การก่อการร้ายสากล
ความหมายของคำว่าการก่อการร้ายสากล
ในการประชุมสมัชชาองค์การสหประชาชาติ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๕ คณะกรรมการร่างกฎหมายองค์การสหประชาชาติกำหนดว่า การก่อการร้ายสากล เป็นการกระทำที่
๑) มุ่งกระทำต่อบุคคลซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ผู้นำของรัฐ หรือนักการทูต
๒) เป็นสลัดอากาศกระทำต่อเครื่องบินโดยสารพลเรือน
๓) ส่งผู้ก่อการร้ายไปปฏิบัติการนอกประเทศ
๔) ใช้ชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย
รัฐบาลไทยกำหนดนิยามคำว่าการก่อการร้ายสากลไว้ในนโยบายการแก้ปัญหาการก่อการร้ายสากล ว่า เป็นการปฏิบัติการคุกคาม หรือใช้ความรุนแรงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มุ่งหวังผลตามเงื่อนไขข้อเรียกร้องทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งส่วนใหญ่จะปฏิบัติการล่วงล้ำเขตแดนหรือเกี่ยวพันกับชาติอื่น การกระทำนั้นอาจเป็นไปโดยเอกเทศปราศจากการสนับสนุนจากรัฐใด หรือมีรัฐใดรัฐหนึ่งสนับสนุนรู้เห็นก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของชาติ พันธกรณีระหว่างประเทศ นโยบายของชาติด้านการเมือง การป้องกันประเทศ เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา ชื่อเสียง และเกียรติภูมิของชาติ
ลักษณะพิเศษของการก่อการร้ายสากล
๑) ผู้ก่อการร้ายอาจไม่เคยมีความบาดหมางและไม่เคยมีความสัมพันธ์มาก่อนกับฝ่ายปราบปรามหรือรัฐที่ทำการปราบปราม แต่ต้องการให้รัฐนั้นปฏิบัติตามหรือจัดให้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตนต้องการ เงื่อนไขดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐนั้นหรือความสัมพันธ์กับรัฐอื่น หรือทำให้ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ชื่อเสียง และเกียรติภูมิของชาติเสียหาย
๒) การก่อการร้ายจะทำให้เกิดการตื่นตระหนกจนควบคุมสถานการณ์ได้ยาก อาจมีการใช้เด็กและผู้หญิงเป็นตัวประกัน ถ้าไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องอาจเกิดอันตรายแก่ตัวประกัน แต่ถ้ายอมทำตามข้อเรียกร้องอาจขัดต่อนโยบายของชาติ และกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การใช้กำลังเข้าปราบปรามอาจเกิดความผิดพลาด ทำให้เสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ สื่อมวลชนจะประโคมข่าวโจมตีปฏิบัติการปราบปราม จนอาจทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปราบปรามต้องโทษถูกจำคุก
๓) ผู้ก่อการร้ายจะกระทำต่อเป้าหมายด้วยวิธีการที่ตนต้องการโดยไม่คำนึงว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นชนชาติใดและทรัพย์สินเป็นของชาติใด เช่น การปล้นยึดอากาศยานจะมีหลายชาติเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกเรือ ผู้โดยสาร เครื่องบิน สนามบินที่แวะเติมเชื้อเพลิง สนามบินที่จี้ไปลง ฯลฯ ประชาชนผู้บริสุทธิ์มีความผิดเพียงสถานเดียวคืออยู่ผิดสถานที่และเวลา
๔) การแก้ไขสถานการณ์การก่อการร้ายสากลมีกฎหมายเข้าเกี่ยวข้องมากมาย ตั้งแต่กฎหมายภายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ความตกลงทวิภาคี ไปจนถึงความตกลงพหุภาคี การแก้ไขวิกฤตการณ์จึงต้องให้หัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจสั่งการ
๕) ในวิกฤตการณ์การก่อการร้ายสากลจะมีสื่อมวลชนจำนวนมากและทุกแขนงมาชุมนุมกันทำข่าว และจะหาวิธีเข้าไปใกล้เหตุการณ์ให้มากที่สุด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปราบปราม และในทางตรงกันข้ามจะเกื้อกูลต่อฝ่ายผู้ก่อการร้าย โดยผู้ก่อการร้ายสามารถสดับตรับฟังความเคลื่อนไหวและเห็นภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งผู้ก่อการร้ายย่อมปรารถนาจะให้สื่อมวลชนกระจายข่าวการกระทำ ข้อเรียกร้องและอุดมการณ์ของกลุ่มไปสู่ชาวโลก
๖) การแก้ไขวิกฤตการณ์การก่อการร้ายสากลต้องการความมีเอกภาพในการตัดสินใจและสั่งการเป็นที่สุด ผู้รับผิดชอบแก้ไขการณ์จะต้องมีเสรีในการตัดสินใจโดยไม่ถูกแทรกแซงจากผู้อื่นหรือหน่วยงานอื่น มิฉะนั้นจะเกิดการลังเลใจ การเสียเวลา และการพลาดจังหวะจัดการขั้นเด็ดขาดเมื่อโอกาสมาถึง
การขัดแย้งที่อาจมีผลกระทบต่อไทย
