PANTIP.COM : P7376341 ตกลงทักกี้โดนองกฤษอายัดทรัพย์จริงหรือเปล่าครับ? []

ความคิดเห็นที่ 39

เห็นกระทู้นี้ คุณ TSC พยายามตอบด้วยเหตุและผล(ของตัวท่านเอง) ผมเลยอยากจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย เพราะคิดว่าคงเกิดประโยชน์บ้าง
ต้องออก ตัวก่อนนะครับว่า ผมไม่มีความรู้เรื่องหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์เลย ไม่เคยไ้ด้ลงทุนในตลาดหรือมีกิจกรรมเกี่ยวข้องด้วย (ไม่มีปัญญาและเงิน)
เอา เรื่องเกี่ยวกับเหตุและผลว่า ทำไม คุณทักษิณ ถึงต้องโอนหุ้นไปฝากไว้ที่บุคคลต่างๆดังกล่าว
เหตุผล ของ คุณTSC ที่บอกว่า เป็นเพราะไม่ต้องการให้บริษัทหลุดออกจาก ตลท เลยต้องโอนหุ้นไปฝากไว้ที่บุคคลดังกล่าวข้างต้น ผมว่าไม่น่าจะใช่เหตุนี้นะครับ
ตามความเข้าใจของผมนะครับ การเป็นบริษัทใน ตลท ไม่เกี่ยวกับจำนวนหุ้น แต่อยู่ที่ระเบียบปฏิบัติ การเปิดเผย การตรวจสอบ การรายงาน ที่ต้องอยู่ในกฏ
ที่ ตลท ออกมาบังคับมากกว่า ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ บริษัท กสท คอเปอร์เรชั่น (CAT) นี่ถูกเปลี่ยนเป็นบริษัทใน ตลท แต่ยังไม่มีการกระจายหุ้น
กระทรวงการคลังยังถือหุ้น 100% แต่ก็เป็นบริษัทใน ตลท อยู่ได้(ตามที่บอก ผมไม่แน่ใจ ผิดพลาดยังไง ใครทราบ ก็ช่วยบอกด้วยนะครับ)
แต่ ผมคิดว่าที่คุณทักษิณต้องโอนหุ้นไปฝากไว้ในชื่อบุคคลอื่น น่าจะมาจากการที่ต้องการเลี่ยงกฏหมาย ซึ่งตามกฏหมาย คนที่จะมาเป็น นายก หรือ รัฐมนตรี
ไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการหรือไม่สามารถถือหุ้นในบริษัท ได้เกิน 5% เหตุที่กฏหมายกำหนดไว้แบบนี้ก็เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในตำแหน่่งนายกหรือ รัฐมนตรี
มาสร้างความได้เปรียบแก่กิจการที่ตนเองเป็นเจ้าของหรือถือหุ้น อยู่ (ที่เขาเรียกว่า ทุจริตเชิงนโยบาย) กรณีนี้ เขาห้ามทั้งตัวผุ้ดำรงตำแหน่งและคู่สมรส
รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุ นิติภาวะด้วย (จึงโอนให้คุณหญิงและลุกที่อายุยังไม่ถึง 20ปีไม่ได้) กรณีนี้ คุณทักษิณต้องการเป็นรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ต้องการเสียธุรกิจของครอบครัวไป
จึงต้องทำการเลี่ยงกฏหมายด้วย การโอนหุ้นไปฝากคนอื่นไว้ โดยทำเป็นว่าได้ขายหุ้นออกไป ทั้งๆที่ไม่มีการซื้อขายกันจริง
นี่จึงเป็นที่มาของคดีเลี่ยงภาษี เพราะเป็นการซื้อขายหลอก จ่ายเงินกันหลอกๆ เลยไม่ได้มีการเสียภาษีกันจริง ตัวอย่างในกรณีนี้ก็คือ คดีที่คุณหญิงถุกศาลตัดสินว่าผิด
จากการโอนหุ้นให้นายบรรณพต ดามาพงศ์ (ถ้าอยากรู้ก็ลองไปอ่านคำพากษาของศาลในคดีนี้ดูนะครับ จะเห็นภาพชัดเจนที่สุด)
คราว นี้มาดูกันว่า เมื่อท่านทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านได้กระทำการหรือออกนโยบายใดๆเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจกลุ่ม ชินหรือไม่
กรณีนี้ คตส ได้ทำสำนวนส่งฟ้องไปหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้พม่า แปลงสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต ฯลฯ ซึ่งกำลังรอท่านทักษิณกลับมาพิสูจน์ตัวเองอยู่
