Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    **ทำไมจึงจัดการกับตัวป่วนประเทศตัวนี้ไม่ได้ซักที**

    กว่า 3 ปีมาแล้ว ที่ประเทศไทยปล่อยให้เงาดำของทักษิณปกคลุมประเทศส่วนหนึ่งโดยไม่มีใครสามารถลบเงาทะมึนนี้ออกไปได้ (ซักที)

    เงาดำนี้ไม่เหมือนราหูอมจันทร์ ไม่เหมือนสุริยุปราคา ที่แค่ทาบแล้วผ่านออกไป แต่มันยึดเกาะอย่างแนบแน่นเหมือนปลิงดูดเลือดและยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยออก

    ทุกวันนี้แม้เงาดำนี้จะมิได้ทำร้ายประเทศอย่างเป็นกิจลักษณะ เพราะเป็นแค่เงา มิได้กอบโกยอะไรออกไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เงาดำนี้ ทำให้ประเทศชาติดูมัวหมอง ไม่แจ่มใสในสายตาของประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในระบอบประชาธิปไตยอื่นๆ

    เรามาดูกันซิว่า ทำไมจึงกำจัดทักษิณไม่ได้ (ซักที) อะไรคืออุปสรรคสำคัญ..

    [color=red]ประการแรก..การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังของผู้มีอำนาจหน้าที่[/color]

    แม้เราจะมีตุลาการภิวัฒน์  แต่ระบบยุติธรรมมีขั้นตอนในการรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะส่งถึงมือศาล  ขั้นตอนรายทางเหล่านี้เองที่ทำให้กฎหมายไม่อาจศักดิ์สิทธิ์ได้ดังที่ควรจะเป็น

    หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมก่อนที่จะถึงขบวนการพิพากษาของศาล ได้แก่..ตำรวจ..อัยการ..ปปช...ดีเอสไอ..ปปง..เหล่านี้ บกพร่องต่อหน้าที่สำคัญมาโดยตลอด หาได้ยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันไม่  ทุกองค์กรที่กล่าวมาหาได้มีอิสระในการทำหน้าที่ และไม่ได้มีศักดิ์ศรีสมกับเป็นผู้รักษากฎหมาย

    จริงๆ แล้ว ทุกเรื่องทุกราวในประเทศนี้ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง ถ้าผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายยึดมั่นในความสุจริตในการทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลแล้ว ประเทศชาติจะไม่มีวันแตกออกเป็นกลุ่มเป็นก๊วนเป็นก้อนอย่างนี้หรอก
    คดีสำคัญๆ ทั้ง..ฉ้อโกงประเทศชาติ  ..อุ้มฆ่า ..หมิ่นพระบรมฯ ..7 ตค.มหาโหด หรือแม้แต่ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่จบโดยง่ายเพราะผู้รักษากฎหมายมิได้ทำหน้าที่รักษากฎหมายอย่างจริงจัง ปล่อยปละละเลย และปกป้องตนเองและนาย (จ้าง) มากกว่าความยุติธรรม

    ผมกำลังจะบอกว่า ที่ผ่านมา ..บ้านเราปกครองโดยมีรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับหลวง และฉบับทักษิณ  เขียนเหมือนกันเด๊ะแต่ตีความต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังเท้า  ผู้ที่ต้องรับบทบาทหนักเลยเป็น ศาลรัฐธรรมนูญ  ซึ่งคำตัดสินออกมาว่าอย่างไร ก็มีฝ่ายหนึ่งเคารพ และอีกฝ่ายคัดค้านเสมอ

    ศาลรัฐธรรมนูญถูกกล่าวหาว่า ไม่ชอบด้วยที่มา เป็นเพราะเกิดในยุคคมช.เท่านั้นเอง  แต่ที่มาจริงๆ แล้ว..ชอบด้วยกฎหมาย และขบวนการคัดสรรก็มาอย่างถูกต้อง  คมช.มิได้เป็นผู้คัดเลือกนะครับ (ให้กลับไปดูขบวนการได้มาของคณะบคคลเหล่านี้ได้)

    แต่ศาลรธน.ยุคที่ยอมรับว่ามีที่มาถูกต้อง ทำให้ทักษิณรอดพ้นคดีซุกหุ้น กลับมีตุลาการในคณะศาลรธน.เอง ยอมรับว่า มีการวิ่งเต้นจริง และมีการเสนอผลประโยชน์แลกกับคำวินิจฉัยจริง ทำให้เกิดคำพิพากษาสีเทา และคำแถลงสะท้านบัลลังก์ศาลของนายประเสิรฐ นาสกุล ปธ.ศาลรัฐธรรมนูญในยุคนั้น

    ผมกำลังจะบอกว่า [color=red]ที่มาของตุลาการ หาได้สำคัญเท่ากับ เนื้อหาที่วินิจฉัยไม่[/color]

