เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ พวกขวาจัด อันได้แก่ กลุ่มพันธมิตรและบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งในทางลับและเปิดเผยได้ดำเนินงานทางการเมืองเพื่อ การเข่นฆ่า โดยได้นำ สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาเป็น อาวุธ ทั้งในด้านที่นำมาใช้ ยกสถานะ ของพวกตนและเพื่อใช้ ปลุกระดม โจมตีทำลายสถานะของคู่ขัดแย้งทางการเมือง นับแต่นั้นมาประเทศไทยก็แทบจะหาความสงบสุขไม่ได้เลยและยังมีแนวโน้มว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนในชาติกลับยิ่งลุกลามบานปลายมากขึ้น
ในอดีตประเทศไทยเคยได้รับบทเรียนจากการนำ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาเป็น อาวุธทางการเมือง มาแล้ว อาทิ ในสมัยสงครามเย็นซึ่งพวกขวาจัดได้อาศัยความหวาดกลัวต่อลัทธิคอมมิวนิสต์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างจิตวิทยามวลชนเพื่อกวาดล้างขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ได้เกิดการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนด้วย ความหฤโหด สืบเนื่องจากมวลชนจำนวนหนึ่งได้ถูกปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิดว่า นักศึกษา ปัญญาชน ตลอดจนประชาชนผู้รักประชาธิปไตย คือ พวกทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ตุลาวิปโยคก็มิได้ทำให้เกิดความสงบสุข ซ้ำยังกลับทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนยืดเยื้อเรื้อรัง ประชาชนและนักศึกษาจำนวนมากซึ่งหมดทางเลือกได้หันไปจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นยังคงมุ่งเน้นนโยบายการปราบปรามซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินแก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล
แต่ดูเหมือนวันนี้สังคมไทยมิได้จดจำความผิดพลาดในอดีตและยังไม่ได้ตระหนักว่าการที่พวกขวาจัดชักลากประเทศเข้าสู่ความขัดแย้งโดยการนำ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาสนองเป้าหมายทางการเมืองของตนนั้นมิได้ส่งผลดีแต่ประการใดเลยนอกจาก ความแตกแยก เสียหาย มัวหมอง
ชาติ เกิดจากความเป็นเทือกเถ้าเหล่ากอเดียวกันหรือเกิดจากความรู้สึกเป็นหมู่เป็นพวก แม้จะมีถิ่นอาศัย มีภาษา มีวัฒนธรรม หรือสถานะทางสังคม แตกต่างกัน ก็มิอาจทำลายความรู้สึกว่าเป็นคนชาติเดียวกัน
ถามว่าขณะนี้คนไทยยังรู้สึกถึงความเป็นเทือกเถ้าเหล่ากอหรือความรู้สึกเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน อยู่หรือไม่?
คำตอบก็อย่างที่เห็นกันอยู่ว่าคนไทยได้แบ่งสีแบ่งฝ่ายกันเรียบร้อยแล้ว โดยมีรัฐบาลและกลไกของรัฐ คอยตอกย้ำซ้ำเติมความรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง พวกมีเส้น กับ พวกไม่มีเส้น !
ปัญหาใหญ่ของชาติ ในเวลานี้อยู่ที่การบังคับใช้กฏหมายแบบ เลือกปฏิบัติ
หนึ่งประเทศแต่มีสองมาตรฐาน !
ซึ่งเป็นเรื่อง ทำลายทั้งหลักการปกครอง ปวงชนชาวไทยสูญสิ้นศรัทธา และความเชื่อมั่นต่อประเทศ ประชาคมโลกไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของไทย
สมควรกล่าวว่า พวกขวาจัด ซึ่งให้กำเนิด พวกมีเส้น และส่งเสริม พวกมีเส้น ทำลาย ชาติ ก็ว่าได้ !
ประเด็นสำคัญอีกประการที่สังคมไทยต้องใส่ใจคือไม่มีใครทำนายได้ว่า พวกไม่มีเส้น จะอดทนอยู่ภายใต้สภาวะสองมาตรฐานอีกนานเท่าใด? เพราะคงไม่มีประชาชนคนใดที่จะยอมอยู่ใน ประเทศสองมาตรฐาน ได้เป็นเวลายาวนาน
พวกไม่มีเส้น ไม่ต้องมีจำนวนมาก แค่ ประมาณหนึ่งในสี่ ของประเทศและลุกขึ้นมาไม่ยินยอมอยู่ภายใต้การปกครอง ประเทศนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว โดยจะโทษพวกไม่มีเส้นคงไม่ได้ แต่ต้องโทษผู้ที่ก่อให้เกิด พวกมีเส้น
แต่ดูเหมือน พวกไม่มีเส้น จะมิได้มีแค่หนึ่งในสี่ของประเทศ แต่อาจมากถึงครึ่งค่อนประเทศ เพราะประชาชนกลุ่มไม่มีเส้นเป็นกลุ่มที่เคยสนับสนุนรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารเมื่อ ๑๙/๙/๔๙
การรัฐประหารในครั้งนี้มีความแปลกประหลาดกว่าการรัฐประหารครั้งก่อนๆ เนื่องจากองค์กรและสถาบันต่างๆ เช่น สื่อมวลชน นักวิชาการ ตุลาการ ฯลฯ ซึ่งมีหน้าที่รักษาความเป็นกลางทางการเมือง ความยุติธรรม และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยกลับหันไปให้การสนับสนุน โดยร่วมด้วยช่วยกัน สังหารหมู่นักการเมืองและลิดรอนสิทธิทางการเมืองของประชาชน ด้วยการยุบพรรคการเมืองภายใต้วาทกรรมบิดเบือนว่าเป็น ตุลาการภิวัฒน์
แม้วันนี้เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายรวมทั้งคนในแวดวงตุลาการที่ต้องการให้ตุลาการกลับเข้ากรมกอง แต่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเท่ากับยิ่งเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมของคนในชาติ
แต่ดูเหมือนพวกขวาจัดยังประเมินการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ต่อต้านความไม่เป็นธรรมว่าทำเพื่อนักการเมืองจึงเลือกใช้มาตรการควบคุมสกัดกั้นจับกุมเพื่อให้ยุติการต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งยิ่งจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันและนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด
เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในครั้งนี้ดำเนินติดต่อกันเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี ความขัดแย้งแผ่ขยายไปทั่วประเทศและกระทบทุกชนชั้น ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจ(ซึ่งเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและการยึดทำเนียบการปิดสนามบินของพวกขวาจัด)กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นและกระทบประชาชนในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมากว่าหากเกิดเหตุการณ์ น้ำผึ้งหยดเดียว เมืองไทยอาจถึงคราว สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
จากคุณ :
จำปีเขียว
- [
13 มี.ค. 52 19:27:22
A:125.25.87.88 X:
]