ความคิดเห็นที่ 1 มาติดตามผมก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่อ่านแล้วสนใจ จากคุณ : eightwings - [ 13 ก.พ. 52 18:25:02 A:58.8.91.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 เตรียมพร้อม ทั้งฟูกนอน ป๊อปคอน และ ps2 รอฟังค่ะ จากคุณ : jezebel - [ 13 ก.พ. 52 19:22:15 A:58.10.155.17 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 สงสัย วันนี้ คุณ ตอสระอือ คง ไม่ได้ เล่น net แน่ เลย ผมกลับบ้าน ก่อนดีกว่า ไว้มีเวลา จะเข้ามาเช็คใหม่ จากคุณ : gotthepower - [ 13 ก.พ. 52 20:16:17 A:203.188.62.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพิ่งเห็นกระทู้ครับ คราวหลังเรื่องแบบนี้หลังไมค์คุยกันก็ได้ครับตั้งเป็นกระทู้ผมเกรงใจกระทู้ดีๆอันอื่นของเพื่อนสมาชิกเขาจะตกหน้าไป ( ถ้าไม่สำคัญจริงๆผมพยายามจะไม่ตั้งกระทู้ ) ผมว่าคุณ gotthepower เข้าใจผมผิดหลายเรื่องครับ เรื่องแรกคือผมไม่เคยบอกว่าราคาน้ำมันขณะนี้ถูกต้องแล้ว ผมไม่รู้เรื่องโครงสร้างน้ำมันดีพอที่จะตอบได้ว่ามันเหมาะสมหรือไม่ แต่ผมแสดงความคิดเห็นมาตลอดว่ารัฐบาลต้องเก็บภาษีสรรพสามิตครับถ้าราคาน้ำมันไม่ได้วิกฤตเกินไป ไม่เก็บไม่ได้ครับ  ถ้ารัฐบาลนี้ไม่เก็บอีกหน่อยรัฐบาลที่มาใหม่ก็ไม่กล้าเก็บเพราะกลัวเสียคะแนนเสียง ทั้งที่ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่เป็นธรรมพอสมควรนะครับ คือคนใช้น้ำมันมากจ่ายมาก คนไม่ใช้น้ำมันก็ไม่ต้องจ่าย อัตราภาษีก็ไม่ได้มากมายอะไรถ้าเรื่องแค่นี้รัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจเพื่อความถูกต้องและเป็นบรรทัดฐานให้รัฐบาลต่อๆไปก็อย่ามาเป็นรัฐบาลเลยครับ อีกเรื่องคือเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ความจริงควรขึ้น 7 เป็น 10% นานแล้วแต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าขึ้น ทั้งที่ก็เป็นภาษีอีกตัวนึงที่เป็นธรรม ( ใครใช้มากจ่ายมาก ) ใจผมยังอยากให้รัฐเลิกเก็บภาษีจุกจิกทั้งหมดแล้วเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเดียวเลยด้วยซ้ำ ( เบื่อต้องยื่นแบบ  ตอบคำถามของเจ้าหน้าที่สรรพากร  แล้วก็ระเบียบจุกจิกวุ่นวาย ) เรื่องภาษีผ่านไปนะครับความจริงคุยเรื่องนี้แล้วอยากยาว ผมอยากให้ระบบภาษีบ้านเรายกเครื่องกันใหม่ทั้งระบบเลยซึ่งต้องว่ากันอีกประเด็นนึง ส่วนกรณีเจ็ทกับ ปตท. นี่อ่าน คห. ของคุณ gotthepower แล้วงงครับ 1. ผมเกลียด ปตท. นัก หนา ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ผมเคยเป็น 1 ในคนที่ต่อต้านการแปรรูป ปตท. แต่เมื่อต้านแพ้คุณทักษิณแล้วก็จบกันครับ พอหุ้น ปตท. เข้าตลาดแล้วผมยังซื้อๆขายๆ ขาดทุนมั่ง-กำไรมั่งไปหลายรอบ ผมจะไปเกลียด ปตท. ทำไม ? 2.  ขณะนี้ ปตท. ก็ยังคงเป็นของรัฐอยู่ครับ เพราะรัฐยังคงถือหุ้นใหญ่สุด  และการทำงานของ ปตท. ก็แทบไม่ได้ต่างจากเดิม รายได้ที่มากขึ้นสูงขึ้นทุกปีไม่ใช่เพราะเก่งขึ้นจากการแปรรูปนะครับ แต่เพรา ปตท เป็นผู้ผูกขาดการจำหน่ายแก๊สในประเทศไทยกำไรตรงนี้ปีนึงก็หลายหมื่นล้านแล้ว ( และมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆจากการขยายตัว ) http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=74659 ซึ่งพอแปรรูปแล้วการทำงานก็ต้องมุ่งหวังผลกำไรน่ะครับ  กำไรมันก็เลยยิ่งเพิ่ม ปตท. มีกำไรจากธุรกิจน้ำมันน้อยมากครับและปีที่แล้วธุรกิจน้ำมันของ ปตท. น่าจะขาดทุน โดยเฉพาะ บริษัทลูกไตรมาส 3 และ 4 ขาดทุนรวมแล้วเกินหมื่นล้านมั้งครับ ( PTTAR PTTCH TOP ... etc. ) ส่วน Jet ที่คุณบอกซื้อมาขายไปไม่น่าขาดทุนนั้นไม่จริงเสมอไปครับ การที่ Jet ดีลกับ ปตท. นั้นก็เริ่มมาจากฝั่ง Jet ไม่ใช่ ปตท ครับ เขาทำธุรกิจต่อแล้วมีแต่จมเงินลงไปเรื่อยๆเขาก็ถอนสมอเท่านั้นเอง จะซื้อน้ำมันมาขายเฉยๆแต่มันก็มีต้นทุนสารพัดซึ่งตอนทำตลาด Jet ประเมินว่าถึงค่าการตลาดบ้านเราจะต่ำ แต่ถ้าทำปั๊มให้ดีคนใช้บริการมากๆ มีร้านสะดวกซื้อให้จับจ่ายใช้สอยเพื่อเพิ่มผลกำไรได้อีกทางน่าจะคุ้มทุนได้ทางธุรกิจ แต่ไปๆมาๆมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทาง Jet คิดน่ะครับ ร้านสะดวกซื้อ Jiffy ที่ Jet ทำกลับเป็นภาระทางต้นทุนมหาศาล เพราะ Jet ไม่ได้ชำนาญธุรกิจค้าปลีกมากไปกว่า 7-11 ที่ Link กับ CP ซึ่งเป็นต่อคู่แข่งแทบทุกด้าน ปั๊มคู่แข่งที่ทำร้านสะดวกซื้อตรงนี้บ้างก็เจ๊งกันหมด ( Starmart