั้น แม้จะรับฟังได้ก็ตาม แต่การค้นหาความหมายของลูกจ้างที่ปรากฏในกฎหมายแรงงาน ประกอบกับแนวคำพิพากษาของศาลที่มีอยู่มากมาย รวมทั้งตำรากฎหมายแรงงานซึ่งมีผู้แต่งหลายท่าน เพื่อค้นหาหลักหรือสาระสำคัญของลูกจ้างหรือสัญญาจ้างเเรงงานว่ามีลักษณะอย่างไร ย่อมดีกว่าเพียงแค่เปิดพจนานุกรมอย่างแน่นอน
ประการที่สาม ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญควรอธิบายหรือวิเคราะห์ก็คือ ความหมายของคำว่า ค่าจ้าง ว่ามีความหมายแคบกว้างเพียงใด โดยศึกษาเปรียบเทียบจากกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งได้มีบทนิยามความหมายของคำว่า ค่าจ้าง ไว้แล้ว เพื่อประกอบเป็นแนว
ประการที่สี่ ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์และกฎหมายแรงงานอื่นๆ มีศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจนำมาใช้ได้นั้น ข้อนี้มีน้ำหนักน้อย เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายแรงงานอื่นๆ ยังมีสถานะเป็นกฎหมาย แต่พจนานุกรมนั้นไม่มีสถานะเป็น กฎหมาย ด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ ประเด็นนี้ไม่ใช่เป็นประเด็นเรื่อง ลำดับชั้น หรือ ลำดับศักดิ์ ของกฎหมาย (Hierarchy of laws) ลำดับชั้นหรือลำดับศักดิ์ของกฎหมาย หมายถึง กรณีที่กฎหมายลำดับต่ำกว่าจะมีเนื้อหาหรือข้อความขัดกับกฎหมายในลำดับสูงกว่าไม่ได้ แต่กรณีนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งว่าด้วยสัญญาจ้างแรงงานก็ดี กฎหมายแรงงานอื่นๆ ก็ดี หาได้มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับมาตรา 267 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่
ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมายมาเป็นเหตุผลนั้น เป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวมากกว่า อีกทั้ง อ.หยุด แสงอุทัย ยังได้ตั้งเป็นข้อสังเกตอีกว่า เป็นไปไม่ได้ที่กฎหมายฉบับหนึ่งจะบัญญัติทุกสิ่งทุกอย่าง6 ผมเห็นว่า ผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่ให้คำนิยามหรือบทนิยามศัพท์ได้ทุกคำ ถ้อยคำกฎหมายใดที่กฎหมายนั้นๆ ไม่มีการให้คำนิยามศัพท์เป็นการเฉพาะเจาะจงแล้ว ผู้ใช้กฎหมายพึงเทียบเคียงกับกฎหมายทั่วไปอย่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายอาญา หรือค้นหาจากแนวคำพิพากษาของศาลในเรื่องนั้นๆ ประกอบการตัดสิน
จากคำอธิบายของ อ.หยุด แสงอุทัย ข้างต้น ผมเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความคำว่า ลูกจ้าง ให้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน โดยเทียบเคียงจากกฎหมายแรงงานอื่นๆ แนวคำพิพากษาของศาลและตำรากฎหมายแรงงาน เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของระบบกฎหมายด้วย มิใช่พิจารณาเพียงแค่เรื่องลูกจ้างเท่านั้น การตีความโดยอาศัยพจนานุกรมนั้นไม่เพียงพอที่จะอธิบายความหมายของลูกจ้างได้ เพราะคำว่าลูกจ้างนั้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงาน แต่ศาลรัฐธรรมนูญต้องอธิบายองค์ประกอบอื่นของสัญญาจ้างแรงงานด้วย บทส่งท้าย : หน้าที่ของคำพิพากษาคือการวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายที่เป็นประเด็นพิพาทกัน คำพิพากษาที่ดีจะต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยุติ ไม่คลุมเครือ และหลักกฎหมายที่ถูกต้อง ชัดเจน ปราศจากข้อความที่ไม่จำเป็นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็นส่วนตัว ถ้อยคำในเชิงอบรมหรือตำหนิติเตียน (ไม่ว่าผู้พิพากษาท่านนั้นจะมีความตั้งใจดีเพียงใดก็ตาม) ภาษาที่ฟุ่มเฟือย เป็นต้น ตลอดจนการตีความกฎหมายที่ถูกต้องตามหลักวิชานิติศาสตร์ในระบบกฎหมายนั้นๆ ที่สำคัญที่สุด คำพิพากษาที่ตัดสินออกมาแล้วจะให้ประชาชนยอมรับ (หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์น้อยที่สุด) มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการให้เหตุผลทางกฎหมาย (Legal reasoning) เป็นสำคัญ คำพิพากษาที่ดีจึงมิใช่เป็นเรื่องของการมุ่งไปที่ ผล อย่างเดียว แล้วหาคำอธิบายมาประกอบเท่านั้น โดยหวังว่า ผล ของคำพิพากษาจะแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้ เพราะว่าประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า ผล (Result) กับ เหตุผล (Reason) นั้นไม่เหมือนกัน ................................................................................... 1 Eva Steiner, French Legal Method, (New York: Oxford University Press, 2002), p.150 2 Gwen Morris, Laying Down the Law, (Sydney: Butteworths1992) p.47 3 หยุด แสงอุทัย, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล, (กทม: สำนักพิมพ์หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527) หน้า 53 4 ปรีดี เกษมทรัพย์, กฎหมายแพ่ง: หลักทั่วไป, (กทม.: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์, 2526), หน้า 66 5 ในต่างประเทศ ผู้พิพากษาก็เปิดดูพจนานุกรมเพื่อหาความหมายของศัพท์กฎหมายได้ แต่พจนานุกรมนี้มิใช่เป็นพจนานุกรมทั่วๆ ไป แต่เป็นพจนานุกรมทางกฎหมายโดยเฉพาะ เช่น Prof. Glanville Williams แนะนำให้ใช้พจนานุกรมชื่อว่า Brooms Legal Maxim หรือ A Dictionary of Modern Legal Usage เป็นต้น โปรดดู Glanville Williams, Learning the Law, (London: Sweet & Maxwell), หน้า 88-89 ในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสก็มีการใช้พจนานุกรมทางกฎหมายของ Guillien and Vincent, Lexique de Terms Juridique และ Cornu, Vocabulaire Juridique, โปรดดู Eva Steiner, อ้างแล้ว, หน้า 152 6 หยุด แสงอุทัย, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป, (กทม: สำนักพิมพ์ประกายพรึก), หน้า 171
รศ.ดร. ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(ที่มา คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ ประชาทรรศน์รายวัน , 29 ก.ย. 2008)
จากคุณ :
inthemiddleofthesea
- [
2 ต.ค. 51 19:54:11
A:202.44.4.62 X:
]
|
|
|