ความคิดเห็นที่ 1

ท่านคงจำได้ว่าตอนที่รัฐบาลนี้เข้ามาใหม่ ๆ ถูกกล่าวหาว่าใช้นโยบาย puppylist ใช้นโยบายหาเสียง ปิดประเทศ มุ่งเน้นเรื่องของชาติมากกว่าการค้าเสรี ซึ่งความจริงแล้วถูกครึ่งหนึ่ง ผิดครึ่งหนึ่งเพราะว่าเราเคยชินกับอดีต วันนี้สิ่งที่สำคัญคือ เราเคยชินกับอะไรมาพอจะเปลี่ยนความเคยชินเราไม่ค่อยอยากจะเปิดเครื่องรับ เครื่องรับมันปิด เพราะเราชินอย่างไรเราก็ทำไปอย่างนั้น ตื่นเช้ามาก็ต้องแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ นั่นคือความเคยชิน แต่ถ้าวันไหนลองไม่แปรงฟันออกจากบ้านไปมีปัญหาแน่ รู้สึกหงุดหงิดว่าวันนี้เราขาดอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องเปิดเครื่องรับให้ได้ว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนนั้นคืออะไรดีหรือไม่ดีก็เปิดเครื่องรับก่อน อย่างเพิ่งบอกว่ามันไม่ดี ผมขอเรียนว่ารัฐบาลที่เคยเข้ามาในอดีต ประเทศในเอเชียตะวันออกทั้งหลายมี Model ทางเศรษฐกิจอยู่อันหนึ่งเขาเรียกว่า East Asia Economic Model ทำเหมือนกันหมดทั้งเอเชียตะวันออกทำอะไรบ้าง 1) เน้นเรื่องการส่งออกเป็นหลักเพราะถือว่าเศรษฐกิจนั้นการส่งออกเป็นหลักที่สุด 2) เน้นเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้บริษัทต่างชาติมาลงทุน Multi National Communication ทั้งหลาย สิ่งที่เสียหายในอดีตที่เน้นข้างเดียวอย่างนี้คืออะไรบ้าง เพราะเรามองว่าการทำงานคือหัวใจสำคัญก็เลยอยากได้บริษัทใหญ่ ๆ มาทำงานเพื่อที่จะได้จ้างงานเยอะ ๆ แล้วเราก็เน้นเรื่องการส่งออกด้วยตรงนี้มีข้อดีอยู่มาก แต่มีข้อเสียคือ บรรดาเด็กที่จบใหม่ ๆ เรียนหนังสือดี ๆ ทั้งหลายกลายไปเป็นลูกจ้างหมดไม่คิดจะไปเป็นผู้ประกอบการ เตี่ยขายของมาประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่มีความรู้น้อยพอลูกมีความรู้แทนที่จะไปช่วยเตี่ยพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นอย่างมีวิชาการ วันนี้พอมีวิกฤติเกิดขึ้น เตี่ยฟุบ เพราะว่าบริหารแบบไม่มีหลักวิชาการ เพราะว่าลูกที่มีวิชาการได้ไปเป็นลูกจ้างเขาเรียบร้อยแล้ว เรียนหนังสือดีส่งไปเยล ไปฮาวาด กลับมาไปเป็นลูกจ้างเขาหมดสิ่งที่เป็นลูกจ้างได้ดีก็คือได้เรียนการบริหารจัดการ แต่ไม่มีความเป็นผู้ประกอบการอยู่ ในตัว
การเป็นนักบริหารกับการเป็นผู้ประกอบการนั้นมีจิตวิญญาณที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ในเอเชียนั้นปรากฏว่าบรรดาเถ้าแก่รุ่นใหม่หายหมด ขาดตอน เถ้าแก่รุ่นแรก ๆ ก็เป็นเถ้าแก่ที่ไม่มีการศึกษาเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นตรงนี้ขาดตอนและก็เกิดแรงงานภาคเกษตรกลับเข้ามาสู่แรงงานภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่เคยเข้มแข็งภูมิปัญญาชาวบ้านหายไป ขาดตอนอีกเช่นกัน แล้ว Multinational Communication ทั้งหลายก็อาศัยแรงงานราคาถูก ทรัพยากรธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ที่เป็นวัตถุดิบที่เหมาะสมราคาถูกเอาไปขายถูกในประเทศที่เขาเป็นเจ้าของ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกา นั่นคือสิ่งที่ในอดีตทำกันอย่างนี้หมดแล้วในเอเชียทั้ง เอเชียแข่งกันไปถล่มในตลาดตะวันตกกันหมด แข่งกันที่ราคาแข่งกันตัดราคา ตัดแล้วตัดอีก พอจะขึ้นค่าจ้างแรงงานสัก 1 บาทก็มีปัญหาว่าจะสู้เขาไม่ได้ เกษตรกรจะขึ้นราคาสินค้าเกษตรสักหน่วยก็มีปัญหาขึ้นราคาวัตถุดิบ สู้เขาไม่ได้ ผลสุดท้ายพอจะสู้เขาให้ได้ก็ต้องทำค่าเงินให้อ่อนเพื่อจะได้ส่งออก ลดค่าเงินครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วฝรั่งฉลาด ท่านเห็นราคาข้าวไหม ห้าปีที่แล้วกับปีนี้ ในรูปของเงินบาทนั้นเท่าเดิมครับ แต่ในรูปของเงินดอลล่าร์แล้วลดไปครึ่งหนึ่ง เห็นไหมครับเราลดค่าเงิน แต่ฝรั่งเขาไม่ได้เพิ่มดอลล่าร์ให้ เขาลดดอลล่าร์ตามค่าเงิน ผลสุดท้ายกำลังซื้อเราไม่มี เราก็แย่ลง เราซื้อปุ๋ยจากต่างประเทศเป็นดอลล่าร์เหมือนลดค่าจ้าง นี่คือสิ่งที่เรากำลังมองดูว่าอันนี้เราถูกหรือเปล่าอันนี้คือสิ่งที่ผมตั้งคำถาม วันนี้ผมกลับมาตั้งคำถามว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นถูกหรือไม่ ผมไม่ได้บอกว่าผิดแต่ผมถามว่าถูกหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกต้องแก้ต้องปรับยุทธศาสตร์ นี่คือยุทธศาสตร์ด้านเดียว เขาเรียกว่า Single Track Model ของ EAEM ทั้งหลาย วันนี้สิ่งที่ผมเปลี่ยน ผมเปลี่ยนเป็น Duo Track แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนเป็นไม่สนใจการส่งออกไม่ได้ ต้องสนใจอยู่ ต้องปรับวิธีการของสินค้าที่จะนำไปขาย Duo Track คืออะไร Track ที่สองคือมาผลักดันเศรษฐกิจในประเทศ คือส่งเสริมการค้าการขายระหว่างกันในประเทศให้มากและก็สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ให้คนไทยเปลี่ยนวัฒนธรรมจากการที่เป็น เชม Society เชม Society คืออะไร เวลาใครทำอะไรผิดก็ เชม on you เวลาใครทำอะไรดีก็ยกมือ ปรบมือ ให้ดอกไม้เต็มบ้าน นี่คือความไม่พอดีของสังคม คนที่ผิดก็ซ้ำเติม ดูสมรักษ์ คำสิงห์ ตอนวันชนะโอลิมปิคครั้งแรกให้ทองกันไม่รู้กี่บาท ให้กันจนสมรักษ์รวยไปเลย พอครั้งสมรักษ์แพ้ก็แทบจะเสียผู้เสียคนเลย คนเรามันก็พ่ายสังขารได้บ้าง
นี่คือสิ่งที่เราต้องกลับมาถามตัวเองว่าตรงนี้เราทำถูกหรือไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างผู้ประกอบการใหม่ คนที่จะเป็นผู้ประกอบการได้ต้องกล้าล้มเหลว เวลาล้มเหลวต้องให้เขาลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ใช่ล้มแล้วฆ่าให้ตายอย่างวันนี้เช่นกัน นักธุรกิจทั้งหลายที่ผิดพลาดไป ให้โอกาสกลับมายืนขึ้นใหม่ต้องทำหน้าที่เป็นหมด อย่าทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อ คือต้องรักษา รักษาจนนาทีสุดท้ายแล้วถ้าไม่ไหวก็คือไม่ไหวแน่นอนการรักษาบางโรคก็ใช้เงินน้อย บางโรคก็ใช้เงินมาก แต่ต้องรักษา เพราะวันนี้เราต้องเอากำลังของคนในชาติขึ้นมาให้เข้มแข็งให้หมด เพราะฉะนั้นต้องสร้างผู้ประกอบการใหม่ ก็คือเรื่องของ SMEs ต้องสร้างให้ผู้ประกอบการนั้นยืนได้ ล้มแล้วสู้ใหม่ ทุกครั้งของการล้มนั่นคือประสบการณ์ ไม่มีฉลาดมาก่อนโง่ ส่วนใหญ่โง่มาก่อนฉลาดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นโง่ต้องเป็นครู แต่ถ้าคนผิดพลาดแล้วยังไม่เอาความผิดพลาดมาเป็นครูนั้น สมควรตายต้องเอาความผิดพลาดในอดีตมาเป็นครูให้ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่เราพยายามทำกันอยู่ว่าจะสร้างกำลังของคนในชาติ เพื่อให้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ผมก็เลยหันกลับไปดูนักรบที่เป็นทหารหรือที่เรียกว่าเป็นทหารแถวหน้า