ของ คาลเท๊กซ์ก็มีน้อยสาขาที่จะกำไร  ต้องปิดตัวขายให้ Top บ้าง Lotus บ้างเข้ามาดำเนินกิจการแทน ) มี ปตท. น่ะครับที่ดึง 7-11 ไปทำตั้งแต่แรกเลย  ก็เลยไม่เจ็บตัว แต่กระนั้น ปตท. ก็ยังบอกตอนซื้อ Jet เลยนะครับว่าหวังผลระยะยาว คืนทุนช้ามากครับกว่าจะเริ่มมีผลกำไรกลับมาก็ต้องหลังจากนี้ 5 ปี ( ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ) ดังนั้นใครมาบอกว่าซื้อมาขายไปไม่เจ๊งหรือะเจ๊งยากนี่ไม่จริงครับ ค่าใช้จ่ายมันเกิดขึ้นทุกวินาที ถ้าอินคัมรันไม่ทัน  ขาดสภาพคล่องแล้วไม่เติมเงินมันก็เจ๊ง ถ้า Jet ไม่ขายตอนนั้นมาขายตอนนี้ยิ่งเจ๊งหนักครับยืนยันได้ ส่วนเรื่องราคาน้ำมันถ้ารู้จริงไม่ต้องตั้งกระทู้เรียกผมหรอกครับ ตั้งกระทู้ว่าไปเลยสาธยายรายละเอียดแบบชำแหละเลยผมจะมาให้ Give ครับรออ่านอยู่ แต่ไม่ใช่มาสงสัยทำไมราคาน้ำมันที่ ดูไบ ไนเม็กซ์ ร่วงลงมา 3$ แล้วทำไมราคาน้ำมันบ้านเรายังนิ่งอยู่ พูดยังกับว่าเราซื้อน้ำมันที่ตลาดไนเม็กซ์มา กลั่น วันนี้ขายพรุ่งนี้แน่ะครับ 555 อย่างตลาดไนเม็กซ์ตลาดเขาเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าครับไม่ใช่ราคาน้ำมันจริงๆ สมมุติสัญญาส่งมอบเดือนมี.ค. อยู่ที่ 41.58 ดอลลาร์/บาร์เรล ก็ไม่ได้หมายความว่า ณ ตอนนี้เราจะซื้อน้ำมันได้ที่ราคาเท่านี้ หรือหมายความว่าเดือน มี.ค. เราจะซื้อน้ำมันได้ที่ราคาเท่านั้น มันเป็นเรื่องของมูลค่าสัญญาเข้าใจไหมครับ ? คือถ้าคุณซื้อตั๋วอนุพันธ์ไว้  แล้วมูลค่ามันขึ้นคุณก็กำไร  แต่ถ้ามันลงไปอีกคุณก็ขาดทุน ตอนที่ราคาน้ำมันตลาดโลกขึ้นล่วงหน้าไปร้อยกว่าเหรียญเราถึงไม่เคยได้ใช้ราคาน้ำมันเท่านั้นจริงๆเท่าไหร่เลยไงครับ ( เพราะมันลงมาก่อน ) ตอนนั้นใครๆก็นึกว่าน้ำมันบ้านเราลิตรละ 60 บาทแน่ๆเพราะมันขึ้นไป 3 เท่าในปีเศษๆเท่านั้น จากคุณ : ตอสระอือ - [ 14 ก.พ. 52 18:57:17 A:192.168.0.17 X:58.9.104.80 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามาเชียร์ครับ ให้ถกกันด้วยเหตุผล ว่าแต่ หัวข้อการสนทนาคืออะไรครับ จากคุณ : Retire Young - [ 15 ก.พ. 52 00:42:41 A:192.168.0.17 X:124.121.9.101 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คห. 5 ครับ ต้องขอโทษที ที่ตอบไม่ได้ว่าคุยกันเรื่องไร แค่ผม ไม่เข้าใจใน ความเห็น ของ คุณ ตอสระอือ ครับ ว่าจริงๆ เขาคิดอย่างไร ที่สำคัญ PM ไม่เป็น งง ตั้งนาน ว่าหมายความว่าไง ต้องขอ อภัยที่ ตั้งเป็นกระทู้ครับ คุณ ตอสระอือ ครับ พอได้อ่านความคิด ก็พอเข้าใจแล้วว่าคุณ คิดอย่างไรบ้าง แต่ก็มีหลายมุมมอง ที่อยากแสดงความคิดเห็นอะนะ (คุณอาจคิดแล้วก็ได้) เรื่อง ภาษี ที่ผมไม่เห็นด้วยในตอนนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาครับ มันซ้ำเติมคนมากไปครับ คุณบอกว่า รัฐไม่กล้า เท่าที่ผมจำได้ยุค ทักษิน ไม่ใช่ไม่กล้านะครับ แต่เขาเลื่อนก่อนเพราะขัดกับ นโยบาย กระตุ้น เศรฐกิจครับ กระตุ้นให้คน มาใช้จ่าย แต่กลับ จ่ายมากเสียภาษีมาก คงจะ กระตุ้นไม่สำเร็จครับ ในตอนนี้ก็เหมือนกัน ถ้าขึ้นภาษี ตอนนี้ ผมว่ามันกระทบกับคนทั้งประเทศนะครับ ไม่ใช่แค่คนใช้มากจ่ายมากครับ ยกตัวอย่างนิดหน่อย เกษตกรครับ ใช้น้ำมัน มากอยู่แล้วครับ อาชีพนี้หน้าสงสารมากนะครับ เพราะ มันไม่เหมือนเวลาคุณเล่น หุ้น ที่บอกมีความเสี่ยงมาก แต่ ถ้าเลือกลงทุน ในจุด ตีนเขา ขาย ปลาย เขา เลือกถูก ก็ดีไป ตามกระแส เงิน และเศรฐกิจ แต่ชาวนา ลงทุน 3 เดือน ถึงขาย ถ้าช่วงลงทุน ราคา น้ำมันแพง ข้าวก็แพง แต่กว่า ผลผลิตจะออก ราคาน้ำมันลด ราคาข้าวลด ขาดทุนสิครับ ในทางกลับกัน คุณอาจจะบอกว่า ก็ชาวนาไม่มีความรู้ใน ด้านการคาดการราคาสินค้า การเกษตร แล้ว ลงปลูกให้ถูกช่วง ชาวนาก็จะเถียงว่า แล้วคุณรู้จัก ดู เรื่อง ฤดูการผลิตหรือ เปล่า ปริมาณน้ำ วัชพืช นกอพยบ อะไรพวกนี้หละ มันไม่ปลูก ตามฤดูกาลไม่ได้ ชาวนาจึงได้รับความเสี่ยง เรื่อง ราคาน้ำมันไปเต็มๆ ครับ ตอนนี้ ชาวนา ควรจะได้ ใช้น้ำมันถูก เพราะถ้าราคาข้าว ไม่เพิ่ม เขาก็ไม่เจ็บมาก แต่ ชาวนาไทย จะสู้ เวียดนาม ได้อย่างไร ถ้าต้องต้นทุน น้ำมันสูง แล้วขายข้าว ในราคาเดียวกัน เพราะรัฐ อาศัยช่วง ราคาน้ำมันตก (สินค้าอย่างอื่นในตลาดโลกก็ตกตามน้ำมัน) เก็บภาษี เพิ่ม ธุรกิจ ส่งออก สินค้าที่ต้องใช้น้ำมัน เช่น อาหาร อันนี้ ก็ได้รับผลกระทบแน่ ราคาน้ำมันตลาดโลกลด สินค้า หลายชนิดราคาลดตาม (เพราะต้นทุนควรลด) แต่ที่ประเทศไทย ต้นทุนไม่ลด ทำไง ได้ ก็ต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แล้วนี่เหรอ อยากกระตุ้นเศรฐกิจอะครับ ภาษี เก็บเพิ่มได้ในเวลาที่เหมาะสมครับ ไม่ใช่ซ้ำเติม เพียงแค่บอกว่า ก่อนหน้านี้เราบอบช้ำมากกว่านี้อีก มาเรื่อง ปตท. ครับ ผมคิดเอง เออ เอง ว่าคุณ เกลียด ต้องขอโทษด้วยครับ เพราะ เข้าใจว่า ต่อต้าน การปฏิรูป แล้ว จะไม่พอใจพาล เกลียดไปด้วย เดี๋ยวมาต่อ เรื่อง jet จากคุณ : gotthepower - [ 16 ก.