อเมริกาเปลี่ยนไป?
คอลัมน์ เดินหน้าชน
โดย จุฬาลักษณ์ ภู่เกิด
ระยะนี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากมหาอำนาจใหญ่อย่างอเมริกา ที่มีต่อ (อดีต) มหามิตรอย่างประเทศไทย
โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก้าวขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จังหวะเดียวกับที่ "โอบามาร์ค" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รั้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ปรากฏแรก ที่นำไปสู่คำถามว่า สหรัฐอเมริกามีมุมคิดหรือมุมมองต่อประเทศไทยเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร ก็คือการที่ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเริ่มเดินสายเยี่ยมเยียน 4 ประเทศในเอเชียเป็นอันดับแรกหลังได้รับแต่งตั้ง โดย 4 ประเทศนั้นคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ที่น่าสนใจคือในกลุ่มอาเซียน แทนที่จะเป็นไทยในฐานะที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานอาเซียน ทั้งเลขาธิการอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็เป็นคนไทย แต่เธอเลือกเยือนอินโดนีเซียแทน ซึ่งถูกมองว่า ต้องการแสดงออกถึงความผูกพันเชิงสัญลักษณ์แทนโอบามา เนื่องจากอินโดนีเซีย คือบ้านเก่าในวัยเด็กของประธานาธิบดีอเมริกาคนล่าสุด ขณะเดียวกัน ก็มีมุมวิเคราะห์ว่า อาจเป็นเพราะอินโดนีเซียมีความร่วมมือที่ดีขึ้นในช่วงหลัง โดยเฉพาะการพัฒนาประชาธิปไตย ขณะที่ไทยยังเต็มไปด้วยเครื่อง หมายคำถาม
อย่างไรก็ตาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้าน ความมั่นคง ก็ออกปิดประเด็นว่า ปลายเดือนเมษายนนี้ นาง ฮิลลารีมีกำหนดมาเยือนไทยแน่ เพราะฉะนั้น เลิกพูดกันได้แล้ว
ประเด็นต่อมา ที่ทำให้เครียดกันถ้วนหน้า ก็คือจู่ๆ มีรายงานข่าวว่า นายอีริก โฮลเดอร์ อัยการสหรัฐ ได้ยอมรับระหว่างให้ การในศาลกรุงนิวยอร์กเป็นครั้งแรก ว่า มี "คุกลับ" ในไทย ซึ่ง ได้มีการนำผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายมาสอบปากคำด้วยวิธีทรมาน ทั้งยังรับว่าได้มีการทำลายเทปลับการทรมานนักโทษจำนวน 92 ม้วน ที่เก็บไว้ในไทย ตามคำสั่งของ นายโจเซ่ โรดิเกวซ ผู้อำนวยการซีไอเอในขณะนั้นด้วย
ข่าวดังกล่าวทำให้ผู้เกี่ยวข้องตั้งหลักกันแทบไม่ทัน ต่างก็ออกตัวไม่รู้ไม่เห็น นายกฯอภิสิทธิ์นั้น เลือกที่จะเดินหนีเมื่อถูกนักข่าวถาม ขณะที่ ผบ.ทบ. ถึงขั้นเอาตำแหน่งเป็นประกัน พร้อมยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ว่า ไม่มีคุกลับอเมริกันในไทยแน่ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศก็รีบออกแถลงการณ์มาการันตีเช่นกันว่า ไทยไม่เคยมีคุกลับ
ร้อนถึงทูตสหรัฐประจำประเทศไทยต้องรีบเข้าพบนายสุเทพ แม้นายสุเทพยืนกรานว่า ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ แต่ก็ออกตัวว่าในช่วงเวลาที่อัยการสหรัฐอ้างอิง ตนไม่ได้เป็นรัฐบาล
เป็นจังหวะเดียวกับที่ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยพา คณะนักธุรกิจระดับสูงของสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียนเข้าพบ นายอภิสิทธิ์เพื่อสอบถามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนของไทย
ระหว่างการหารือ มีนักธุรกิจสอบถามเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในไทย รวมถึงการประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือซีแอล หวังหยั่งเชิงต่อรอง ซึ่งปรากฏว่า ถูกนายอภิสิทธิ์ซึ่งหนุนการประกาศซีแอลยามาตั้งแต่ต้นรุกกลับทำนองว่า เรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น ทุกรัฐบาลพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด ตั้งแต่สหรัฐเอาไทยไปอยู่ในกลุ่มประเทศ คู่ค้าที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ดังนั้น นักธุรกิจสหรัฐควร ส่งสัญญาณให้รัฐบาลดูแลไทยไม่ให้เสียหายไปกว่านี้ ในการประกาศสถานะของประเทศคู่ค้ารอบใหม่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม มิฉะนั้น ไทยอาจขยายกรอบการใช้ซีแอลยามากขึ้นเพื่อให้คนจนมีสิทธิเข้าถึงยา ตามแนวทางของ "มูลนิธิคลินตัน"
หากเป็นในสภาวะปกติ จุดยืนและท่าทีแข็งกร้าวดังกล่าวอาจถือเป็นการโชว์ฟอร์มที่น่าชื่นชม แต่ในสถานการณ์ที่แวด ล้อมด้วยความเคลื่อนไหวข้างต้น จึงยังเป็นคำถามว่า สหรัฐคิดอย่างไรกับไทย และการที่นายอภิสิทธิ์ใช้ท่าทีเช่นนี้ จะมีผลบวกหรือลบอย่างไรต่อประเทศ
ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ไม่นานพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยถูกตอกกลับหน้าหงายมาแล้วฐานให้ปล่อยโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคออกมาปูดข่าวว่าสหรัฐห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศ รวมทั้ง มีการตั้งข้อสังเกต กรณีทูตสหรัฐเลือกที่จะเข้าพบหารือกับ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯและประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นลำดับแรก แทนที่จะเป็นนายอภิสิทธิ์
เป็นประเด็นคาใจที่เชื่อว่า นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล หนึ่งในผู้ชำนาญการด้านอเมริกันศึกษาคนหนึ่ง จะรู้ดีว่าคำตอบเป็นเช่นไร
รวมๆ แล้วคล้ายกับว่า ความสัมพันธ์อันมีมาอย่างลึกซึ้งยาว นานระหว่างไทยกับสหรัฐ ณ วันนี้เริ่มมีนัยที่เปลี่ยนไปในทางที่ไม่เป็นปกตินัก ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร จึงชวนให้ติดตามอย่างยิ่ง
ที่มา : นสพ. มติชน วันที่ 07 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11319 (หน้า 9)
-----------------------------------------------------------------------------------------------
เอามาให้เพื่อนห้องราชดำเนินอ่านกันนะจ๊ะ ไม่รู้ว่าได้อ่านบ้างหรือยัง
จากคุณ :
hayo 
- [
7 มี.ค. 52 20:28:21
A:58.9.83.221 X:
]
ท่าทีของสหรัฐอเมริกาต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์...มหามิตรที่เปลี่ยนไป