เวลารบนั้นส่วนใหญ่นายพัน นายพล จะอยู่ด้านหลัง พลทหาร นายสิบ อยู่ด้านหน้า วันนี้แถวหน้าบาดเจ็บกันหมด นั่นคือคนจน เกษตรกร ซึ่งวันที่เศรษฐกิจล้มเหลวเราบอกว่าวิ่งไปภาคเกษตรไปทำแล้วเป็นอย่างไรป่วยเป็นแถว เป็นหนี้เป็นสิน ทั้งหนี้ในระบบ หนี้นอกระบบได้รับการชี้นำจากส่วนกลางว่าคุณต้องทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้ โดยจะทิ้งไม่สนใจภูมิปัญญาของเขา นี่คือสิ่งที่ต้องกลับมาดูว่าจะสร้างชุมชนให้เขาเข้มแข็งโดยเป็นแค่คนประคับประคองเขาแล้วให้เขาช่วยคิดกันเอง
วันนี้เขาสามารถทำงานสำเร็จในหลายชุมชนที่เป็นตัวอย่างที่ดี กองทุนหมู่บ้านของผมก็มาจากการเห็นกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ที่เขาช่วยกันเองโดยรัฐไม่ได้ช่วยสักสลึงหนึ่งสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราจะเอาแนวความคิดนี้ไปใช้ทั่วประเทศ เราเอา Model ไปประยุกต์ใช้ทั่วประเทศ โดยที่บางชุมชนเขาไม่เข้มแข็งเหมือนชุมชนที่เคยทำมาก็ต้องเริ่มเงินประเดิม เพราะฉะนั้นรัฐก็เลยใช้ประเดิมด้วยการทำให้ 1 ล้านบาทเกิดขึ้น นั่นคือการสร้างธนาคารหมู่บ้าน โดยที่มีพนักงานสินเชื่อ 1,200,000 คน โดยรัฐไม่ต้องจ่ายสักสลึง ก็คือ 15 คน X 80,000 บาท แล้วเขาดูแลกันเอง แต่ว่าเงินเหล่านั้นกลายเป็นเงินหมุนเวียนประจำหมู่บ้าน เพราะอะไรทำไมถึงทำอย่างนี้ เพราะคนจนมีปัญหาสองอย่าง คือ โอกาสในการเข้าหาทุนและโอกาสในการเข้าหาความรู้ นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อให้ทหารแถวหน้าเหล่านี้แข็งแรงได้ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ เพราะว่าเรากำลังจะบอกว่าโลกาภิวัตน์กำลังจะมีอะไรมากมาย แต่ว่าคนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย ถ้าเราไม่ฟื้นพวกเขาขึ้นมาแล้วเขาจะรับกระแสไหวหรือ ต้องรีบฟื้นขึ้นมาก่อน เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงต้องใช้นโยบายพักหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน เพื่อต้องการให้คนเหล่านี้หายป่วย หายป่วยเสร็จเขาจะทำงานได้คือเปลี่ยนภาระให้เป็นพลังให้ได้ ถ้าท่านไปเห็นคนจนท่านจะรู้ บางครั้งคนขาดเงินเพียง 5,000 บาท ก็ตาบอด เพราะไม่มีเงินลอกต้อ คนจะไปคลอดลูก ลูกยังไม่ออกมาเลยก็เป็นหนี้แล้ว เพราะต้องไปกู้เงินเขามาจ่ายค่าทำคลอด นี่คือสิ่งที่คนไทยที่ยากจนเผชิญ
วันนี้ ข้าราชการนั้น ปัจจัยที่ 1, 2, 3 มีแล้ว ปัจจัยที่ 4 ไม่มี ไปมีปัจจัยที่ 5, 6, 7 แทน ปัจจัยที่ 4 คือบ้าน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อาหาร มีหมด แต่บ้านไม่มี บ้านไม่มีก็ไปมีโทรศัพท์มือถือ เป็นปัจจัยที่ 5 ไปมีรถยนต์ เป็นปัจจัยที่ 6 แต่บ้านไม่มี เพราะอะไร ก็เพราะไม่สามารถดาวน์ได้ อันนี้คือสิ่งที่เป็นอุปสรรคทำให้เขาไม่มีบ้าน แต่เข้าไปซื้อของที่ไม่ต้องดาวน์ ที่พอมีเงินซื้อได้เขาก็ซื้อ เพราะฉะนั้นก็เลยไปใช้เงินฟุ่มเฟือยในส่วนอื่นแทนที่จะมาใช้ในสิ่งที่เป็นหลักประกันของชีวิต รัฐบาลนี้จึงต้องมาทำในสิ่งที่เป็นรากฐานก็คือ การซ่อมรากของกองทัพของเรา แล้วมาถึงเรื่องของการสร้าง SMEs แล้วมาถึงเรื่องของการฟื้นสถาบันการเงิน แล้วก็สร้างผู้ประกอบการให้กลับมาแข็งแรงใหม่ โดยการตั้งทีมขึ้นมา เพื่อสถาบันการเงินจะได้แข็งแรง วันนี้สถาบันการเงินมีเงินเหลือในระบบตั้ง 