    สิ่งที่กลุ่มคนทั้งสองในสังคมไทยถกเถียงกันไม่ยุติ หาใช่ที่มาของศาล หรือ องค์กรอิสระอื่นๆ ที่เกิดในยุค คมช.ไม่ แต่เป็นเพราะ ตัดสินออกมาไม่เข้าข้างฝ่ายของตัวเองต่างหาก ถ้าวันนั้น ศาลรธน.ตัดสินให้พรรคไทยรักไทยพ้นข้อกล่าวหา และ ปชป.ถูกยุบพรรค เรื่องที่มาก็จะไม่มีใครพูดถึงหรอก

    พูดง่ายๆ ว่า ที่มาให้มาจากเด็ก ป.4 แต่งตั้งมา แต่ถ้าพิพากษาได้ถูกใจเป็นใช้ได้

    แม้แต่ในหน่วยงานเดียวกัน ก็ยังมีคนยึดถือกฎหมายฉบับหลวง และฉบับทักษิณในหน่วยงานนั้นเลย แล้วจะไม่เป็นอุปสรรคในการจัดการกับทักษิณได้อย่างไร

    [color=red]ประการที่สอง..คมช.และรัฐบาลฤาษีขโมยเวลาของประเทศชาติ[/color]

    การปฏิวัติโดยคณะนายทหารเมื่อวันที่ 19 กันยา ถือเป็นความผิดมหันต์ต่อระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย  แต่แทนที่จะไถ่โทษให้ตัวเองได้ กลับทำให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความผิดนั้น..ตลอดกาลนาน

    เนื่องจากไปตั้งรัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่าที่มี พลเอกสุรยุทธ์ จุลลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีมาทำหน้าที่
    พลเอกสุรยุทธ์เป็นใคร  ภาระหน้าที่สุดท้ายก่อนมารับตำแหน่งเป็นองคมนตรี  ซึ่งไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นอย่างยิ่ง และในสังคมไทยก็ยังมีผู้ที่เป็นกลาง และเหมาะสมกว่าอีกมากมาย

    การเลือกพลเอกสุรยุทธ์นอกจากจะทำให้เกิดความมัวหมองต่อราชสำนักแล้ว ตัวท่านเองยังไม่อาจทำหน้าที่ได้เต็มกำลังความสามารถอีกด้วย เนื่องเพราะเกรงกระทบต่อเบื้องพระยุคลบาทและผู้แทนพระองค์ท่านอื่นๆ
    การจัดการปัญหาการเมืองสองฝ่าย ทำอย่างเด็ดขาดไม่ได้ เป็นที่ครหาแน่นอน จึงใช้วิธีโยนภาระออกให้พ้นตัวและพ้นสถาบัน ปล่อยให้คารังคาซัง ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ (ซึ่งผิดเป้าไปหน่อย)

    ความจริงแล้ว..ช่วงเวลาสำคัญที่สุดของประเทศชาติ คือ ช่วงเวลาหลังจากการปฏิวัตินั่นแหละ  เพราะตลอด 1 ปี หลังจากนั้น เป็นช่วงเวลาของการ “เฝ้าคอย” ของผู้คนทุกหมู่เหล่า ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ว่า ตกลงจะเอายังไงดีกับประเทศแห่งนี้ และแน่นอน จะเอายังไงกับ ทักษิณ ที่เป็นปฐมเหตุให้มีการยึดอำนาจ

    รัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ปล่อยให้ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของประเทศชาติผ่านพ้นไป โดยได้เพียงรัฐธรรมนูญฉบับที่มีข้อถกเถียงกันมากที่สุดฉบับหนึ่งออกมา กับข้อกล่าวหาที่ไม่มีข้อยุติต่อทักษิณและสาวกโดยคณะทำงานที่คมช.แต่งตั้งขึ้นล้วนๆ (คตส.)

    ชนาดแต่งตั้งขึ้นกับมือล้วนๆ ยังไม่สามารถทำให้ยุติได้ภายในสมัยของคมช. ก็ถือว่า [color=red][size=14pt]ล้มเหลวแต่ไม่โดยสิ้นเชิงเท่านั้นเอง[/size][/color]

    คมช.ลืมไปว่า ภาพลักษณ์ที่พยายามสร้างให้เกิดความปรองดองของคนในชาติด้วยวิธีการจัดการกับคนผิดในระบบที่สากลยอมรับนั้น  ..ไม่มีทางเป็นไปได้.. ไม่ว่าทางทฤษฎี หรือ ปฏิบัติ

    การที่คมช.เผาบ้านตัวเองแล้วเอาสี ไอซีไอ มาทาทับนอกให้ดูสดใส สวยงามนั้น ใช้ไม่ได้หรอก ยังไงๆ คนภายนอกก็จดจำได้เสมอว่า พวกท่านเป็นมือเผาวันยังค่ำ

