Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เกลียดผมไม่เป็นไร แต่อย่าเกลียดประเทศไทย

    เกลียดผมไม่เป็นไร แต่อย่าเกลียดประเทศไทย



    ฝากมาให้อ่านครับ

    พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โอกาสบรรยายพิเศษแก่นักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า รุ่นที่ 5 ในหัวข้อเรื่อง “ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยในกระแสโลกาภิวัตน์” ณ สถาบันพระปกเกล้า อาคารศูนย์พัฒนา ชั้น 5 สถาบันข้าราชการพลเรือน  จังหวัดนนทบุรี วันพุธที่  9  มกราคม  2545


                   วันนี้ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาบรรยายในหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้ารุ่นนี้ เกี่ยวกับเรื่องยุทธศาตร์พัฒนาประเทศไทยในกระแสโลกาภิวัตน์  ซึ่งผมเคยมาบรรยายเมื่อก่อนเป็นห้องเล็กๆ แต่วันนี้นักศึกษามากขึ้นหรือว่าอาจจะเป็นเพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรีก็เลยทำให้มีคนมาฟังกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอดีตรองนายกฯ ก็มานั่งฟัง ผมคงจะบรรยายเชิงเล่าเพื่อที่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในแวดวงการเมืองส่วนใหญ่ในแวดวงธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ จะได้ลองเอาไปคิดดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกกับในบ้านเราความเห็น ความคิดของผมตรงกับท่านหรือไม่ ท่านอาจจะถามก็ได้หลังจากที่ผมพูดแล้ว ผมจะลองพูดสัก 40 นาทีโดยประมาณแล้วก็ให้ท่านถาม เว้นแต่ว่าพูดไปพูดมาเกิดยาวก็แล้วแต่ที่ทางสถาบันจะให้เวลาในการถามสักแค่ไหน ผมสามารถนั่งให้ท่านถามได้สักครึ่งชั่วโมงหรือแล้วแต่เวลาของสถาบันวันนี้ก่อนที่เราจะพูดเรื่องหัวข้อ

                   ผมอยากจะบอกความหมายของโลกาภิวัตน์ ในความรู้สึกของคนว่ารู้สึกอย่างไร ความจริงก็คือการที่โลกเราเป็นโลกที่ไร้พรมแดนขึ้นมาในโลกยุคใหม่เป็นโลกที่เขาเรียกว่า Borderless World (โลกไร้พรมแดน) ในข้างหน้านี่ ท่านมองจินตนาการเห็นเลยว่า เกิดการที่เขาเรียกว่า Free Flow คือการไหลเวียนของพวกสินค้า พวกเงิน คน ยังคล่องตัวขึ้น ในอนาคตข้างหน้ากรมศุลกากรนี่แทบจะเก็บภาษีไม่ได้เลย เพราะเราพูดกันในเรื่อง Free Trade (การค้าเสรี) เพราะฉะนั้นถามว่าแต่ละประเทศเขาจะไปเก็บภาษีตรงไหนก็เก็บภาษีในประเทศ ภาษีบริโภค ภาษีสรรพสามิต ภาษีสรรพากร corporate tax, Personal incom tax แล้วก็รายได้ที่เป็น Currency (เงินตรา) ต่างประเทศต่อไปจะเริ่ม Balance (สมดุลย์) กันระหว่างการส่งออกกับการนำเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสมดุลย์กันรายได้ที่จะเป็น Foreign Currency (เงินตราต่างประเทศ)  ที่จะเอาไปใช้หนี้ก็คือเรื่องของการท่องเที่ยว ก็จะมีความสำคัญมากขึ้น นี่คือสิ่งที่กำลังเป็นแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงที่ออกมาในแนวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้ยินคำว่า Market Force คือใช้กลไกตลาดเป็นตัวบังคับให้ทุกสิ่งทุกอย่างเดินไปและตัวที่ทำให้โลกาภิวัตน์มีความหมายมากขึ้น  มีความรวดเร็ว มีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นก็คือในเรื่องของคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร (Computer and Communication) หรือ IT technology (เทคโนโลยีสารสนเทศ) หรือ ICT นั่นเอง เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันได้รวดเร็วมาก เรื่องของ Fast Capital Flow ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดจากเรื่องของหลังจากที่กฏกติกาของแต่ละประเทศเริ่มหายไปเริ่มเปิดเสรีมากขึ้น แต่ด้วย เทคโนโลยีทำให้การ Flow (ไหลเวียน) ของทุกสิ่งทุกอย่างรวดเร็วขึ้นมากเพราะฉะนั้นบางคนปรับตัวไม่ทันตั้งรับไม่ทันก็เจอปัญหาเหมือนที่เราเจอมา  เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้มองไว้ล่วงหน้าทุกวันก็คอยนั่งตอบคำถามกันเอง ซักกันเอง ถามสื่อมวลชน ถามอะไรตั้งรับกันทั้งวันไม่ได้รุก  ไม่ได้มองว่าขณะนี้อะไรเกิดขึ้นข้างหน้าในโลกตรงนี้เป็นโลกาภิวัตน์ที่เรากำลังห่วงกันว่าเราพร้อมไหมพร้อมไม่พร้อมก็ต้องยอมรับสภาพ

       นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ การที่เข้าไปอยู่ในพันธกรณีของพหุภาคีทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นองค์กรการค้าโลก (WTO)   และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ  เอเซียแปซิฟิค (APEC) หรืออะไรพวกนี้เกิดการตกลงร่วมกันที่ทุกคนจะต้องปรับปรุงตนเอง  แต่ปรากฎว่าก็มีความแตกต่างในเชิงของสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเลยทำให้ประเทศใหญ่พยายามที่จะอุ้มประเทศเล็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรากำลังมองกันถึงเรื่อง Human Capacity Building (การสร้างศักยภาพของมนุษย์)หรือ HCB ที่เขาพูดกันบ่อยๆ ก็คือว่าการที่เราจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาศักยภาพของมนุษย์  เพื่อที่จะให้ประเทศที่พัฒนาน้อยได้มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองขึ้นมาและเท่าเทียม  ซึ่งผมพยายามบอกกับประเทศใหญ่ๆ ว่านี่มันไม่ใช่ One-way street (หนทางเดียว) เพราะการที่จะไปช่วยเหลือประเทศเล็กๆ ไม่ใช่ one-way street แน่นอน  ถ้าเขาพัฒนาขึ้น นั่นก็คืออนาคตตลาดของเขา  เพราะฉะนั้นคุณต้องไปพัฒนาตลาดของคุณไว้ ก็คือว่าทำให้เขาฟื้นตัวทำให้เขาเข้มแข็งเหมือนกับที่ ผมไปบอกกับประธานาธิบดีบุช ในเรื่องที่ผมกำลังทำในเรื่องของโครงการ ACD หรือ Asia Corporation Development  (การพัฒนาองค์กรธุรกิจของเอเซีย) เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง  ครับนี่คือสิ่งที่ความเชื่อมโยงของโลกทั้งหลายที่เกิดจาก Information Technology (เทคโนโลยีสารสนเทศ) ทำให้การไหลเวียนของเงิน ของทุน ของสินค้าของคน ฉับไวมากขึ้น มีมากขึ้น มีกติกาทั้งหลายถูกลบทำให้โลกทั้งโลกเปรียบเสมือนเป็นประเทศเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือแนวโน้มของโลกาภิวัตน์

    ก่อนที่ผมจะไปพูดถึงเรื่องยุทธศาสตร์ผมอยากจะให้ท่านมาดูเรื่องของงบประมาณแผ่นดินประเทศไทย  งบประมาณแผ่นดินประเทศไทยมีโดยประมาณ หนึ่งล้านล้านบาท ก็เท่ากับประมาณ 20% ของ GDP 1% ของ GDP ประมาณ 50,000 ล้านบาท ประมาณ 20 จุดกว่าของ GDP ถ้าเปรียบเทียบกับ GDP ของประเทศ 100% งบประมาณแผ่นดินมีเพียง 20% ใน 20% ของงบประมาณแผ่นดินเป็นงบลงทุนประมาณ สองแสนกว่าล้าน หรือประมาณ 4-5% เท่านั้นเอง นอกนั้นเป็นงบประจำ  แล้วถามว่าบทบาทของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความหมายไหมเหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุง เห็นไหมครับ  เพราะฉะนั้นหน้าที่ความสามารถของรัฐในการที่จะทำให้เศรษฐกิจดีไม่ดี