700,000 ล้านบาท ถามว่าทำไมไม่ปล่อย บอกว่าให้เศรษฐกิจดีก่อนสิ เศรษฐกิจก็ถามว่า คุณปล่อยก่อนสิแล้วเศรษฐกิจจะดีเหมือนไก่กับไข่ใครเกิดก่อนกัน เมื่อมีภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจทุกเรื่องจะเป็นเรื่องของไก่กับไข่แทบทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้ไก่ก็ฟักไข่ใหม่ ไข่ก็ต้องเป็นไก่ให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำวันนี้ต้องผลักดันให้เป็นวันนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นเรากำลังผลักดันสิ่งเหล่านี้ไม่ง่าย แต่นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ
นี่คือกระบวนการทั้งหมด แต่ขณะเดียวกันนั้น เราจะต้องไปทำโครงสร้างของภาคราชการ เพราะวันนี้ภาคราชการของเราต้องยอมรับว่าอืด นั่นคือเหมือนกับองค์กรที่ผมเคยบอกไว้ เป็นองค์กรระบบราชการมีชั้นการบังคับบัญชามากมาย ความจริงก็ไม่มีความจำเป็นเพราะเสนอเพื่อพิจารณาตั้งแต่แผนกไปถึงอธิบดี ปลัดกระทรวง บางทีเพื่อโปรดพิจารณาไปถึงรัฐมนตรีเลย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เรากำลังใช้คนของเราอย่างไม่มีประสิทธิภาพ นี่คือสิ่งที่เรากำลังแก้ โดยมีการปฏิรูประบบราชการ กระทรวงทบวง กรม ใหม่ ซึ่งไม่เคยทำได้มาก่อน แต่วันนี้ที่ทำได้ไม่ใช่เพราะผมเก่ง แต่เป็นเพราะประชาชนเก่ง ประชาชนให้ mandate (มอบอำนาจการบริหาร) ในการที่มีรัฐบาลที่ไม่มีปัญหาทางการเมือง ไม่มีปัญหาเรื่องเสถียรภาพก็เลยสามารถจะตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ เรื่องที่คาราคาซังมาในอดีต ผมก็ไม่เคยคิดว่าในอดีตเขาไม่เห็นเขาเห็นแต่มันไม่ง่าย ถ้าการเมืองยังเป็น faction (เป็นฝักเป็นฝ่าย) ยังเป็นระบบแบบแบ่งเค็กกันกิน ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ได้ แต่ถ้าการเมืองมั่นคงอย่างนี้ ผมต้องถือว่าถ้าผมไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำผมถือว่า ผมทรยศต่อประชาชน เพราะฉะนั้นเรื่องที่ควรทำต้องทำ เรื่องที่ต้องตัดสินใจ ที่ผมเล่าให้อาจารย์ฟัง อย่างเรื่องท่อแก๊สไทย มาเลเซีย เขาอุตส่าห์จ้างผมมาเดือน 95,000 บาท หักภาษีแล้ว เพื่อให้ตัดสินใจ เพราะฉะนั้นผมต้องติดสินใจทุกเรื่อง ไม่ว่าจะยากแค่ไหนต้องตัดสินใจ ขอให้พื้นฐานเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อประเทศ ผมก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ที่จะมีผลในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จะทำให้เกิดโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ที่แบนขึ้นและก็จัดกลุ่มงานไปอยู่ด้วยกันเป็นลักษณะเรียกว่า Agenda base organization เป็นการจัดองค์กรตามภารกิจ ในอดีตนั้นเป็น functing (จัดตามหน้าที่) พอจัดไปจัดมาปรากฏว่า เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยน ทุกคนก็อยากเป็น agenda (ภารกิจ) ของตัวเอง ก็เลยกลายเป็นว่าทุกคน build (สร้าง) เพิ่มกรมกอง เพิ่มคนเพิ่มอะไรขึ้นมา นั่นเกิดซ้ำซ้อน redundant ระหว่างกฎกระทรวง ประชาชนไม่รู้จะติดต่อที่ไหน เพราะทุกอย่างการทำงานต้องเปลี่ยน อันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ แล้วก็จะต้องเปลี่ยนในสิ่งนี้
จากคุณ :
goo-online (สัพเพ)
- [
15 มี.ค. 52 21:10:14
A:222.123.135.89 X:
]
|
|
|