พ. 52 12:34:45 A:203.188.62.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 กลับเข้ามา jet นะครับ บริษัท คอนอโค  http://p66conoco76.conocophillips.com ก่อตั้งมา 126 ปีแล้ว มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เป็นบริษัทฯ นานาชาติซึ่งทำธุรกิจด้านเชื้อเพลิงที่ยิ่งใหญ่ และก้าวนำไปสู่อนาคตได้ก่อนใคร คอนอโคเป็นบริษัท ธุรกิจพลังงานเชื้อเพลิงที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของสหรัฐอเมริกา เปิดดำเนินกิจการในประเทศต่างๆ กว่า 40 ประเทศ และมีบทบาทที่สำคัญในอุตสาหกรรม ปิโตรเลียมระดับโลก ทั้งในด้านอัพสตรีมและดาวน์สตรีม (upstream and downstream) ซึ่งรวมทั้งการสำรวจ การผลิต การจัดหาและขนส่ง การตลาด และการกลั่นน้ำมัน                  ธุรกิจกลุ่มใหม่ของบริษัทฯ ด้านการผลิตกระแสไฟฟ้า คาร์บอนไฟเบอร์ และเทคโนโลยีการแปลงก๊าซเป็นเชื้อเพลิงเหลว ล้วนมีแนวโน้มความสำเร็จค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในขณะนี้บริษัทฯกำลังทำการก่อสร้าง โรงงานผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ด้วย กำลังผลิตถึงแปดล้านปอนด์ต่อปีขึ้นที่ใกล้บริเวณโรงกลั่นของคอนอโค ในพอนคาซิตี้ของมลรัฐโอคลาโฮมา โรงงานมูลค่า 124 ล้านดอลล่าร์แห่งนี้จะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเพื่อการพาณิชย์ได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2544 ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯกำลังทำการพัฒนาเทคโนโลยี เกี่ยวกับการแยกก๊าซธรรมชาติและเทคโนโลยีการแปลงก๊าซให้เป็นเชื้อเพลิงเหลว โดยกำลังก่อสร้างโรงงานต้นแบบขึ้นที่พอนคาซิตี้ด้วย เช่นกัน บริษัท คอนอโคมีจุดแข็งที่สำคัญอยู่หลายประการ ได้แก่ :  ความพร้อมแบบครบวงจรทั้งอัพสตรีมและดาวน์สตรีม (upstream and downstream) ความสามารถในการเพิ่มมูลค่าให้คาร์บอน เทคโนโลยี  การขุดเจาะใต้ทะเลลึก  การบริหารจัดการโครงการ  การเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มอื่นๆ  รวมทั้งมาตรการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วทำให้เกิดความโดดเด่นเหนือบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจด้านพลังงานด้วยกัน คอนอโค (ประเทศไทย)       วัตถุประสงค์ทางธุรกิจแรกเริ่มของคอนอโคในประเทศไทยคือการทำตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป  สำหรับยวดยานต่างๆ  บริษัท คอนอโค (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งขึ้นเมื่อปี 2534 และเปิดสถานีบริการ  น้ำมันเจ็ทแห่งแรกในปี 2536  บริษัทฯลงทุนในประเทศไทยกว่า 5 พันล้านบาทและมีพนักงานกว่า  4,000 คน บริษัท คอนอโค (ประเทศไทย) ก้าวมาสู่จุดสำคัญโดยมีสถานีบริการในประเทศทั้งหมด 125 แห่งและคาดว่าภายในปี 2545 จะมีสถานีทั้งหมด 150 แห่ง  คอนอโคเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยทางด้านมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า  บริษัทฯได้พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และได้ดำเนินการนำเอา แนวคิดเรื่องการเป็นสถานีบริการครบวงจรที่มีประสิทธิภาพที่สุดมาใช้       เจ็ท/ จิฟฟ เจ็ทเป็นสถานีบริการน้ำมันที่ทันสมัย มีการใช้โทนสีที่ดึงดูด ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ สำหรับอุตสาหกรรมนี้ และได้รับการต้อนรับจากลูกค้าเป็นอย่าง สถานีบริการน้ำมันเจ็ทมีพื้นที่กว้างขวางราว 3-5 ไร่ ทำให้เกิดความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับ กลุ่มลูกค้าของเรา รวมทั้งมีทางเข้า-ออก และบริเวณจอดรถอันสะดวกสบายต่อผู้ขับขี่ยวดยาน ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่จิฟฟี่ มีการพัฒนาในเรื่องพื้นที่จากขนาด 150 ตารางเมตรจนถึง 550 ตารางเมตร ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยทั้งในด้านของพื้นที ่และความหลากหลายของ ผลิตภัณฑ์ สิ่งนี้เอง ทำให้จิฟฟี่สามารถมีสินค้าที่มีคุณภาพ หลากหลายประเภท ในราคาที่เสุนัขะสมอย่างครบวงจร จิฟฟี่มีสินค้ากว่า 3,000 รายการตั้งแต่อาหารจานด่วน ขนมขบเคี้ยว เครื่องดี่ม ของชำ สินค้าเพื่อสุขภาพและความงามไปจนถึงร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น เอส แอนด์ พี, แดรี่ ควีน, บ้านไร่กาแฟ และศูนย์บริการยานยนต์เช่น บี-ควิก เป็นต้น องค์ประกอบสำคัญด้านอื่นของเจ็ทคือ  ห้องน้ำสะอาด  ศาลาพักผ่อนกว้างขวางและสว่าง ปลอดภัย ตลอดจนที่จอดรถกว้างขวาง ........................................................................................... แล้วทำไม ถึง เจ๊ง ? ปตท. ตั้งแต่ แปรรูป เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ธุรกิจ ปิโตรเคมี หลายแห่ง กลายเป็น ปตท. หรือไม่ก็ ปตท. กลายเป็น หุ้นส่วนรายใหญ่ (ยังไม่มีการเปลี่ยนชื่อ) ค่าการตลาด น้อยเกินไป จริงครับ jet อยู่ไม่ได้เพราะค่าการตลาด แต่เนื่องด้วย ค่าการตลาด คือค่าที่รวม ทั้งค่าขนส่ง และเช่าที่เก็บน้ำมันด้วยครับ ปตท. ขึ้น ค่าเช่า jet ก็จนปัญญาครับ แล้วทำไม ที่อื่นไม่ เจ๊ง ก็เพราะเขา มีโรงกลั่นเป็นของตัวเอง ทำให้ลดต้นทุนได้ครับ เรื่องการบริหาร jet ไม่ได้มีปัญหา ที่คุณ เปรียบเทียบ jiffe กับ 7-eleven ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย เพราะ jiffe ไม่ได้เปิดตลาดตามบ้าน หรือในเมือง ที่ต้องทำแข่งกัน กำไรส่วนใหญ่ของ ปั้ม jet ก็มาจาก jiffe นะครับ ถ้าจะเปรียบเทียบ ปั้ม 2 ปั้ม ปั้ม หนึ่ง มี 7-eleven แต่ห้องน้ำไม่สะอาด ที่จอดรถน้อย กับอีกปั้ม ห้องน้ำสะอาด มีที่จอดรถ มีต้นไม้เยอะ และ มี มินิมาร์ท ที่ขายของเหมือน 7-eleven ผมถามว่า คุณ จะเลือกเข้าปั้มไหนครับ บางคนเข้าปั๊ม ไม่ใช่ไปเติมน้ำมัน แต่ไปเข้าห้องน้ำ หรือเป็นที่นัดพบกัน กลางทาง หรืออื่นๆ ถ้าเคยไปต่างจังหวัด รถที่จอดเติมน้ำมัน กับรถที่จอดพักรถ มีครึ่งๆ เลยนะครับ สำหรับปั๊ม jet และด้วยเหตุผลพวกนี้ ปตท. จึง ประมูลราคาสูงเกินจริงในช่วง เศรฐกิจอย่างนี้ (ประมาณ 60 ล้านบาท ต่อปั๊ม) กลับมาเรื่อง รัฐวิสาหกิจนิดหนึ่ง ตรงที่คุณบอกว่า ปตท. การทำงานไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ผมว่าไม่ใช่เลยครับ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ภาพลักณ์ มากมายใน ปตท. เห็นการขยาย อาณาจักร ทั้ง ด้าน ปิโตรเลียม และปิโตรเคมี ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าทำงานอย่างเดิม เราควรเห็น ปั๊ม ปตท. ก้าวหน้ากว่า ปั๊ม jet นานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ (อันนี้ผมรู้ว่าผมเห็นต่างจากคุณ) มีร้าน ทำ ผม 2 ร้าน ร้านแรก ให้เงิน ลูกจ้างเป็นเงินเดือน เดือนละ หมื่น ร้านที่สอง ให้เงินลูกจ้าง เป็นหัว แบ่งกับเจ้าของร้านคนละครึ่ง คุณว่า ร้านแรก จะเจ๊งไหมครับ เพราะ คนเข้ามาก น้อยก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้เงินเดือน ไม่ต้องเชียร์แขก แต่ในทางกลับกัน อีกร้าน ลูกจ้าง ต้องทำเงิน ถ้าจะได้เงินหมื่น ก็แค่ 8 รายต่อวัน (คิดแค่สระไดร์ 100 ได้ 50 นะ ซึ่ง 8 คนต่อวัน ไม่น่ายากมาก) ทำมากได้มากขึ้น คุณว่า การบริหารแบบไหนดีกว่ากัน ผมอ่านข่าวนี้แล้วยิ่ง รู้สึกมาก http://news.sanook.com/read/2009/จำปีโวยบอร์ดสั่งงดจ่ายโบนัส-แต่กอดผลประโยชน์แน่น/ ถ้า กำไร ต้องเพิ่มเงินเดือน 75% ขาดทุน 6.5% ต่อปี โอ้ อะไรจะดีปานนั้น ถ้าผม จบตรี เงินเดือน 8000 บาท บริษัท ขาดทุน 20 ปีซ้อน ผมจะมีเงินเดือน 28000 บาท โอ้ สวัสดิการณ์ เพียบ อายุ 43 แต่เงินเดือนเกือบ 30000 สวัสดิการเพียบ ใครจะไม่อยากเข้า รัฐวิสาหกิจ มีเส้นมีสาย ขอเข้าไปทำงานด้วยคน ถ้าเป็นร้านทำผม ที่ผมยกตัวอย่าง คงเจ๊งไปนานแล้ว เพราะไม่มีรัฐอุดหนุน เอ้า แล้ว ถ้าเป็นร้านตัดผม ร้านที่ 2 หละ การทำงานก็ไม่ได้แตกต่างกันกับร้านแรกหรอกครับ ไม่ต้อง ตีลังกา ไดร์ผม แค่คนงานต้อง ขยันขึ้น เอาใจแขกมากขึ้น พูดจาดีขึ้น เพื่อให้คนเข้าร้าน นั่นแหละครับที่ต่าง ผมเห็น พวกที่ ต่อต้านการแปรรูป ส่วนมาก ที่มาประท้วง ก็ พวกที่ทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจนั่นแหละ ถ้าผมอยู่รัฐวิสาหกิจ ผมก็คง จะไปร่วมอะครับ กับอีกพวก ที่กลัวว่า น้ำมันจะแพงเกินจริง หรือ อิจฉา ปตท. มันรวยเกินไป ซึ่ง ขนาด ม่าม่า จะขึ้นราคา ยัง ต้อง ขอ อนุญาต รัฐเลยครับ รัฐบาล สามารถ กำหนด ค่า การตลาดได้ ไม่ให้ ปตท. กินกำไรเกินจริง ถ้าบริษัท มันจะอ้าง มันจะเจ๊ง ก็ให้ นักธุรกิจรายใหม่ เข้าไปเทค โอเวอร์สิครับ ผมว่า นักลงทุนที่ยอมรับค่า การตลาดที่รัฐกำหนด ได้มีอีกเยอะครับ อย่ามาบีบ ขึ้นราคากับประชาชน การที่ ปตท. แยกตัวออกมา ให้รัฐเป็นผู้ถือหุ้น ผมว่าดีกว่า เพราะรัฐได้ประโยชน์ กับการดำเนินงานของ ปตท. แต่ถ้า ปตท. เป็น รัฐวิสาหกิจ กลับกลาย เป็น คนใน ปตท. ได้หาผลประโยชน์ กับรัฐบาลแทน (ซึ่งเป็น เงินภาษีของคนทั้งประเทศ) แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 14:39:37 จากคุณ : gotthepower - [ 16 ก.