ซึ่งก็ยังสรุปไม่ได้ว่า ท่านได้ทำผิดหรือไม่ ก็คงต้องรอให้ท่านทักษิณกลับมาสู้คดี และรอดุว่าผลว่าคำตัดสินจะเป็นอย่างไร
คราว นี้มาดูรายละเอียดย่อๆ ที่สังคมกังขาในนโยบายของท่านทักษิณ (ไม่ได้สรุปว่าท่านทำผิดนะครับ ต้องรอคำตัดสินของศาลก่อน แค่จะยกมาให้ดูว่า สังคมกังขาเรื่องอะไรบ้าง)
1.เงินกุ้พม่า กรณีนี้เป็นการที่รัฐบาลไทย(ของท่านนายกทักษิณ) ได้อนุมติเงินกู้ให้แก่พม่าเพื่อปรับปรุงระบบโทรคมนาคม ซึ่งเป็นเงินกุ้ดอกเบี้ยต่ำ (รัฐบาลไทยจ่ายดอกเบี้ยแทน)
แล้วรัฐบาลพม่าก็ได้ใช้เงินกู้นี้มาซื้อสินค้าจากไทย (บริษัทไหนได้คงไม่ต้องบอก)
2. การแปลงสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นภาษีสรรพสามิต หลายๆคนอาจจะบอกว่าการแปลงแบบนี้มันก็เท่าเทียมกันนี่ เพราะทุกบริษัทได้ประโยชน์เหมือนๆกันหมด อันนี้ก็จริงครับ
ทุกบริษัทได้ ประโยชน์จากกฏหมายนี้เหมือนกัน (คือจ่ายน้อยลง) แต่ได้ไม่เท่ากันนะครับ บริษัทที่มีฐานลูกค้าอยู่มากกว่าจะได้ประโยชน์มากกว่า (บริษัทไหนคงไม่ต้องบอก)
และอีกอย่างที่คนไม่ชอบพูดถึงคือ การให้สัมปทานเป็นการที่รัฐให้เช่าอย่างมีระยะเวลา (20-25ปี)และเมื่อครบสัญญาทรัพย์สินต่างๆ เช่นโครงข่าย เสาส่ง อุปกรณ์ ฯลฯ
ต้องตกเป็นของรัฐ และถ้าบริษัทนั้นๆจะขอสัมปทานต่อไป ก็ต้องจ่ายค่าสัมปทานแพงขึ้น เนื่องจากต้องจ่ายค่าเช่าสัญญาณรวมอุปกรณ์(ครั้งแรกเช่าสัญญาณอย่างเดียว)
เหมือน กรณีเซ็นทรัล เมื่อก่อนเช่าที่เปล่า ปีล่ะ 3ล้าน 30 ปี ตอนนี้หมดสัญญา ถ้าจะเช่าต่อ ต้องจ่าย 200-500 ล้านต่อปี ส่วนบริษัทไหนสัมปทานเกือบหมดแล้วคงไม่ต้องบอก
3.การลดค่าสัมปทาน ITV ซึ่งจากที่ต้องจ่ายปีล่ะ 1000ล้านบาท ลดลงเหลือปีล่ะ หนึ่งร้อยกว่าล้านบาท ซึ่งทำให้หุ้น ITV พุ่งติดเพดาน กรณีนี้ถ้ามองอย่างเป็นธรรม ITV
ต้อง จ่ายค่าสัมปทานแพงกว่าช่องอื่นๆจริง เพียงแต่ว่า เมื่อคนที่อนุมัติให้ลด กับคนได้ประโยชน์จากการลด เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน จึงทำให้สังคมอดสงสัยไม่ได้
ยังมีอีกหลายเรื่องที่สังคมกังขา ไม่ว่าจะเรื่องการเปิดเสรีการบิน ซึ่งสังคมกังขากันว่า น่าจะเป้นการเอื้อประโยชน์ให้ แอร์เอเชีย เรื่องเกี่ยวกับดาวเทียม IPSTAR ซึ่งมีปัญหา
ไม่สามารถยิงได้ซักที มันไปทับกับวงโคจรของหลายประเทศเช่นอินเดีย จีน แต่ภายหลังจากที่ท่านทักษิณได้เป็นนายก ก็ได้มีการบินไป อินเดียและจีน (2-3ครั้ง) และต่อมา
IPSTAR ก้สามารถยิงขึ้นได้ ซึ่งทำให้คนในสังคมพากันสงสัยว่า การยิงขึ้นได้ครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศในเรื่อง FTA ซึ่งไปเซ็นกับจีนและอินเดียหรือไม่
ยังมีอีกมากนะครับที่สังคมกังขา และยังไม่ได้รับคำตอบหรือยังไม่ได้รับการพิสูจน์จากศาล เนื่องจากหลายๆคดีที่ คตส ส่งฟ้องไปต้องสะดุดหยุดลง รอให้คุณทักษิณกลับมาสู้คดี
และสังคมก็รอความกระจ่างเหล่านี้อยู่ แต่ทังนี้ทั้งนั้น เราก็ไม่อาจจะสรุปได้ว่า ท่านทำผิดหรือไม่อย่างไร จนกว่าจะมีการพิสูจน์ในศาล และท่านสามมารถอธิบายให้สังคมเข้าใจ
ถึงการตัดสินใจกระทำการต่างๆเหล่านั้นลงไปว่า ท่านได้ทำเพื่อตัวท่านเองหรือเพื่อธุรกิจในตะกุลของท่านหรือไม่อย่างไร

