ความคิดเห็นที่ 24

เอามาให้คุณขนมต้มตามคำขอครับ
และหวังว่าหลังจากคุณขนมต้มทำความเข้าใจแล้วจะช่วยทำความเข้าใจในวงกว้างด้วยนะครับ
http://www.nukbunchee.com/admin/news_print1.php?news_id=591
บทความตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2548 ตั้งแต่คุณทักษิณยังเป็นนายกฯอยู่ครับ
ผมคัดเอามาเฉพาะส่วนสำคัญก็แล้วกันนะครับ
-------------------------------------------------
- ขณะนี้ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์แนวทางการประเมินภาษีของกรมสรรพากรว่าอาจเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ
โดยเฉพาะการประเมินภาษีผลประโยชน์ (ส่วนต่างกำไร) ที่ได้รับจากการรับโอนหุ้น
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีหลายกรณีโดยเฉพาะนักการเมือง ที่เข้าข่ายในลักษณะเหมือนกันหรือที่ใกล้เคียงกัน
แหล่งข่าวกล่าวว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากนายเรืองไกรลีกิจวัฒนะได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2546 (ภ.ง.ด.90) ( ก่อนคุณกรณีคุณทักษิณถึง 2 ปี และตอนนั้นเป็นแค่นักบัญชีคนนึง )
ซึ่งในส่วนของเงินได้นั้นนายเรืองไกรระบุว่ามีเงินได้ตามมาตรา 40(8) คือ
ได้ซื้อหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพจำกัด (มหาชน)
ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 5,000 หุ้น
โดยซื้อมาในราคา (พาร์) หุ้นละ 10 บาทจากนายสุขุมลีกิจวัฒนะ โดยทำการซื้อขายกันนอกตลาด
ขณะที่ราคาตลาดในวันที่ซื้อ-ขายอยู่ที่ 21 บาท
จึงได้รับผลประโยชน์ (ส่วนต่าง) รวม 55,000 บาท ( 11 บาทคูณ 5,000 หุ้น )
อย่างไรก็ตามนายเรืองไกรมิได้นำผลประโยชน์ส่วนนี้ไปคำนวณรวมกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่นายเรืองไกรยื่นแบบภ.ง.ด.90 ไปแล้ว
เจ้าหน้าที่สรรพากรได้เรียกเก็บภาษีจากนายเรืองไกรเพิ่มประมาณ 21,000บาท
โดยให้นำผลประโยชน์ (ส่วนต่าง) จากการรับโอนหุ้นนี้ไปคำนวณรวมกับภาษีเงินได้ประจำปีด้วย
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่มีนางศรีสมัยผ่องสว่างผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากรเป็นประธานได้ยกอุทธรณ์ของนายเรืองไกรกล่าวคือยืนยันให้นายเรืองไกรต้องเสียภาษีเพิ่มอีกประมาณ 21,000 บาท
ซึ่งในส่วนที่ต้องเสียภาษีเพิ่มนี้คณะกรรมการระบุว่าให้นำผลประโยชน์ (ส่วนต่าง) จากการรับโอนหุ้นจำนวน55,000บาทมารวมเป็นเงินได้ในการคำนวณภาษีด้วย
-------------------------------------------
ตกลงมีกรณีเทียบเคียงแล้วนะครับ
ขนาดซื้อหุ้นตำกว่าตลาดและยังไม่ได้ขายก็ยังต้องเสียภาษี
ต่อมากรณีนี้เป็นที่มาของคำพิพากษาครับ
------------------------------------------------
https://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=31767
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐครับ
ศาลภาษีอากรชี้ ต้องเก็บภาษีหุ้น [29 ธ.ค. 49 - 05:00] - ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลภาษีอากรกลาง วานนี้ (28 ธ.ค.)
ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 183/2549
ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากร เป็นจำเลย
เรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2546
ซึ่งในการชำระโจทก์ยื่นสำเนาสัญญาการโอนหุ้นที่โจทก์รับหุ้นจากบิดา
อันเป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์
ต่อมาเจ้าพนักงานของจำเลย ประเมินแล้วพบว่าโจทก์คำนวณเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง
จึงประเมินให้โจทก์ต้องชำระภาษีรายได้และเงินเพิ่มอีก 21,350 บาท โดยโจทก์ชำระแล้ววันที่ 18 มิ.ย.47
พร้อมกับยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพิกถอนการประเมินและให้งดหรือลดเงินเพิ่ม ว่าการเรียกเก็บเงินเพิ่มนั้นไม่ถูกต้อง
ซึ่งคณะกรรมการอุทธรณ์ ฯ พิจารณาแล้วให้ยกคำร้องอุทธรณ์ของโจทก์
ซึ่งต่อมาโจทก์ยอมรับในการพิจารณาอุทธรณ์และการเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าว
ต่อมานายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพ ฯ 3 กลับมีหนังสือถึงโจทก์ระบุว่า
ประโยชน์จากการโอนหุ้นที่โจทก์แสดงไว้ในรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น
ไม่ถือเป็นเงินพึงประเมินที่ต้องชำระภาษีเงินเพิ่มตามมาตรา 40 (4) (ช) และ (8) แห่งประมวล รัษฎากร
ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงผลประโยชน์ การซื้อขาย โอนหุ้นในแบบแสดงภาษีว่าเป็นเงินรายได้
จนกว่าโจทก์จะได้ขายหุ้นนั้นและได้รับผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าการลงทุน
ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 40 (4) (ช) ซึ่งต่อมากรมสรรพากรได้ส่งคืนเช็คเงินที่โจทก์ชำระไปแล้ว 19,483.96 บาท *** ( แปลกไหมครับจู่ๆสรรพากรจะมาคืนเงินให้ แต่ถึงคืนให้หากขายหุ้นแล้วก็ต้องเสียภาษีส่วนต่างอยู่ดีเพราะซื้อมานอกตลาด ทว่าผมเชื่อว่าจะมีกระบวนการแก้ไขภายหลังแต่มาติดกรณีนี้ซะก่อน )
แต่โจทก์เห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า
การพิจารณาประเมินภาษีโดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ต้องชำระเงินภาษีเพิ่ม จำนวน 21,350 บาท ถือเป็นที่สุด
ดังนั้น จำเลยหรือเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฝ่ายบริหารที่ถือเป็นที่สุดแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้อีก
การที่จำเลยมีหนังสือคืนเช็คพร้อมส่งเช็คคืนเงินภาษีให้แก่โจทก์จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษาให้จำเลยรับคืนเช็ค ลงวันที่ 31 ก.ค.48 จากโจทก์
และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ และค่าทนายความแทนโจทก์ จำนวน 2,000 บาท
หลังศาลมีคำพิพากษาดังกล่าว
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่ศาลชี้ขาดข้อสงสัย
เป็นข้อถกเถียงเรื่องการเก็บภาษีหุ้น
ต่อไปคำพิพากษาของศาลภาษีอากรนี้จะทำให้เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการประเมินภาษีรายได้ในการรับโอน ซื้อ-ขายหุ้น
และคำชี้ขาดน่าจะนำไปเทียบเคียงได้กับการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตร -----------------------------------------------
เคลียร์ไหมครับคุณขนมต้ม
ถ้าไม่กระจ่างเดี๋ยวเอามาให้อ่านอีก
ความจริงเรื่องนี้ข้อมูลแพร่หลายมากครับถ้าใครสนใจเรื่องนี้น่าจะรู้ว่ามันมีการหลบเลี่ยงภาษี
แต่ทำไมห้องนี้ถึงได้พูดๆซ้ำแต่ว่าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษีก็ไม่รู้
ผมตอบไปเป็น 10 รอบแล้วนะครับแต่รู้สึกว่าจะไม่เข้าใจกัน
คำพิพากษาก็ชัดเจนแท้ๆ
หรือว่าคนไทยสมัยนี้อ่านหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่องครับ ผมก็งงเหมือนกัน
จากคุณ :
ตอสระอือ
- [
23 ม.ค. 52 00:05:33
A:58.9.107.186 X:
]
|
|
|