พ. 52 14:32:33 A:203.188.62.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอกลับเข้ามาแลกเปลี่ยน คห. กับคุณ gotthepower อีกหน่อยครับ คห.6 เรื่องภาษีนะครับ ส่วนตัวผมอยากให้รัฐบาลกล้าหาญพอที่จะประกาศขึ้น VAT ปีละ 1% จนถึง 10% ตามเป้าหมาย อยากให้เริ่มปรับปี 2010 2011 และ 2012 เลยครับ  ส่วนภาษีเงินได้ก็ให้ปรับลดลงจาก 30% เป็น 25-20 และ 15% ไปพร้อมๆกัน ( ขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้นด้วย ) ตรงนี้เป็นความคิดเห็นครับมองต่างกันได้ไม่มีผิดไม่มีถูก เพียงแต่ผมอยากเห็นการเสียภาษีกระจายฐานกว้างๆมากๆและเสียในอัตราที่ไม่สูงนัก ผมว่าดีกว่าที่คนเสียภาษีกระจุกตัวอยู่แค่ไม่กี่ล้านคน การเสียภาษีมันก็เป็นเรื่องของชนชั้นเหมือนกันนะครับ คนที่ต้องเสียภาษีบางทีเขารังเกียจความคิดที่ว่าเกษตรกรทำอะไรเดือดร้อนก็มาขอรัฐบาลให้ช่วย ผลผลิตตกต่ำ / เป็นหนี้ / พืชผลเสียหาย  เอะอะก็ขอเงินภาษีที่ตัวเองไม่เคยเสียเอาไปช่วย ตรงนี้ความรู้สึกแบ่งแยกมันก็มีครับ ทำให้นักการเมืองที่ชาวบ้านชอบ  และเลือกมาแต่กลุ่มคนในเมืองจะไม่ค่อยยอมรับ คือเขาไม่เข้าใจครับว่าชาวไร่ชาวนาลำบากมาขนาดไหน ?  ไหนจะต้องเจอปัญหาเรื่องราคาพืชผล  เรื่องความเสียหายจากธรรมชาติ เหนื่อยสายตัวแทบขาดมาตลอดชีวิตแต่ก็น้อยรายที่จะลืมตาอ้าปากได้ไม่เป็นหนี้เป็นสิน ตรงนี้มันแบ่งแยกกันอยู่ลึกๆครับยังไงก็ต้องขยายฐานภาษี อนาคตเราต้องให้เกษตรกรเสียภาษีครับเขาจะได้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศมากกว่านี้และเขาต้องภูมิใจที่ให้ประเทศมากกว่าเป็นผู้รับ แต่ก่อนจะขยายฐานภาษีได้กว้างขนาดนั้นก็ต้องทำให้ผลผลิตของเกษตรกรราคาดีกว่านี้ครับ อาจต้องตั้งเป้าหมายว่าพืลผลอะไรราคาเกินกว่าเท่าไหร่ถึงจะเก็บภาษี ( เช่นยางพารา ราคาเกิน 30 บาทเก็บเงินเข้ากองทุน 2% เสียภาษี 3% อะไรแบบนี้ ) มันต้องผ่าตัดระบบภาษีกันขนานใหญ่ครับ คือถ้ารัฐมีเงินมากกว่านี้สัก 20% ( เป็นอย่างน้อย ) เงินที่รัฐจะอัดฉีดเข้าไปในระบบให้มันขับเคลื่อนไปได้มันก็จะเยอะขึ้นครับ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแน่ อัตราเงินเดือนข้าราชการต้องปรับขึ้นอย่างน้อย 10% แต่ผมว่าระบบภาษีแบบนี้ดีในระยะยาว  ซึ่งพูดกันตามจริงผมว่าไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำหรอกครับ มันจะเสียคะแนนนิยม  และใครก็ตามเมื่อมาเป็นรัฐบาลเขาจะไม่กล้าเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด ส่วนต้นทุนราคาน้ำมันในภาคเกษตรผมไม่เห็นด้วยครับ ผมว่าปัจจัยราคาน้ำมันมีผลกระทบกับเกษตกรน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ราคาน้ำมันระดับราวๆ 20-25 บาท ไม่ได้มีผลแตกต่างอะไรกับราคาข้าว-กระเทียม-มัน-ข้าวโพด เท่าไหร่เลย แต่มีผลกับธุรกิจเดินเรือ - ประมง - ท่องเที่ยว ฯลฯ มากมายครับ และผมว่าคุณ gotthepower พิมพ์แสดงความเห็นบางส่วนแล้วผมว่าไม่ใช่ อ่ะครับ เช่น ตอนนี้ ชาวนา ควรจะได้ ใช้น้ำมันถูก เพราะถ้าราคาข้าว ไม่เพิ่ม เขาก็ไม่เจ็บมาก - ขอตัวเลขการใช้น้ำมันต่อหัวของภาคเกษตรด้วยครับ  ผมเชื่อว่าน้อยกว่าคนเมืองที่ไม่ได้เพาะปลูกอะไรเลยด้วยซ้ำ ยอดขายน้ำมันในกรุงเทพมากกว่าทุกจังหวัดของประเทศไทยรวมกัน การยกเลิกอุดหนุนภาษีสรรพสามิตคนเมืองรับภาระมากสุดครับ แต่ ชาวนาไทย จะสู้ เวียดนาม ได้อย่างไร ถ้าต้องต้นทุน น้ำมันสูง แล้วขายข้าว ในราคาเดียวกัน เพราะรัฐ อาศัยช่วง ราคาน้ำมันตก (สินค้าอย่างอื่นในตลาดโลกก็ตกตามน้ำมัน) เก็บภาษี เพิ่ม - ในข้าว 1 ตันมีต้นทุนน้ำมันอยู่เป็น % เท่าไหร่ครับ ตอบมาก่อนแล้วค่อยคุยกัน  ไม่งั้นมันจะเป็นการเถียงกันในจินตนาการซึ่งไม่จบ ธุรกิจ ส่งออก สินค้าที่ต้องใช้น้ำมัน เช่น อาหาร อันนี้ ก็ได้รับผลกระทบแน่ ราคาน้ำมันตลาดโลกลด สินค้า หลายชนิดราคาลดตาม (เพราะต้นทุนควรลด) แต่ที่ประเทศไทย ต้นทุนไม่ลด ทำไง ได้ ก็ต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แล้วนี่เหรอ อยากกระตุ้นเศรฐกิจอะครับ - ถ้าคุณ gotthepower คิดว่าการงดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นการช่วยเหลือการส่งออก ผมขอถามกลับว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้วซึ่งเราไม่เก็บภาษีสรรพสามิตเลย และราคาน้ำมันก็ถูกลงๆ ทำไมเราส่งออกลดลงเฉลี่ยเดือนละ 10กว่า% ครับ ( พย.