ปล. ส่วนไดที่ผมผิดพลาด หรือท่านใดเห็นต่างออกไป หรือมีประเด็นใดที่เห็นว่าผมพลาดไป ก็ให้ช่วยกันท้วงติงมานะครับ สิ่งใดผิดพลาดไปก็ขอน้อมรับ และพร้อมแก้ไขครับ

จากคุณ : มัน (จบแล้วครับนาย) - [ 2 ม.ค. 52 09:45:33 A:117.47.169.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40

คุณมัน (จบแล้วครับนาย)

"ผมว่าไม่น่าจะใช่เหตุนี้นะครับ
ตามความเข้าใจของผมนะครับ"

- แสดงว่า ที่คุณเขียนมาทั้งหมด เป็นเพียงความเข้าใจของคุณเอง ซึ่งเมื่อเราอ่านดูแล้ว ก็บอกได้ว่าหลายเรื่องไม่เป็นความจริง และออกมาในลักษณะจับแพะชนแกะ

"การเป็นบริษัทใน ตลท ไม่เกี่ยวกับจำนวนหุ้น"

- คุณพูดไม่ตรงประเด็น เรื่องที่คุยกันคือเรื่องของผู้ถือหุ้น ไม่ใช่ตัวบริษัท

นั่นคือผู้ถือหุ้นของบริษัท แต่ละคนจะถือหุ้นได้ไม่เกินจำนวนหุ้นหรือเปอร์เซ็นที่กำหนด ถ้ามีบุคคลใดหรือกลุ่มใดถือหุ้นเกินกำหนด บริษัทนั้นจะไม่ถือว่าเป็นบริษัทมหาชน เข้าตลาดฯ ไม่ได้ เพราะถ้าเป็นลักษณะนี้เข้าข่ายเป็นบริษัทจำกัดธรรมดา ที่มีบุคคลเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจบริหารบริษัท

เช่นเดียวกับกรณีรัฐวิสาหกิจที่แปรรูป เช่น ปตท. การบินไทย การท่าอากาศยาน บริษัทพวกนี้ก.คลังที่เป็นหน่วยงานรัฐถือหุ้นได้ไม่เกิน 70% ถ้าถือเกิน ... จะไม่ใช่บริษัทมหาชน แต่จะกลายเป็นหน่วยงานรัฐ ที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจแข่งกับเอกชน และเข้าตลาดฯ ได้

"ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ บริษัท กสท คอเปอร์เรชั่น (CAT) นี่ถูกเปลี่ยนเป็นบริษัทใน ตลท แต่ยังไม่มีการกระจายหุ้น
กระทรวงการคลังยังถือหุ้น 100% แต่ก็เป็นบริษัทใน ตลท อยู่ได้"

- จำผิดแล้ว CAT หรือกสท. ยังไม่มีการกระจายหุ้นให้กับประชาชน และยังไม่ถูกนำเข้าตลาดฯ แต่อย่างใด เพียงแต่แปรรูปไว้ก่อน เพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดฯ เท่านั้น แต่ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องกฟผ. ทำให้ CAT และ TOT ที่แต่งตัวรอ ต้องหยุดชะงักตามไปด้วย แต่ก็ไม่ได้กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนเดิม

ตอนนี้ กสท.และทศท. เป็นองค์กรที่เรียกว่าบริษัทจำกัด ยังไม่ใช่มหาชน ยังไม่ได้เข้าตลาดฯ โดยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นเต็ม 100% แต่เมื่อเข้าตลาดฯ รัฐต้องกระจายหุ้นออกขาย และจะถือได้ไม่เกิน 70% เท่ากับปตท.ทุกวันนี้

"ผมคิดว่าที่คุณทักษิณต้องโอนหุ้นไปฝากไว้ในชื่อบุคคลอื่น น่าจะมาจากการที่ต้องการเลี่ยงกฏหมาย ซึ่งตามกฏหมาย คนที่จะมาเป็น นายก หรือ รัฐมนตรี
ไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการหรือไม่สามารถถือหุ้นในบริษัท ได้เกิน 5%"

- เพราะถือหุ้นได้ไม่เกิน 5% นี่แหละ ที่ทำให้ทักษิณต้องโอนหุ้นให้คนอื่นถือแทน แต่อย่างที่บอก เมียก็ถือหุ้นอยู่แล้ว โอนให้ก็จะเกินกำหนดตามหลักเกณฑ์ของตลาดผิดกฎหมาย จะโอนให้ลูกก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เลยต้องโอนให้คนอื่นที่ไว้ใจได้แทน ส่วนญาติๆ คนอื่นเช่นน้องสาวทำไมไม่โอนให้ ก็เพราะอยู่ในสภาพเดียวกับพจมาน ถือหุ้นกันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีอะไรเลย เพราะถ้าโอนหุ้นที่ถืออยู่ส่วนตัว ไม่ใช่โอนในนามบริษัท จะไม่มีภาระต้องเสียภาษีอยู่แล้ว

เราเองเล่นหุ้นอยู่ และรู้จักคนที่เล่นหุ้นคนอื่น เขาก็โอนหุ้นให้ลูกหลานกันแบบนี้ ถึงเวลาก็ให้จนท. broker มาทำธุรกรรมโอนหุ้นให้ แค่เปลี่ยนชื่อจากผู้ถือหุ้นเดิมเป็นคนใหม่ ก็ไม่มีใครต้องเสียภาษีเลย คล้ายๆ กับลักษณะของการฝากใบหุ้นให้คนอื่นดูแลแทนประมาณนั้น

