Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เมื่อพวก “ขวาจัด” ทำลาย “ชาติ” สร้าง “หนึ่งประเทศ สองมาตรฐาน” !

    เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ “พวกขวาจัด” อันได้แก่ กลุ่มพันธมิตรและบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งในทางลับและเปิดเผยได้ดำเนินงานทางการเมืองเพื่อ “การเข่นฆ่า” โดยได้นำ “สถาบันหลัก คือ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” มาเป็น “อาวุธ” ทั้งในด้านที่นำมาใช้ “ยกสถานะ” ของพวกตนและเพื่อใช้ “ปลุกระดม” โจมตีทำลายสถานะของคู่ขัดแย้งทางการเมือง นับแต่นั้นมาประเทศไทยก็แทบจะหาความสงบสุขไม่ได้เลยและยังมีแนวโน้มว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนในชาติกลับยิ่งลุกลามบานปลายมากขึ้น


    ในอดีตประเทศไทยเคยได้รับบทเรียนจากการนำ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” มาเป็น “อาวุธทางการเมือง” มาแล้ว อาทิ ในสมัยสงครามเย็นซึ่งพวกขวาจัดได้อาศัยความหวาดกลัวต่อลัทธิคอมมิวนิสต์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างจิตวิทยามวลชนเพื่อกวาดล้างขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย

    ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ได้เกิดการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนด้วย “ความหฤโหด” สืบเนื่องจากมวลชนจำนวนหนึ่งได้ถูกปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิดว่า นักศึกษา ปัญญาชน ตลอดจนประชาชนผู้รักประชาธิปไตย คือ พวกทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์  

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ตุลาวิปโยคก็มิได้ทำให้เกิดความสงบสุข ซ้ำยังกลับทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนยืดเยื้อเรื้อรัง ประชาชนและนักศึกษาจำนวนมากซึ่งหมดทางเลือกได้หันไปจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นยังคงมุ่งเน้นนโยบายการปราบปรามซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินแก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล

    แต่ดูเหมือนวันนี้สังคมไทยมิได้จดจำความผิดพลาดในอดีตและยังไม่ได้ตระหนักว่าการที่พวกขวาจัดชักลากประเทศเข้าสู่ความขัดแย้งโดยการนำ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” มาสนองเป้าหมายทางการเมืองของตนนั้นมิได้ส่งผลดีแต่ประการใดเลยนอกจาก “ความแตกแยก เสียหาย มัวหมอง”



    “ชาติ” เกิดจากความเป็นเทือกเถ้าเหล่ากอเดียวกันหรือเกิดจากความรู้สึกเป็นหมู่เป็นพวก แม้จะมีถิ่นอาศัย มีภาษา มีวัฒนธรรม หรือสถานะทางสังคม แตกต่างกัน ก็มิอาจทำลายความรู้สึกว่าเป็นคนชาติเดียวกัน

    ถามว่าขณะนี้คนไทยยังรู้สึกถึงความเป็นเทือกเถ้าเหล่ากอหรือความรู้สึกเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน อยู่หรือไม่?

    คำตอบก็อย่างที่เห็นกันอยู่ว่าคนไทยได้แบ่งสีแบ่งฝ่ายกันเรียบร้อยแล้ว โดยมีรัฐบาลและกลไกของรัฐ คอยตอกย้ำซ้ำเติมความรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง “พวกมีเส้น กับ พวกไม่มีเส้น” !


    “ปัญหาใหญ่ของชาติ” ในเวลานี้อยู่ที่การบังคับใช้กฏหมายแบบ “เลือกปฏิบัติ”  

    “หนึ่งประเทศแต่มีสองมาตรฐาน” !

    ซึ่งเป็นเรื่อง “ทำลายทั้งหลักการปกครอง ปวงชนชาวไทยสูญสิ้นศรัทธา และความเชื่อมั่นต่อประเทศ ประชาคมโลกไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของไทย”

    สมควรกล่าวว่า “พวกขวาจัด” ซึ่งให้กำเนิด “พวกมีเส้น” และส่งเสริม “พวกมีเส้น” ทำลาย “ชาติ” ก็ว่าได้ !


    ประเด็นสำคัญอีกประการที่สังคมไทยต้องใส่ใจคือไม่มีใครทำนายได้ว่า “พวกไม่มีเส้น” จะอดทนอยู่ภายใต้สภาวะสองมาตรฐานอีกนานเท่าใด? เพราะคงไม่มีประชาชนคนใดที่จะยอมอยู่ใน “ประเทศสองมาตรฐาน” ได้เป็นเวลายาวนาน  

    “พวกไม่มีเส้น” ไม่ต้องมีจำนวนมาก แค่ “ประมาณหนึ่งในสี่” ของประเทศและลุกขึ้นมาไม่ยินยอมอยู่ภายใต้การปกครอง ประเทศนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว โดยจะโทษพวกไม่มีเส้นคงไม่ได้ แต่ต้องโทษผู้ที่ก่อให้เกิด “พวกมีเส้น”


    แต่ดูเหมือน “พวกไม่มีเส้น” จะมิได้มีแค่หนึ่งในสี่ของประเทศ แต่อาจมากถึงครึ่งค่อนประเทศ เพราะประชาชนกลุ่มไม่มีเส้นเป็นกลุ่มที่เคยสนับสนุนรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารเมื่อ ๑๙/๙/๔๙  
     
    การรัฐประหารในครั้งนี้มีความแปลกประหลาดกว่าการรัฐประหารครั้งก่อนๆ เนื่องจากองค์กรและสถาบันต่างๆ เช่น สื่อมวลชน นักวิชาการ ตุลาการ ฯลฯ ซึ่งมีหน้าที่รักษาความเป็นกลางทางการเมือง ความยุติธรรม และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยกลับหันไปให้การสนับสนุน โดยร่วมด้วยช่วยกัน “สังหารหมู่นักการเมืองและลิดรอนสิทธิทางการเมืองของประชาชน” ด้วยการยุบพรรคการเมืองภายใต้วาทกรรมบิดเบือนว่าเป็น “ตุลาการภิวัฒน์”
     
    แม้วันนี้เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายรวมทั้งคนในแวดวงตุลาการที่ต้องการให้ตุลาการกลับเข้ากรมกอง แต่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเท่ากับยิ่งเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมของคนในชาติ  

    แต่ดูเหมือนพวกขวาจัดยังประเมินการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ต่อต้านความไม่เป็นธรรมว่าทำเพื่อนักการเมืองจึงเลือกใช้มาตรการควบคุมสกัดกั้นจับกุมเพื่อให้ยุติการต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งยิ่งจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันและนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด

    เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในครั้งนี้ดำเนินติดต่อกันเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี ความขัดแย้งแผ่ขยายไปทั่วประเทศและกระทบทุกชนชั้น ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจ(ซึ่งเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและการยึดทำเนียบการปิดสนามบินของพวกขวาจัด)กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นและกระทบประชาชนในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมากว่าหากเกิดเหตุการณ์ “น้ำผึ้งหยดเดียว” เมืองไทยอาจถึงคราว “สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน”

    จากคุณ : จำปีเขียว - [ 13 มี.ค. 52 19:27:22 A:125.25.87.88 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com