ปัจจุบันกลุ่มอิทธิพลหรือกลุ่มผลประโยชน์ ตลอดจนรัฐบาลบางประเทศ หันไปใช้วิธีการก่อการร้ายมากขึ้น จากการแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศจนกลายเป็นการก่อการร้ายสากล เพื่อสร้างความกดดันหรือมุ่งให้เกิดผลกระทบต่อปรปักษ์อย่างกว้างขวาง โดยจะกระทำไม่เลือกเป้าหมายและพื้นที่ปฏิบัติการ ทั้งในดินแดนของฝ่ายปรปักษ์และในทุกประเทศที่มีพลเมืองและผลประโยชน์ของฝ่ายปรปักษ์ และไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดกับผู้บริสุทธิ์ซึ่งอาจเป็นพลเมืองของประเทศที่ไม่ได้เป็นปรปักษ์
เมื่อพิจารณาจากลักษณะการก่อการร้ายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าแม้ประเทศไทยมิได้เป็นคู่กรณีกับขบวนการก่อการร้ายหรือมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และมิได้เป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายสากล แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งนั้นด้วย ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติภูมิของชาติ เนื่องจากมีเป้าหมายของการก่อการร้ายสากลอยู่ในประเทศไทย เพราะประเทศส่วนใหญ่ที่ตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายสากล อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ บางประเทศในยุโรปตะวันตก ประเทศอาหรับสายกลาง อิสราเอล และญี่ปุ่น ต่างก็มีสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย รวมทั้งมีผลประโยชน์อยู่ในประเทศไทย อีกทั้งประเทศไทยมิได้มีข้อจำกัดอย่างเข้มงวดในการเดินทางเข้า-ออกของคนต่างชาติ จึงทำให้มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายสากลหลบหนีเข้ามาพักพิงระยะสั้นหรือเคลื่อนไหวและใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ ทำให้ประเทศไทยต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การก่อการร้ายสากลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่เคยปรากฏเหตุการณ์มาแล้วในอดีต (นับถึงสิ้น ต.ค.๔๔) ถึง ๑๐ ครั้ง เป้าหมายของการก่อการร้ายอาจเป็นที่ตั้งทางการทูต เจ้าหน้าที่ทางการทูต บุคคลสำคัญในรัฐบาลหรือองค์การที่เข้ามาเยี่ยมเยียนหรือประชุม สำนักงานสายการบิน เครื่องบิน เรือเดินสมุทร์ บริษัทห้างร้าน โรงงาน แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ หรือแม้กระทั่งพลเมืองของประเทศดังกล่าวที่เข้ามาท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจ เท่าที่ผ่านมารัฐบาลไทยสามารถแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเจรจาต่อรองได้ผลเกือบทุกครั้ง มีเพียง ๒ ครั้งที่จำเป็นต้องใช้กำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้าปราบปราม
แนวโน้มการก่อการร้ายสากลต้นศตวรรษที่ ๒๑
การก่อการร้ายสากลจะยังคงเป็นปัญหาข้ามชาติที่สำคัญ แนวโน้มยังคงมีรากฐานความคิดจากปัญหาชนชาติ ศาสนา ลัทธิ ชาตินิยม การแบ่งแยกดินแดน การเมือง เศรษฐกิจ และแม้กระทั่งการค้ายาเสพย์ติด การก่อการร้ายสากลจะยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องต่อไป กระแสโลกาภิวัฒน์และการกระจายเทคโนโลยีจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ก่อการร้ายใช้วิธีการใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนขึ้นและแสวงหาอาวุธที่มีประสิทธิผลสูง เพื่อให้การโจมตีมีลักษณะรุนแรงและคาดไม่ถึง โดยไม่แยกแยะเป้าหมาย
ในอดีต มีการรวมตัวกันเป็นกระบวนการก่อการร้าย มีการจัดองค์กรที่มีกลไกในการควบคุมและสั่งการอย่างเป็นแบบแผน มีการแยกแยะเป้าหมาย โดยมุ่งกระทำต่อเป้าหมายที่เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฝ่ายปรปักษ์ เช่น สถานทูต ธนาคาร สายการบิน ขณะที่การก่อการร้ายในปัจจุบันมีการนำเอาแนวคิดทางศาสนาผสมผสานกับความเชื่อต่าง ๆ เช่น ความเชื่อว่าโลกต้องถูกทำลายล้าง หรือความเชื่อในช่วงเวลาของความสุขสงบและยุติธรรม จนกลายเป็นความลุ่มหลงและคลั่งลัทธิหรือเคร่งจารีตของศาสนา ไม่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มหรือองค์การที่ชัดเจน การโจมตีเป็นการกระทำต่อทุกเป้าหมายด้วยวิธีใดก็ได้ เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ก่อการร้าย