"แล้วรัฐบาลพม่าก็ได้ใช้เงินกู้นี้มาซื้อสินค้าจากไทย (บริษัทไหนได้คงไม่ต้องบอก)"

- เรื่องนี้มันเกิดจากสัญญาก่อนการให้กู้เงิน รัฐบาลไทยตอนนั้นเสนอว่า พม่าได้เงินไปแล้วต้องซื้อสินค้าไทย ต้องใช้แรงงานไทยนะ เมื่อพม่าตกลง ไทยก็ให้เงินกู้ไป และตอนนั้นพม่าต้องการใช้ดาวเทียม เขาก็เลยจำเป็นต้องใช้ดาวเทียมของไทย ถามคุณว่าตอนนั้นมีกี่บริษัทของไทยที่ให้บริการดาวเทียม ก็มีแค่ชินคอร์ปผู้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมเท่านั้น

เพราะพม่าต้องการใช้ดาวเทียมสื่อสาร และไทยคมก็ถือว่าเป็นดาวเทียมที่ดีที่สุด ใหญ่ที่สุดในย่านเอเชีย เป็นคุณๆ จะเลือกใช้ปาลาป้าของอินโด ที่ด้อยกว่าของไทยคมหรือไม่ล่ะ

และการที่พม่าใช้บริการไทยคมมันไม่ดียังไง ในเมื่อไทยคมเป็นดาวเทียมของรัฐบาลไทย ชินเป็นเพียงผู้รับสัมปทานเท่านั้น เมื่อพม่ามาใช้บริการไทยคม เงินก็เข้าสู่ประเทศไทย เข้าสู่ภาครัฐ มันไม่ดีตรงไหนเหรอ

จริงๆ การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแบบนี้ ก็เหมือนกับ jbic ของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ไทยหรือประเทศอื่นๆ นั่นแหละ กฎเกณฑ์การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของประเทศต่างๆ นอกจากเป็นการช่วยเหลือประเทศยากจนแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศของผู้ให้กู้ด้วย อย่างญี่ปุ่นที่เราไปกู้เงินเขามาสร้างรถไฟฟ้า คุณรู้ไหมล่ะว่าเขามีข้อตกลงว่าอย่างไร ในสัญญาระบุเลยว่า โครงการรถไฟฟ้าจะต้องมีทีมงานของญี่ปุ่นเข้าร่วมด้วย เช่น อาจจะลดกฎเกณฑ์ให้บริษัทญี่ปุ่นเข้าร่วมประมูลได้ง่ายขึ้น หรือต้องซื้ออุปกรณ์ของญี่ปุ่น เป็นต้น เหล่านี้คือข้อตกลงที่ประเทศผู้ให้กู้ทั่วโลกเขาทำกันเป็นสากล รัฐบาลทักษิณก็เอาอย่างเท่านั้นเอง เพราะทำไปแล้วไทยก็ไม่ได้เสียประโยชน์ เพราะดอกเบี้ยก็ได้ รายได้ก็เข้าประเทศ มีแต่ได้กับได้

ส่วนที่อ้างว่าไทยเราต้องช่วยออกดอกเบี้ยแทน ไม่น่าจะใช่ เพราะเราให้ดอกเบี้ยต่ำแล้ว แล้วทำไมยังต้องไปช่วยใช้แทนด้วย ก็ในเมื่อเราแลกเป็นสินค้าและแรงงานไทยไปแล้วนี่

"การแปลงสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นภาษีสรรพสามิต หลายๆคนอาจจะบอกว่าการแปลงแบบนี้มันก็เท่าเทียมกันนี่ เพราะทุกบริษัทได้ประโยชน์เหมือนๆกันหมด อันนี้ก็จริงครับ
ทุกบริษัทได้ ประโยชน์จากกฏหมายนี้เหมือนกัน (คือจ่ายน้อยลง) แต่ได้ไม่เท่ากันนะครับ บริษัทที่มีฐานลูกค้าอยู่มากกว่าจะได้ประโยชน์มากกว่า (บริษัทไหนคงไม่ต้องบอก)"