    เพราะฉะนั้น การเป็นเผด็จการทหารจะมาสร้างภาพผู้นำประชาธิปไตยจึงเป็นไปไม่ได้

    สิ่งที่ต้องจัดการในขณะที่ประเทศปกครองด้วยอำนาจของคมช. คือ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ทักษิณ คือผู้กระทำความผิดคิดร้ายต่อประเทศชาติ ด้วยการให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าเต็มสูบ ให้ทั้งสองฝ่ายเอาข้อมูลมาหักล้างกันต่อหน้าผู้พิพากษาให้แล้วเสร็จภายใต้ร่มเงาของคมช.

    พูดง่ายๆ ว่า หากไม่แล้วเสร็จ คมช.ก็ไม่ควรปล่อยวางอำนาจในมือของตัวเองออกไป

    การประกาศยุติบทบาทของคมช.ตามกำหนดเวลา 1 ปี เท่ากับตั้งต้นเอาบ่วงมารัดคอตนเองแล้วค่อยๆ หย่อนตัวเองลงจากเก้าอี้ที่ยืนอยู่แท้ๆ

    พอระบอบทักษิณรู้ว่า คมช.มีวาระในการหลุดจากขั้วอำนาจและรัฐบาลสุรยุทธ์เป็นแค่เสือกระดาษ ก็ทำให้ข้าราชการบางส่วนเริ่มไม่แน่ใจว่า หากให้ความร่วมมือแล้ว อนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไรหากผู้นำทหารเหล่านั้นหมดอำนาจไป

    และการตั้งกำหนดเวลาระเบิดตัวเองของคมช.นี่เอง ทำให้ทักษิณเล่นเกมยื้อเวลา เลื่อนการพิจารณาคดีทุกคดีให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ผลก็เป็นอย่างที่ทราบๆ กันอยู่ คือ มีคดีค้างอยู่ในการพิจารณาทุกคดีแม้คมช.สิ้นวาระไปแล้ว บางคดี หมดยุคคมช.แล้วยังสอบพยานไม่หมดด้วยซ้ำไป และหลายคดีต้องตัดทิ้งเพราะหมดเวลาเสียก่อน

    ประการที่สาม..ปล่อยให้เว็บหมิ่นสถาบันและกลุ่มคนเสื้อแดงเกิดและเติบโต

    ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า การฟูมฟักตัวของขบวนการล้มสถาบันและเสื้อแดงพิทักษ์ทักษิณ ก่อตั้งและขยายตัวสูงสุดในช่วงที่คมช.เรืองอำนาจ

    ทุกวันนี้เพิ่งจะตื่นตัวในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ให้ตำรวจไล่ล่าสั่งดำเนินการเฉียบขาด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นสองรัฐบาล ทำไมตำรวจเงียบๆ ล่ะ มันน่าแปลกที่ไม่ทำตั้งแต่พวกเขายังตั้งไข่ แต่มาทำเอาตอนพวกเขาตั้งตัว

    ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ ความไม่เด็ดขาดเองของคมช.และรัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่า ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เหิมเกริม ไม่เกรงกลัวกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว เนื่องจากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างศักดิ์สิทธิ์  

    กรณีของจักรภพ และอาจารย์ใจ อาจไม่ชัดเจนนักเพราะพูดในเชิงวิชาการที่คนทั้งสองเอามาครอบทับวัตถุประสงค์หลัก คือ ต้องการให้เปลี่ยนแปลงรากฐานของระบอบศักดินาในสังคมไทย  แต่กรณี ดา ตอร์ปิโด รุนแรงและชัดเจนมากว่า ต้องการปลุกระดมให้คนเกลียดชังสถาบันหลัก  คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด รุนแรงและชัดเจนยิ่งกว่ากรณีของ อนันต์ เสนาขันธ์  และ วีระ มุสิกพงศ์ ที่ต้องโทษจำคุกรวมกันเสียอีก

    นังดา ตอร์ปิโดจะไม่มีวันเหิมเกริมได้ปานนี้ หากมีการจัดการอย่างเฉียบขาดตั้งแต่สมัย คมช.เรืองอำนาจ

    ทุกวันนี้..ศัตรูของประเทศชาติ หาใช่ระบอบทักษิณอย่างเดียวไม่ ต้องแก้ปัญหาเรื่องความจงรักภักดีของพสกนิกรด้วย  เพราะตอนนี้ ปัญหาทั้งสองถูกผนวกเอาไว้ด้วยกันแล้ว

    จากคุณ : *bonny - [ 9 มี.ค. 52 08:56:58 A:192.168.0.17 X:124.122.144.128 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com