แม้เมื่อ ๓-๔ ปีที่ผ่านมา ก็ได้มีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธทำลายล้างมวลมนุษย์ (Weapons of Mass Destruction - WMD) ซึ่งได้แก่ อาวุธนิวเคลียร์-ชีวะ-เคมี (NBC Weapons) ในการก่อการร้าย หลังเกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายด้วยสารประสาทที่ญี่ปุ่นเมื่อปี ๒๕๓๗ และ ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นว่า ความวิตกกังวลดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะต่อมามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี ๒๕๔๔ และมีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดต่อไป
การก่อวินาศกรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-terrorism) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายอาจใช้โจมตีเป้าหมายที่ล่อแหลมเพื่อสร้างความเสียหายให้กับระบบแฟ้มข้อมูล หรือทำให้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์เสียหาย เช่น เข้าถึงข้อมูลเพื่อลักลอบแก้ไข ทำลาย คัดลอก ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด ซึ่งล้วนก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาล อาทิ บิดเบือนข้อมูลหรือลบข้อมูลทางเศรษฐกิจในคอมพิวเตอร์ของประเทศเป้าหมาย โอนเงินจากบัญชีธนาคารหนึ่งไปเข้าอีกบัญชีหนึ่ง ทำให้โปรแกรมควบคุมและสั่งการทางทหารใช้การไม่ได้เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถควบคุมดาวเทียมจากระยะไกลได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ฯลฯ มีรายงานว่า ในปี ๒๕๓๘ นักฝ่าด่าน (Hacker/Cracker) หรือนักก่อกวนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เคยโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ครั้ง และสามารถเจาะผ่านระบบรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ประมาณ ๗๐% นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อการร้ายยังใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งแผนปฏิบัติการ และสั่งการให้ลงมือปฏิบัติงาน โดยไม่ต้องมาพบกันและยังติดต่อกันข้ามทวีปได้ ระบบอินเทอร์เน็ตมีความปลอดภัยจากการถูกจับได้กว่าเครื่องมือหรือวิธีสื่อสารอื่น เนื่องจากสามารถใช้รหัสลับ ใช้เวลาสั้น และตรวจจับได้ยากยิ่ง
การก่อการร้าย
เรียบเรียงโดย พ.อ.อนุชาติ บุนนาค
ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
คำว่า การก่อการร้ายสากล นั้น มีผู้ให้ความหมายให้คำจำกัดความไว้มากมายหลายท่าน และประเภทต่าง ๆ กัน แต่ในความหมายรวมแล้วคงไปในทิศทางเดียวกัน เช่น EARNEST LEFEVER นักเขียนผู้มีความสนใจเกี่ยวกับการก่อการร้ายสากลได้กล่าวไว้ว่า"TERRORISM is the new warfare, the new efficient way to achieve political objectives. Terrorism is the weapon of the minority who seek to impose its will on the majority. The terrorist does not depend on popular support, an army or a large arsenal. His tactics include assassination by bomb or bullet, shooting to maim, kidnapping and skyjacking. These acts are supported by a wide range of criminal activity-sabotage, bank robberies, arson, conspiracy,and arms smuggling
"
RICHARD CLUTTERBUCK ให้ทรรศนะในส่วนที่เห็นว่าการก่อการร้ายสากลเป็นเครื่องมือทางการเมืองชนิดหนึ่งแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ปฏิบัติหรือผู้สนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
-Terrorism practiced by governments themselves to coerce their own people, as in the USSR, Iran, Uganda under Amin and in many Latin American countries
-Terrorism on an international scale sponsored or supported by governments to operate outside their own borders, like the Palestinians.
-Terrorism by indigenous groups which enjoy support or at least a shared aim with a substaintial proportion of the population a majority (as in Rhodesia) or a significant minority (as in Spain and Northern Ireland)
-Terrorism by fringe movements with extreme views support, such as the Red Army Faction and some neo -Nazi groups in Germany"
จากคุณ :
doubledome
- [
27 พ.ย. 51 09:24:33
A:202.28.80.4 X:
]