เดือนเดียวลด 16% ) แน่ใจหรือครับว่ามันเกี่ยวกัน ตอนนี้น้ำมันแพงๆ และยังไม่ได้งดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตช่วงต้นปีที่แล้ว เรายังส่งออกเป็น + อยู่เลยครับ คุณต้องเข้าใจเรื่องการส่งออกมากพอก่อนที่จะเอามาโยงกับภาษีสรรพสามิตและราคาน้ำมันครับ เรื่องแบบนี้จินตนาการขึ้นมาแล้วคิดว่ามันเกี่ยวกันไม่ได้ครับมันต้องมีตัวเลขบ่งชี้ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 16 ก.พ. 52 18:54:22 A:58.9.96.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 คห.6 เรื่อง Jet นะครับ คุณ gotthepower ต้องกลับไปดูกระทู้เก่าก่อนครับเพราะผมแสดง คห. ไปแล้วว่า Jet เสียเปรียบที่ไม่มีโรงกลั่น ( ถ้าราคาน้ำมันไม่ผันผวนธุรกิจโรงกลั่นให้ผลกำไรสูงมากๆมาติดต่อกันหลายปี  แต่ช่วงนี้ขาดทุนสต๊อคน้ำมันกันอ้วก ) ดังนั้นไม่ได้เห็นต่างกันนะครับคงไม่ต้องอธิบาย ( แต่มีคนเห็นต่างในกระทู้ที่แล้ว  ทว่าพอขอข้อมูลที่แตกต่างก็ไม่มี ) ส่วนตัวอย่างเรื่องร้านทำผมผมตอบไม่ได้ครับไม่กล้าตอบด้วย ลูกจ้างได้เป็นเงินเดือนแต่หากมีความเข้าใจในการให้บริการดีถึงไม่มีคนทว่ามีความตั้งใจ มีเป้าหมายของบริษัท  และมีแผนงานที่ดี ในที่สุดก็อาจไปรอดได้ และเช่นเดียวกัน การให้เงินลูกจ้าง เป็นหัว แบ่งกับเจ้าของร้านคนละครึ่ง ถ้าร้านไม่มีคนลูกจ้างที่มีฝีมือดีเขาอยู่ไม่ได้เขาก็ต้องไปอยู่ร้านที่มีเงินเดือนให้ คนที่เหลืออยู่ในร้านก็จะมีแต่คนซึ่งไม่มีที่ไป คุณภาพไม่ดีพอ เหลือเลือก แบบนี้ลูกค้าเข้ามาในร้านครั้งเดียวก็อาจไม่กลับมาอีกครับ เจ๊งได้เหมือนกัน ดังนั้นสมมุติฐานแบบนี้ผมถึงไม่ชอบใช้ไม่ชอบตอบ เพราะปัจจัยมันมีอีกมากสรุปไม่ได้ และถ้าระบบการทำงานแบบแบ่งรายได้เป็นแนวทางที่เหมาะสม ทำไมธนาคาร ห้างร้าน องคกรชั้นนำของโลกถึงยังใช้ระบบเงินเดือนเป็นหลักอยู่ล่ะครับ ? ส่วนเรื่องการบินไทยอีกเป็นอีกเรื่องนึงนะครับ ( กำไรต้องขึ้นเงินเดือน 75% น่าจะพิมพ์ผิด  คงเป็น 7.5% มากกว่า  ไม่มีที่ไหนขึ้นเงินเดือน 75% ) ก็คงต้องปลดบอร์ดทั้งหมดเพราะปีที่แล้วบริหารขาดทุนหนัก เดิมเขาก็พอมีกำไรบ้างนะครับไม่ใช่ไม่มี แต่ปีที่แล้วสายการบินทั่วโลกน่าจะขาดทุนกันหมด และผมไม่ใช่พนักงานรัฐวิสาหกิจครับ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการแปรรูป ปตท. เพราะสิทธิบางอย่างของ ปตท. มันเป็นโมโนโปลี่ ใครทำก็กำไร ( สิทธิในท่อส่งก๊าซแต่ผู้เดียว ) เอาไปแปรรูปก็เท่ากับเอาเงินไปให้ผู้ถือหุ้นเท่านั้นเองครับ  ( แล้วคนที่เขาไม่มีเงินซื้อหุ้นล่ะ  เขาได้อะไร ? ) รู้ไหมครับตั้งแต่เราแปรรูป ปตท. ได้เงินมาหุ้นละ 35 บาท ตอนนี้เราจะซื้อคืนกลับมาเป็นของชาติ 100% ต้องใช้เงินที่มากกว่าที่เขาเอามาให้เรากี่เท่า สิงคโปร์เขามาถือหุ้น ปตท. ไม่น้อยครับ ลงทุนไม่กี่พันล้านแต่ได้ปันผลกลับไปเป็นหมื่นๆล้านแล้วแถมยังขายหุ้นได้อีกเป็นหมื่นล้าน ดังนั้นที่คุณว่าแปรรูปดีน่ะมันดีตรงไหนครับ ? และอย่างการบินไทย แปรรูปแล้วกำไรก็แบ่งให้ผู้ถือหุ้นไป  แต่พอขาดทุนเป็นไรครับ รัฐเดือดร้อนหรือเปล่าล่ะเพราะถือหุ้นใหญ่  เจ๊งไม่ได้อีก ส่วนเรื่องรัฐวิสาหกิจนั้นต้องถือว่ารัฐเป็นเจ้าของทั้ง 100% อยู่แล้วครับ ไม่ใช่พนักงานเป็นเจ้าของ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 16 ก.พ. 52 19:19:23 A:58.9.96.