- กรณีนี้มันเกิดมาจากการที่ TOT แปรรูปเป็นบริษัท ที่ต้องไปแข่งขันกับเอกชน แล้วอยู่ๆ ยังต้องมารับเงินจากเอกชนคู่แข่งด้วยมันก็ไม่เป็นไปธรรมตามหลักสากล เลยมีการปรับเล็กน้อย ด้วยการแบ่งค่าสัมปทานครึ่งหนึ่ง ออกไปเป็นภาษี ต้องบอกก่อนนะว่า ค่าสัมปทานกับภาษีมันคนละตัวกัน

เดิม AIS ให้เป็นค่าสัมปทานแก่ TOT แต่พอ TOT เป็นบริษัท ก็ต้องแปลงสัมปทานส่วนหนึ่งไปเป็นภาษี นั่นคือ AIS ต้องจ่ายทั้งค่าสัมปทานให้ TOT และจ่ายค่าภาษีให้กับรัฐ พูดง่ายๆ แทนที่จะเอาเงินทั้งหมดไปจ่ายเป็นค่าสัมปทาน แต่เขาแบ่งเงินจากค่าสัมปทานมาจ่ายเป็นภาษีแทน ก็เท่ากับว่า AIS ยังต้องจ่ายเงินเท่าเดิม ไม่มีลดน้อยลงใดๆ เลย ที่ปลุกระดมให้ข้อมูลกันผิดๆ ว่าจ่ายน้อยลง เพราะไปพูดแค่ว่า จ่ายสัมปทานน้อยลง แต่ไม่พูดว่า เขาเอาค่าสัมปทานไปจ่ายเป็นภาษีแทน

"การลดค่าสัมปทาน ITV ซึ่งจากที่ต้องจ่ายปีล่ะ 1000ล้านบาท ลดลงเหลือปีล่ะ หนึ่งร้อยกว่าล้านบาท ซึ่งทำให้หุ้น ITV พุ่งติดเพดาน กรณีนี้ถ้ามองอย่างเป็นธรรม ITV
ต้อง จ่ายค่าสัมปทานแพงกว่าช่องอื่นๆจริง เพียงแต่ว่า เมื่อคนที่อนุมัติให้ลด กับคนได้ประโยชน์จากการลด เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน จึงทำให้สังคมอดสงสัยไม่ได้"

- คุณคงจะไม่ทราบว่า การลดค่าสัมปทานนี้มีการเข้าอนุญาโตตุลาการ ซึ่ง "อนุญาโตตุลการ" ตามกฎหมายจะประกอบไปด้วยบุคคล 3 ฝ่ายคือ จนท.รัฐ(ผู้ให้สัมปทาน) ผู้รับสัมปทาน และคนกลาง(ส่วนมากจะเป็นศาล) บุคคล 3 ฝ่ายเขาก็จะมาเจรจาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน

ที่ชินในฐานะเจ้าของ ITV คนใหม่ขอลดค่าสัมปทานเพราะไม่เป็นธรรม เนื่องจากต้องจ่ายแพงกว่าช่องอื่นๆ แถมยังเป็นสถานีข่าวและสาระ ไม่ใช่สถานีบันเทิงจึงทำให้หาโฆษณายาก รายได้ก็เข้าบริษัทน้อย และเหตุนี้เองที่ทำให้เนชั่นเจ้าของเดิมไม่สามารถรับภาระได้ ทำให้ไทยพาณิชย์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ITV ต้องหาผู้ถือหุ้นคนใหม่เข้ามาช่วย และก็ได้ชิน ซึ่งมีการเจรจากันในสมัยรัฐบาลชวน

