ความคิดเห็นที่ 15

เพียงสัปดาห์เดียวของการปิดสนามบินสุวรรณภูมิมีการประเมินกันว่าได้ทำให้ สินค้าเกษตรที่ต้องส่งออกไปยังต่างประเทศเสียหายไปแล้วกว่าวันละ 30,000 ล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท แล้วในปัจจุบัน ยังไม่นับรวมถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกจากการที่ต้องหา ทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการจัดส่งสินค้าไปยังคู่ค้าต่างประเทศในทุกวิถีทาง ทั้งการลำเลียงสินค้าด้วยรถบรรทุกไปโหลดขึ้นเครื่องที่สนามบินปีนัง กัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย รวมไปถึงสนามบินชางฮีของสิงคโปร์ ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 50% ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และบริษัทลูกค้าหลายรายที่นำเข้าชิ้น ส่วนจากไทยต้องชะลอการผลิต บางรายถูกผู้สั่งซื้อปรับเป็นเงินถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้ออยู่ต่อไปความเสียหายที่มีต่อคำสั่งซื้อ ในอนาคตอาจส่งผลกระทบไปถึงการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ซึ่งนั่นจะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาคแรงงานที่อาจต้องตกงานสูงถึง 200,000 คน เนื่องจากไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตได้และบริษัทที่นำเข้าสินค้าจากไทย อาจ เปลี่ยนไปว่าจ้างและสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศอื่นๆแทน ทำให้ผู้ประกอบการไทย สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปอีก 2-3 ปีจากนี้ แม้สถานการณ์จะยุติลงก็ตาม
หวั่นคู่ค้าเบนเข็มหาตลาดใหม่
พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากเหตุการณ์ยังคงยืดเยื้อเกิน 1 สัปดาห์ ประเทศคู่ค้าของไทยอาจหันไปหาตลาดใหม่แทนซึ่งจะยิ่งทำให้ความเสียหายทวีความ รุนแรงมากขึ้น “ผมกลัวต่างชาติที่สั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยจะฉวยโอกาสการปิดสนามบินหรือ ปัญหาการส่งออกที่ล่าช้านี้ เป็นข้ออ้างยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าไทยไป ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อการส่งออกในระยะยาวอย่างแน่นอน”
ขณะที่ ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ได้วิเคราะห์ ถึงผลกระทบของวิกฤติการเมืองที่กำลังขึงพืดอยู่ในเวลา
นี้ว่า หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายภายในเดือน ธ.ค.นี้ จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจถึง 134,000-215,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลกระทบต่อการท่องเที่ยว 76,120 ล้านบาท การส่งออก 25,000-40,000 ล้านบาท การลงทุน 12,000-40,000 ล้านบาท และการบริโภค 21,000-30,000 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวเพียง 4.1-4.4%
แต่หากเหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลายภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้และยกเลิกปิดสนามบินในสัปดาห์นี้ได้ ความเสียหายจะลดลงเหลือเพียง 73,000-130,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลกระทบต่อการท่องเที่ยว 42,000-75,000 ล้านบาท การส่งออก 10,000-24,000 ล้านบาท การลงทุน 6,000-11,000 ล้านบาทและการบริโภค 15,000-20,000 ล้านบาทส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโต 4.5-4.8% ได้
ด้านสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งได้จัดสัมมนาวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจล่าสุดระบุว่า เศรษฐกิจไทยหลังเผชิญกับวิกฤติการเมืองมานานจะฉุดรั้งอัตราการขยายตัวเหลือ อยู่เพียง 1.9% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยแล้ว
แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการปิดสนามบิน สุวรรณภูมิและดอนเมืองล่าสุดที่เกิดขึ้น ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไปก ็เป็นเรื่องที่ยังคาดเดาไม่ได้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2552 จะติดลบไปมากน้อยแค่ไหน
*****
ความย่อยยับทางเศรษฐกิจทั้งมวลที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ประมวลมาข้างต้นนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ความเสียหายหลักที่ไม่อาจจะเรียกคืนได้อีก แล้วก็คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ทั้งประเทศและศูนย์กลางการบิน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น
วันนี้ภาพพจน์ดังกล่าวได้พินาศย่อยยับไปสิ้นเชิงแล้ว!
ภาพข่าวความรุนแรง ความผิดหวังของนักท่องเที่ยวที่ต้องตกเครื่องบิน ถูกบล็อกให้เผชิญหน้ากับพันธมิตรฯที่บุกยึดสนามบินและต้องใช้ชีวิตอยู่ใน สนามบินแห่งนี้ข้ามวัน ข้ามคืน ทั้งยังต้องหนีเอาตัวรอดกันอย่างทุลักทุเลเพื่อขึ้นเครื่อง กลับประเทศซึ่งถูกสื่อต่างประเทศตีแผ่ประโคมออกไปทั่วโลกนั้น
คงเป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะกอบกู้ชื่อเสียงและภาพพจน์กลับมาและ ไม่รู้จะต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปีกว่าทุกฝ่ายจะลืมเลือนฝันร้ายที่เกิดขึ้นใน ประเทศไทยนี้
โดยที่รัฐบาล “เป็ดง่อย” ของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ได้แต่นั่งเอามือซุกหีบลอยตัวเหนือปัญหาไปวันๆ จะสั่งสลายการชุมนุมหรือก็กลัวจะถูกย้อนรอยคิดบัญชีในภายหลังไม่กล้า แม้แต่จะเซ็นคำสั่งหาคนรับผิดชอบ
ปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งยึดเอาเศรษฐกิจของประเทศชาติเป็นตัวประกัน!!!
ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องจบ จะต้องเร่งยุติปัญหาการเอาความวิบัติย่อยยับของ ประเทศเป็นเครื่องต่อรองเพื่อบรรลุเป้าหมายของกลุ่มตน ก่อนที่ประเทศไทยจะวิบัติย่อยยับไปกว่านี้ ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงให้ไว้เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2535 หลังเหตุการณ์นองเลือด “พฤษภาทมิฬ 35”
“...ประเทศของเราไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องหันหน้าเข้าหากัน หลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือดปฏิบัติการรุนแรงต่อกันมันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร แล้วก็ใครชนะ ไม่มี ไม่มีทางชนะ มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่แพ้มากที่สุดก็คือประชาชนและเป็นประชาชนทั้งประเทศไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพฯ...ถ้าสมมุติว่ากรุงเทพฯเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง...”
*****
ทีมเศรษฐกิจ
จากคุณ :
มาหาอะไร
- [
25 ม.ค. 52 19:01:46
A:118.174.170.79 X:
]
|
|
|