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 จาก คห. คุณ ตอสระอือ ตรงนี้ ส่วนตัวผมอยากให้รัฐบาลกล้าหาญพอที่จะประกาศขึ้น VAT ปีละ 1% จนถึง 10% ตามเป้าหมาย อยากให้เริ่มปรับปี 2010 2011 และ 2012 เลยครับ  ส่วนภาษีเงินได้ก็ให้ปรับลดลงจาก 30% เป็น 25-20 และ 15% ไปพร้อมๆกัน ( ขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้นด้วย ) ผมก็ไม่ได้เห็นต่างมากครับ แต่ ที่ต่างตรงที่ ก่อนหน้านี้ ผมได้แสดง ความเห็นไปแล้วว่า รัฐ ยังไม่ควรเพิ่มภาษีในตอนนี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติม กันเกินไป จาก ภาวะ เศรฐกิจ อย่างนี้ (รัฐ อย่ายึดว่า ก่อนนี้ เราใช้น้ำมันแพง กว่านี้ ) ส่วนเรื่อง การส่งออก ผมไม่ได้บอกว่า การไม่เก็บภาษี หมายถึง การช่วยการส่งออกนะครับ แต่ผมหมายถึง ไม่เพิ่ม ต้นทุนให้กับผู้ส่งออก ครับ ไม่ใช่ เศรษฐกิจ ตกต่ำส่งออกได้น้อยลง แต่ ต้นทุนการผลิตกลับสูง ขึ้นอีก ผมเลยบอกว่า มัน จะซ้ำเติมกันเกินไป ควรเพิ่มภาษี เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมต่างหาก ส่วนเรื่อง ร้านตัดผม ผมก็คิดแล้วว่า คุณ ต้องยกเรื่อง การ บริหารงาน เข้ามาเกี่ยว ผมจึง พยายาม สื่อว่า เป็น ร้าน สระไดร์ มากกว่า ซึ่ง ไม่ต้อง เก่งมาก เป็นร้าน เล็กๆ แค่ ไดร์ ผมตรง และแห้งได้ก็พอ ผมได้คลุกคลี กับ คนที่ทำร้านอย่างนี้พอควร จึงยกตัวอย่างมา เล่าให้ฟังเฉยๆ นะครับ ลูกจ้าง เริ่ม เบื่อ กับการทำงานซ้ำซาก ได้เงินเดือนประจำ เริ่ม ขี้เกียจ ตื่นสายขึ้น เปิดร้าน ช้าขึ้น ปิดร้านเร็วขึ้น อ้าง ไม่มีคน จะเปิดทำไม ใน 3 เดือนแรก มีรายได้เข้าร้าน 3 หมื่น อัพ (ทำงาน 26 วัน เฉลี่ย แค่วัน ละ 12 คน สระไดร์ อย่างเดียว) ยิ่งทำกำไรยิ่งหาย เพราะความขี้เกียจ นั่งกินเงินเดือน ผมจึง เปรียบกับรัฐวิสาหกิจ ที่ทำงาน ไม่ค่อยต่าง จากเดิม ไปวันๆ ต่อให้เบื่อแค่ไหน ก็ทน เพราะ สวัสดิการ ดี เงินเดือนดี (มั่นคงแล้ว ว่างั้นเถอะ) มันจึงเป็นช่องทางให้คนหากิน กับ รัฐ แต่ถ้ารัฐ เข้าไปเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ในเอกชน จะกลับกัน ตรงที่ รัฐ จะได้หากิน กับ บริษัท จริงๆ แล้ว ผมก็คิดเหมือนคุณว่า ไฟฟ้า ปะปา และ พลังงาน ควรเป็นของรัฐ 100% แต่ ถ้า ระบบการทำงานเป็นอย่างนี้ ผมว่า เปลี่ยนดีกว่า ให้รัฐ ถือหุ้นใหญ่ ออกกฏหมาย บังคับ ไม่ให้ เอกชน เอาเปรียบได้ ถ้าไฟฟ้า เปลี่ยนไปแล้ว เราคงเห็น ว่าประเทศเรามีโรงไฟฟ้าทันสมัยในอาเซียน ส่งไฟฟ้าขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน (ตอนนี้ เอกชนก็ส่งขายให้ลาวอยู่ครับ แต่ตามกฏหมาย ต้องส่งให้ รัฐก่อนกี่ % จำไม่ได้ ที่เหลือค่อยขายได้) ถ้าการรถไฟ ไม่เป็นของรัฐอยู่ (เป็นของรัฐก็ได้ แต่เปลี่ยนการจัดการใหม่หมด ไม่ใช่นั่งกินนอนกิน) เราคงเห็น รถไฟฟ้า ความเร็วสูง ไปนานแล้ว (ถ้าจำไม่ผิดเรามีรถไฟ ก่อนญี่ปุ่นด้วยซ้ำ) เรื่อง ปตท คุณ บอกว่า กำไร เข้า ผู้ถือหุ้น รัฐก็เป็นผู้ถือหุ้นนะครับ แล้วจะบอกว่ารัฐไม่ได้ ก็ไม่ถูก ตอนนี้ จะซื้อกลับ ต้องใช้เงินมากกว่าเดิม เยอะ ไม่แปลกครับ ช่วงที่ผ่านมา ปตท. ก็ลงทุนไปเยอะ จะไม่ให้เขาได้อะไรเลยก็ไม่ใช่  (ก็มูลค่าทรัพย์สินมันเพิ่มขึ้น ตามความสามารถของบริษัท ถ้าตอนเป็นของรัฐมัน เจริญขนาดนี้ ก็ต้องขายได้แพงอย่างนี้ แต่พอเป็นของเอกชน ทำขาดทุนติดต่อกัน ตอนรัฐซื้อกลับ ก็จะได้ราคาถูกกว่าตอนขายแน่นอนครับ) ในอีกทางหนึ่ง การเข้าตลาดหุ้น คือการระดมทุน เพื่อพัฒนาบริษัทครับ บริษัท ไปเอาเงินจากผู้ถือหุ้นมาใช้ แล้ว จะไม่ต้องตอบแทนเลยก็ไม่ได้ จริงไหมครับ คงไม่มีใคร เอาเงินมาให้ใช้ฟรี โดยไม่หวังผลตอบแทน (แต่ ปตท. ทำกำไรเยอะ ผู้ถือหุ้น ก็ได้เยอะ มันเลยดูว่า ถ้าเป็นของรัฐ น่าจะดีกว่า เงินเข้ารัฐเต็มๆ แต่ในทางกลับกัน รัฐเคยเป็นเจ้าของ ใช้เงินไปเยอะ หายเข้ากลีบเม:-)เฉพาะ พวกเล่นการเมือง ผมว่า มันเลวร้ายกว่านะ) แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 11:25:19 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 11:24:31 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 10:04:52 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 10:02:29 จากคุณ : gotthepower - [ 18 ก.พ. 52 09:53:56 A:192.168.0.17 X:203.188.62.68 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ต่อเรื่อง ต้นทุน การใช้น้ำมัน ต่อหัวของ เกษตกร ผมไม่เถียงหรอกว่า การใช้น้ำมันใน กทม. เยอะกว่า แต่อยากให้เห็นถึง รายได้ของเกษตรกร ที่เกี่ยวของกับน้ำมัน ผมจะเล่าประสบการณ์ การคลุคลี กับเกษตรกรให้ฟังครับ เผื่อจะได้อีกแง่มุมหนึ่ง เริ่มจาก ราคา ปุ๋ย นะครับ มันอาจไม่ขึ้นตรงกับ ราคาน้ำมันอย่างเป็นนัยยะ แต่ ตอนที่ราคาน้ำมันแพง ทำให้ต้นทุนทำปุ๋ยแพง แล้วส่งผลต่อราคาขายในประเทศ ตอนน้ำมัน 40 บาท ราคาปุ๋ย กระสอบละ 1300-1400 บาท ตอนราคาน้ำมัน 15-18 บาท ราคาปุ๋ย อยู่ที่ 