Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เห่าไฟ...มาแล้ว ไทยรัฐ..วันนี้

    ดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ แถลงว่า ธปท.ได้ปรับลดอัตราขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2552 เหลือร้อยละ 0-2 จากประมาณการเดิมเมื่อเดือน ต.ค.ปี 2551 ที่ร้อยละ 3.8-5 และมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะ ติดลบประมาณร้อยละ 5 หากเศรษฐกิจโลกถดถอยมากกว่าที่คิด


    หากมองในกรณีเลวร้ายที่สุด ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯติดลบ 1% ก็จะทำให้ การส่งออกของไทย ในเชิงปริมาณติดลบ 7.8% และ เศรษฐกิจไทย จะขยายตัวต่ำกว่า 0% แม้ว่าจะเป็นไปได้แต่โอกาสเกิดก็ต่ำมาก ถ้าเศรษฐกิจไทยลดลง 1% จะมีผลต่อการจ้างงานลดลง 1.1 แสนราย ถ้าจีดีพีเหลือ 0% การว่างงานทั้งหมดจะอยู่ที่ 1 ล้านคน โดยขณะนี้ อัตราว่างงานอยู่ที่ 1.4% ของแรงงานทั้งหมด หรือประมาณ 5 แสนคน


    สรุปก็คือ สถานการณ์ เผาจริง ของปี 2552 กำลังทยอยเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์เหล่านี้ ประชาชนสามารถ สัมผัสจับต้องได้ทันที เริ่มจากกลุ่มคนที่เป็น มนุษย์เงินเดือน ตอนนี้ คงกำลังประสบกับ ภาวะรายได้จากการทำงานลดลง ไม่อู้ฟู่เหมือนเมื่อก่อน บางคนถึงขั้นตกงานแล้วด้วยซ้ำไป แม้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะระดมมาตรการที่เรียกว่า Helicopter Money ขนเงินงบประมาณออกมาแจกประชาชนฟรีๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ แต่สุดท้าย ถ้าเงินที่ประชาชนได้รับเป็นแค่ เงินฉุกเฉินชั่วคราว ไม่ใช่เงินที่มาจาก รายได้ระยะยาว กำลังซื้อก็จะเป็นได้แค่ กำลังซื้อชั่วคราว ไม่ใช่กำลังซื้อระยะยาวเช่นกัน


    นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องตามดูกันต่อไปก็คือ กำลังซื้อชั่วคราวที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะหล่อเลี้ยง ภาคธุรกิจ ไม่ให้เจ๊งได้มากน้อยแค่ไหน เพราะตามปกติ ภาคธุรกิจ หากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่สายป่านยาว ก็คงพยุงตัวเองให้อยู่รอดได้ แต่ธุรกิจเล็กๆ อย่างพวก เอสเอ็มอี ที่ต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ เพื่อหาน้ำเลี้ยงมาพยุงกิจการอย่างสม่ำเสมอนั้น จะอยู่รอดได้อย่างไร หากเงินจาก เฮลิคอปเตอร์ ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกใช้จ่ายผ่านมือประชาชนไปเพียงครั้งเดียวแล้วจบกัน ฉะนั้น รัฐบาลจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เงินระลอกต่อไป ที่ประชาชนจะนำมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะมาจากไหน


    ข้อสำคัญ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่าง ได้เปลี่ยนไปหมด จากเดิมที่ภาคธุรกิจได้เงินจากการขายมาเป็นกำไร สามารถนำไป ขยายกิจการ ให้เติบโตได้ แต่ปัจจุบันเงินที่ได้จากการขายอาจต้องถูกนำมา ชำระหนี้เงินกู้ ที่ติดค้างมานาน ซึ่งเป็นผลมาจาก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ  กำลังซื้อลดลงฮวบฮาบ ฉะนั้น รายได้จากยอดขายของ ธุรกิจเอสเอ็มอี ในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจไม่ได้แปร สภาพมาเป็น รายได้เงินเดือนของพนักงาน ตรงกันข้าม อาจต้องถูกส่งตรงไปยัง สถาบันการเงิน เพื่อชำระหนี้เงินกู้แทน และสถานการณ์ตอนนี้ แบงก์ ก็คงไม่กล้าปล่อยกู้ง่ายๆอีกแล้ว