    ไม่ใช่บทบาทของการใช้สตางค์  แต่เป็นบทบาทของการวางกติกาส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน  ภาคชุมชนเข้มแข็งพอ แล้วมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก่อนจะวางยุทธศาสตร์เราต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนว่าอย่าไปคิดว่ารัฐบาลจะเป็นผู้จัดการได้ทุกอย่าง แล้วจะทำชี้นิ้วทุกอย่างให้กลายเป็นเศรษฐกิจฟื้น  ภาคเอกชนจะต้องได้รับการส่งเสริมต้องให้กลับมามีบทบาทมากขึ้นซึ่งวันนี้ภาคเอกชนส่วนหนึ่งได้ฟุบไป  ส่วนหนึ่งที่เดินผิดทาง ก็เจ็บไป เลยไม่มีกำลัง  แล้ววันนี้จะทำอย่างไรให้ฟื้นตัว ตรงนี้เดี๋ยวค่อยคุยกันนี่คือสิ่งที่จะบอกให้เห็นว่าเมื่อท่านเห็นงบประมาณแผ่นดินอย่างนี้  เห็นสัดส่วนงบประมาณแผ่นดินต่อ  GDP เห็นสัดส่วนของงบลงทุนต่อ  GDP อย่างนี้  พอดีผมเพิ่งอ่านหนังสือของ มิสเตอร์โรเบิร์ต  แซมมวลซัน ซึ่งเป็นคอลัมน์นิสต์ของนิวสวิค กับของ วอชิงตันโพสต์ แซมมวลซั่น เขียนล่าสุดในนิวสวิค  ฉบับพิเศษปี 2002 เขาบอกว่าการที่นักเศรษฐศาสตร์มหภาคทั้งหลาย พยายามจะทำนายเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันแล้วทำนายผิดเป็นประจำก็เพราะว่าความเข้าใจที่เขาคิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดก็คือ  การฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ลดดอกเบี้ย สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไม่พอเพียง  นี่คือสิ่งที่ญี่ปุ่นได้ทำตามทฤษฎีมาโดยตลอดหลายปีแล้วไม่ประสบความสำเร็จ  เขาบอกว่ามีตัวหนึ่งที่เขาใช้คำว่า  Culturenomic ก็คือว่าวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นตัวสำคัญในการฟื้น หรือไม่ฟื้น  ยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมยุโรปแก้ปัญหาการว่างงานยากมาก  เพราะเขาได้สร้างวัฒนธรรมให้คนว่างงานไม่ต้องดิ้นรนเพราะสวัสดิการดีคนเลยไม่ดิ้นรนที่จะหางานนี่คือ Culturenomic  แล้วต้องมาถามประเทศไทยว่าสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจคืออะไร  เรื่องนี้ค่อยว่ากัน  นี่คือสิ่งที่เราต้องกลับมาถามว่าวันนี้เราจะใช้ทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่างเดียวไม่เพียงพอในการทำนายทิศทางของประเทศไทย  เมื่อวานนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี สภาพัฒน์ฯ กับธนาคารแห่งประเทศไทยได้มานำเสนอ Prediction (การทำนาย) สารพัดอย่าง  ผมเลยถามว่า ถามจริงๆ เถอะที่ทำนายนี่ผิดเป็นประจำหรือเปล่า บอกว่าใช่  ทำนายจากอะไร ทำนายจากตัวเลขในอดีต ซึ่งผมก็บอกว่า บังเอิญผมเป็นนักวิจัย ผมบอกว่า Forecasting Model (ตัวแบบการทำนาย) แบบเก่าใช้ไม่ได้  เพราะว่าการนำตัวเลขในอดีตมาทำนายอนาคตมันมี Uncertainty (ความไม่แน่นอน) กับอนาคตมากเหลือเกิน มากจนยากจะทำนายได้ละเอียดพอ  เพราะฉะนั้นยิ่งใส่ตัวเลขเข้าไปยิ่งไม่ชัด

    พอเราจะเรียก Nationalism เมื่อไรแทนที่จะกลายเป็นรักชาติกลับกลายเป็นคลั่งชาติ ซึ่งเป็นคนละเรื่องเกินความพอดี  ผมไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาคลั่งชาติ ผมเรียกร้องให้คำว่าชาติต้องเป็นตัวตั้ง  นั่นคือสิ่งที่เป็นการวิจัยที่ออกมาล่าสุด  เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากจะบอกกับทุกคนว่าต่อไปนี้การวางยุทธศาสตร์ใด ๆ ลองคำนึงถึงเรื่องที่ผมพูดมาทั้งหมด ท่านกลับไปคิด ผมไม่ได้บอกให้ท่านเชื่อ  คิดแล้วลองคิดดูว่าแต่ละท่านต้องวางยุทธศาสตร์ของตัวเอง ของประเทศชาติและของงานที่ท่านทำอยู่ในองค์กรของท่าน ท่านต้องคิดว่าท่านจะทำอย่างไร

    จากคุณ : สัพเพ - [ 15 มี.ค. 52 21:08:50 A:222.123.135.89 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป


Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com