650-750 บาท ตอนนี้ ไม่ทราบครับ จะเห็นว่า ขึ้นลง เป็น % ที่ใกล้เคียงกันมาก (อันนี้ ไม่รู้มีปัจจัยไรบ้าง เอาราคาที่สะท้อนออกมาครับ)  เมื่อก่อนรัฐเก็บ ภาษี สัพสามิตร ที่ 3 บาทมั้งครับ แล้วก็เลิกเก็บไป ตอนมารตการ 6 เดือน ตอนนี้ ออกนโยบาย เก็บภาษี สัพสามิตรที่ 5 บาท (ตัวเลข อาจไม่ชัว ฟังข่าวเอา พอได้ยิน เลย ไม่ชอบ) รัฐไม่ช่วย ไม่ว่า ครับ แต่เพิ่มอีก 2 บาทนี่มันซ้ำเติมกันชัดๆ 2 บาท จาก 20 คิดเป็นเปอร์เซ็น = 10% เลยนะครับ นี่ชาวนาต้นทุนเพิ่ม 10 % แล้ว (ถ้าราคาปุ๋ยเป็นไปตามที่ผมพูดมานะ อันนี้บอกตัวเลขไม่ได้จริงๆ) มาดูการใช้น้ำมันต่อหัว (คงหาข้อมูลยากอะครับ จะเล่าตามประสบการณ์เหมือนเดิม จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็พิจารณาเอาครับ) ในช่วงที่ ราคาน้ำมันแพงมาก ผม เป็นหนึ่งคนที่ ผลิตไบโอดีเซล ขายครับ ผมมีลูกค้าคนหนึ่ง เขาสั่งผมทีละ 200 ลิตร ซึ่งผมก็ได้คุยกับเขามากมายหลายเรื่องอะครับ เขา มีนา 15 ไร่ ใช้น้ำมัน ในช่วงที่ ถ่ายเทน้ำ ก็ 200 ลิตร ต่อ 1 สัปดาห์ (คือบางครั้ง ข้าวต้องการน้ำ ขังอะครับ หรือบางครั้งก็ต้องดูดออก อันนี้ผมไม่เก่งครับ) แล้ว ตอนเริ่ม ปลูกอีก 200 ลิตร ต่อ 15 ไร่ ( มีการไถ คราด สูบน้ำ) อันนี้แค่น้ำมันดีเซล นะครับ น้ำมันเบนซินจะใช้ช่วงฉีดยาครับ รวม 3 เดือน ตกประมาณ 100 ลิตรได้ครับ อันนี้ฟังการประเมินคร่าวๆ ผมก็มาตีเป็น ต่อไร่ดู 30 ลิตร ต่อไร่ ต่อ 3 เดือน ไม่แพงเท่าไหร่ 600 บาท ต่อไร่ (แปรผันตามสภาพอากาศ ฝนตกมากน้อย) ซึ่งผลผลิต ถ้าอัดยาเต็มที่ เสียเงินเท่าไหร่ช่างมัน (ตอนใส่ยา ก็ต้องใช้น้ำมันนะครับ) จะได้ผลผลิต 1 ตัน ต่อไร่ (ใครได้ ตัน ต่อไร่ ถือว่า เก่งครับ นี่เป็นข้อเสียของชาวนา แข่งกันทำปริมาณ แต่ไม่เเข่งกันลดต้นทุน) สรุปโดยรวม ค่าต้นทุนน้ำมันอย่างเดียว ประมาณ 4-6% ต่อไร่ครับ แต่ในความเป็นจริง กลับไม่ใช่แค่นี้ครับ อันนี้ อาจเฉพาะ ชุมชนนี้นะครับ คนที่ทำนา จะไม่ได้อยู่ ใกล้ตัว ตำบล (ไม่ติดตลาด หรือติดเมืองครับ) จะไม่มี ปั๊ม น้ำมัน ที่ราคามาตรฐานอยู่ ซึ่งจริงๆ ราคาน้ำมัน ควรต่างจาก กทม. 60 สตางค์ ต่อลิตร ครับ ในตำบล จะมี ปั้มที่คนมีเงินเปิด (มี หัวจ่าย) จะขายแพงกว่า ประมาณ 1.3 บาท ครับ และจะมีพวกที่ ซื้อเป็นถัง 200 ลิตร (ปั้ม หมุน) พวกนี้ จะขายแพงกว่า 2-3 บาท ครับ แล้วแต่ ว่า ราคาน้ำมันตอนนั้น คูณ 5 ลิตร แล้วลงตัวที่เท่าไหร่ ก็ขายเท่านั้น ต้นทุนจริงๆ จึง ประมาณ 6-8% ครับ (คิดจาก ราคาข้าว ที่ขายได้ ตันละ 10000 บาทนะครับ) สิ่งเหล่านี้ ยังไม่รวม ค่า ยา หรือค่า จ้างไถ นะครับ ซึ่งค่าจ้าง ก็จะมีส่วนของค่าน้ำมันด้วย (ไถรอบแรกจะใช้รถใหญ่ใถครับ ส่วนใหญ่ ชาวนาจะมีแค่ รถไถเล็กครับ) สรุปคร่าวๆ นะครับ เพราะข้อมูลฟังมาทั้งนั้น (แต่ราคาของเคยไปซื้อเองครับ) ต้นทุน ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน และ น้ำมันที่ต้องซื้อใช้เอง รวมแล้ว น่าจะประมาณ 12-18% ครับ ส่วนกำไรของ ชาวนา อยู่ประมาณ 5-20% แล้วแต่ผลผลิตครับ  ดังนั้น ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 2 บาท ต้นทุน ชาวนาเพิ่มขึ้น 1.5% ครับ (แต่ราคาข้าวในตลาด อิง ตลาดโลกด้วย จึงไม่ได้เพิ่ม 1.5% ตามครับ) อาจดูว่า มันน้อย แต่เทียบกับ กำไรที่ชาวนาได้ เขาควรได้ กำไร ไร่ละ 1250 บาท (คิด ตันละ 10000 บาท กำไร 12.5%) แต่ชาวนาได้ 1100 บาท (หักต้นทุนที่เพิ่ม 1.5%) มันหายไปเยอะนะครับ นี่แหละครับ เหตุผลที่ ชาวนาทำไมหนี้สินเพิ่มขึ้น ราคาของทุกอย่าง ติดหนี้ก่อนได้ ขายข้าวแล้วค่อยจ่าย ชาวนา เช่าที่ทำนา มากกว่า 10 ไร่ เพื่อหักหนี้แต่ละครั้ง แล้ว เขามีเงินเหลือ เป็น หมื่น ก็อยากจับจ่ายใช้สอย เพราะเห็นเงินก้อน ทุก 3 เดือน แต่สำหรับ คน กทม เงินหมื่นต่อเดือนยังใช้ไม่พอเลย ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นของภาคกลางนะครับ ปลูกข้าวขาว ต่างจากอีสานที่ปลูกข้าวมะลิ ซึ่ง ความต้องการน้ำมันต่างกัน ราคาต้นทุนน้ำมันก็ต่างไปด้วย ข้าวมะลิแพง กำไรต่อ ไร่ ก็สูงกว่า แต่ปลูกได้ปีไม่เกิน ครั้ง ภาคกลาง ชลปทานดีกว่า ปลูกได้ เกือบ 3 หน ต่อปี ไม่มีอะไรมาก แค่เล่าสิ่งที่รู้ให้ฟังว่า รัฐ ควรเข้าไปให้ถึงประชาชนกว่านี้ แล้วจะเข้าใจว่า ตอนนี้ ควรขึ้น ภาษีหรือเปล่า เก็บเท่าเดิมไม่ว่า แต่ยังคิดจะขึ้นอีก มันซ้ำเติมกันเกินไปเปล่า จากคุณ : gotthepower - [ 18 ก.พ. 52 11:11:02 A:203.188.62.68 X: ]