    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตามไปดูมาตรการ ลดเพดาน การจ่ายภาษีของเอสเอ็มอีแบบเหมาจ่าย 5 พันบาทต่อปีของรัฐบาลชุดนี้ หลายคนเห็นตรงกันว่า อาจไม่ได้ผล โดยเฉพาะมุมมองของ ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า เป็นแค่การช่วยเชิง จิตวิทยา เท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการช่วยจริงๆ เพราะวงเงินแค่ 5 พันบาท ไม่ได้ช่วยลดต้นทุนการผลิต หากรัฐบาลต้องการช่วยจริงๆ ควรหา ตลาด ให้สินค้าเอสเอ็มอีมากกว่า ตอนนี้ รัฐบาลยังหลงประเด็น ไม่เข้าใจความต้องการของเอสเอ็มอี!!!


    นอกจากนี้ ธนิต ยังเตือนด้วยว่า เอสเอ็มอี 1 กิจการ มีการจ้างงาน 5-10 คน ขณะนี้มีเอสเอ็มอี 2.4 ล้านกิจการ มีการจ้างงานกว่า 8 ล้านคน หากปล่อยให้ล้มลงจะเกิดอะไรขึ้น


    “เห่าไฟ” ว่า คำถามนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ควรเก็บไปคิดแล้วรีบตอบตัวเองให้ได้โดยเร็ว จะเป็นการดีที่สุด ขอเตือนว่า ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แม้ปัญหาหลักๆจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เช่น เงินเฟ้อ เงินฝืด ส่งออกลด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มี สูตรสำเร็จ ที่ร่ำเรียนกันในเมืองนอกเมืองนาสอนวิธีแก้ไขเอาไว้เยอะ แต่ในทาง เศรษฐศาสตร์ ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ก็ยังไม่มีใครสามารถเอาชนะ ปัจจัยผันแปรทางเศรษฐกิจ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาไม่ซ้ำหน้า อย่าว่าแต่เมืองไทยเลย แม้แต่ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่นก็ยัง มึนแล้วมึนอีก อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้


    โดยเฉพาะ ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน ได้ส่งผลต่อความเป็นไปทาง การเมืองอย่างแยกไม่ออก พรรคการเมืองใดก็ตาม หากสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ก็จะได้รับ ความนิยม อย่าง ท่วมท้น จากประชาชนให้บริหารปกครองประเทศต่อไปไม่มีสิ้นสุด ส่วนพรรคการเมืองใดที่ ท่าดีทีเหลว พูดเก่งแต่ทำงาน ห่วยแตก ไม่เคยรับผิดเอาแต่รับชอบ สุดท้ายประชาชนก็จะ เอือมระอา พากันไปเลือกใช้ บริการ พรรคที่พูดจริงทำจริงจับต้องได้อีกครั้ง


    และคราวนี้หากมีการใช้ กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายอีก ก็เตรียมตัวแยกเป็น ไทยเหนือ-ไทยใต้ แบ่งการปกครองไปตามอุดมการณ์ความเชื่อของ เสื้อแดง-เสื้อเหลืองได้เลย เพราะไม่มีประโยชน์จะมานั่ง ถกเถียง หรือ บังคับขู่เข็ญ ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับแนวคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง  ยิ่งเถียงกันก็ยิ่งซ้ำซากไร้สาระ ถ้าให้ดีควรกำหนดเขตปกครองแบบ สรรหา กับเขตปกครองแบบ เลือกตั้ง แล้วมาแข่งกันว่า ระบบไหนจะทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขมากกว่ากัน

    ที่มา:http://www.thairath.co.th/society.php?content=120588

    จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 25 ม.ค. 52 05:53:18 A:192.168.0.17 X:58.8.169.150 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com