ตอนนั้นชินก็ยื่นข้อเสนอไปเรื่องค่าสัมปทานและผังรายการ ถ้าไม่ได้ ตามที่เสนอเขาก็ไม่เอาเหมือนกัน แต่รัฐบาลชวนก็ตกลงตามข้อเสนอของชิน พร้อมแก้กฎหมายให้มีผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาได้ นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ชินได้เข้ามาบริหาร ITV และเดินเรื่องขอลดค่าสัมปทานและปรับผังรายการ ก่อนนำเข้าตลาด

และเหตุผลที่นำเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อระดมทุน นำเงินมาบริหารสถานีนั่นเอง และที่หุ้น ITV ขึ้นไปเยอะก็เพราะ rating ของช่องอยู่ในอันดับ 2 หรือ 3 รองจากช่อง 3 และช่อง 7 ทั้งที่ก่อนหน้านั้น rating ต่ำกว่าช่อง 11 ด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อ rating สูงเพราะคนดูเยอะ จึงทำให้โฆษณาเข้ามากส่งผลให้รายได้เข้าสถานีเยอะ ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้หุ้นของ ITV ขึ้นสูง เพราะนักลงทุนเห็นว่า ITV เป็นบริษัทที่มีอนาคตดี กำไรสูง เป็นใครก็อยากเข้ามาลงทุนเก็งกำไรหรือรับปันผลทั้งนั้น ถ้าบริษัทไหนรายได้น้อย ไม่มีปันผล ก็ไม่มีนักลงทุนรายใดอยากเข้าไปซื้อหุ้นหรอก

ทีนี้พอตกลงในชั้นอนุญาโตตุลาการเสร็จ เขาก็เริ่มจ่ายค่าสัมปทานน้อยลงและปรับผังเพราะทางปลัดสำนักนายกสมัยนั้นบอกดำเนินการได้เลย

แต่กลายเป็นว่าปลัดสำนักนายกกลับไม่ได้นำมติอนุญาโตฯ เข้าครม.เพื่ออนุมัติ ทำให้สัญญาเดิมยังคง อยู่ จุดนี้พวกเผด็จการเลยนำมาเล่นงานเพื่อยึด ITV คืนเป็นของรัฐ ด้วยการอ้างว่าไม่จ่ายค่าสัมปทานตามสัญญาเดิม ทั้งที่ ITV ก็แย้งไปว่า สัญญาใหม่ผ่านอนุญาโตฯ แล้ว แต่เรื่องที่สัญญายังไม่มีผลตามกฎหมายนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะสั่งให้ปลัดสำนักนายกนำเรื่องเข้าครม.(ซึ่งมันก็จริงของเขา) แต่พวกเผด็จการไม่ฟัง ความที่อยากจะเอาของของเขาท่าเดียว เลยหักดิบให้เขาต้องชดใช้เงินเป็นพันล้านภายใน 45 วัน ถ้าชดใช้ไม่ได้ก็ต้องยึด ITV (หลังจากยึดอำนาจแล้ว) ถามว่า เป็นคุณๆ สามารถหาเงินเป็นพันล้านได้ภายใน 45 วันได้ไหมล่ะ

แต่ตอนนี้จากที่รัฐเคยได้ค่าสัมปทานจาก ITV ปีละพัน 2 พันล้าน มาวันนี้ รัฐต้องเอาภาษีประชาชนไปจ่ายให้ TPBS ปีละ 2 พันล้าน คุณว่าคนทำนี่โง่หรือฉลาดล่ะ เงินเข้ากระเป๋าแท้ๆ กลับต้องควักจ่าย

ปล. คราวหน้าช่วยเว้นบรรทัดหน่อยก็ดี เพราะคุณเขียนเยอะแล้วบรรทัดติดกันแบบนี้ ตาลาย @_@
แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 52 16:52:27
แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 52 16:45:45

จากคุณ : TSC - [ 2 ม.ค. 52 16:38:32 A:67.15.183.28 X: ]