ไม่ทราบว่าได้อ่านกันบ้างหรือป่าวครับกับความผิดพลาด ซึ่งควรรู้และได้ระวังแก้ไข อย่าให้หน้าแตกอีกครั้ง
"กองขยะใต้พรม "อาเซียน ซัมมิท 14"
คอลัมน์ วิเทศวิถี
โดย วรรัตน์ ตานิกูจิ worrarat@matichon.co.th
ถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 จะผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ แต่เพิ่งได้ฤกษ์เขียนถึงผลของการประชุมตอนนี้ ซึ่งก็ถือว่าไม่ล่าไปนัก เพราะระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของไทยก็กำลังเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาทั้ง 6 ประเทศ และเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นที่พัทยา ในวันที่ 10-12 เมษายนข้างหน้า
หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ผ่านพ้นไป ดูเหมือนเราจะได้รับแต่ข่าวสารข้อมูลว่าอะไรๆ มันก็ช่างสดสวยงดงาม นับเป็นความสำเร็จของประเทศไทยที่สามารถจัดประชุมที่ควรจะจัดตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ให้ผ่านพ้นไปได้เสียทีในที่สุด หลังจากลุ้นกันใจหายใจคว่ำมาหลายรอบ เรียกได้ว่าถ้าเป็นมวยก็เชียร์กันจนคนเชียร์เหนื่อยกว่าระฆังจะตีหมดยก
ถึงกระนั้นก็ดี การประชุมที่ผ่านไปก็เปรียบเหมือนเพียงระฆังของยกแรกเท่านั้น ตลอดปีนี้ไทยยังต้องเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นประธานอาเซียนของไทยไปจนถึงปลายปีนี้ ที่สำคัญๆ ก็คือการประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่ลงตัวแล้วว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน กับการประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ 15 ในตอนปลายปีนี้
อย่างไรก็ดี ผลของการจัดการประชุมทั้งหมดทั้งมวลที่เพิ่งผ่านไปที่หัวหิน หากเป็นพวกที่ไม่หลอกตัวเอง หรือปิดหูปิดตาไม่รับฟังความจริง ก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า แท้ที่จริงแล้วการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 นั้น น่าจะนับเป็นการประชุมระหว่างประเทศที่ล้มเหลวที่สุดครั้งหนึ่งของไทยเลยทีเดียว ที่สำคัญ ความผิดพลาดบกพร่องก็เกิดขึ้นในจุดที่ไม่ควรจะเกิดอย่างที่สุด
ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่การประชุมที่มีผู้นำประเทศมามากกว่า 20 ประเทศ อย่าง อาเซม หรือเอเปค เราก็จัดมาแล้ว อย่าว่าแต่ผู้นำประเทศเลย แม้แต่งานฉลองการขึ้นครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีองค์ประมุขของราชวงศ์ทั่วโลกมาร่วมแสดงความยินดีซึ่งถือเป็นครั้งแรกในโลก เราก็จัดได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
แต่แค่การประชุมสุดยอดอาเซียนที่มีผู้นำเดินทางมาเพียง 9 ประเทศ บวกกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยในฐานะเจ้าภาพและเป็นผู้นำคนที่ 10 งานนี้ทั้งงานกลับปั่นป่วนวุ่นวายนับตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายเลยทีเดียว
เรื่องที่ปัญหาอย่างมากคือการจัดขบวนรถของผู้นำ รวมไปถึงรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มาร่วมประชุม ซึ่งเกิดเหตุผิดพลาดทางเทคนิคซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขนาดที่ให้ผู้นำประเทศหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือองค์สุลต่านแห่งบรูไน ที่เป็นถึงองค์ประมุขของประเทศ ต้องมานั่งรออยู่ในรถนานกว่าครึ่งชั่วโมงโดยที่รถขบวนไม่สามารถไปไหนได้ และก็ไม่มีใครให้คำตอบได้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำเอาเจ้าหน้าที่ประสานงานได้แต่หน้าม้านเพราะตอบไม่ได้ อธิบายไม่ถูก
แน่นอนว่าเหตุสุดวิสัยอาจเกิดขึ้นได้ แต่เพราะการประสานงานมีปัญหาอย่างมากเนื่องจากงานนี้เต็มไปด้วยคนที่คิดว่าตัวเองรู้ แต่ไม่รู้จริง ทำให้การแก้ไขปัญหาที่ควรจะทำได้โดยง่าย กลับกลายเป็นความวุ่นวายโกลาหลอย่างที่สุด
ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียถูกนำไปนั่งผิดโต๊ะตอนงานเลี้ยงอาหารค่ำที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน แทนที่จะได้นั่งกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนด้วยกันกลับต้องไปนั่งโต๊ะเดียวกับผู้แทนจากรัฐสภาอาเซียน เพราะเจ้าหน้าที่ของสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่ดูแลรัฐมนตรีพารัฐมนตรีอาเซียนไปเข้าโต๊ะ ด้วยเหตุผลว่าเป็นพื้นที่ที่ตัวเองดูแล แต่ดันไม่รู้ว่าใครต้องนั่งโต๊ะไหน เจ้าหน้าที่มากมายที่จัดไว้ก็ยืนกันเต็มพื้นที่ แต่พอถามอะไรก็ตอบไม่ได้สักอย่างเดียว
รถขบวนงานนี้ยิ่งวุ่นใหญ่ เพราะหลังทานอาหารเสร็จบรรดา "วีไอพี" ไทยที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการประชุม) ก็พากันขึ้นรถและมีการแทรกขบวนรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกันเป็นที่สนุกสนาน แขกจากประเทศต่างๆ ซึ่งมาประชุม ผู้ที่ควรได้รับความสำคัญและดูแลเป็นอันดับต้นให้ได้ไปพักผ่อนก็ต้องนั่งรอตาปริบๆ กว่าบรรดาบุคคลสำคัญของไทยจะทยอยกลับเสร็จ แขกที่เป็นรัฐมนตรีเหล่านี้ก็ต้องรออยู่ในนั้นไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
รับรองว่าเหตุการณ์เหล่านี้คงจะประทับใจแขกบ้านแขกเมืองไปไม่รู้เลือน ก็ถ้าขนาดผู้นำประเทศและรัฐมนตรีอาเซียนยังเจอเหตุกันขนาดนี้ เรื่องนักข่าวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถ้าจะถามนักข่าวว่า จดจำอะไรได้มากที่สุดระหว่างการประชุมครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ผลสำเร็จที่น่าปลาบปลื้มใจอย่างที่นายกรัฐมนตรีบอกไว้ตอนพบกับนักข่าวไทยหลังเสร็จประชุมแน่นอน
หนึ่งในปัญหาที่เจอจนทำให้เป็นอุปสรรคกับการทำงาน คือการปิดถนนแบบไร้เหตุผลของตำรวจ บางครั้งบอกว่ารถขบวนจะมา รอกันไป 20 นาทีก็ยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น พอนักข่าวจะเดินข้ามถนนก็เป่านกหวีดห้ามราวกับเป็นอาชญากรถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าวิ่งราวเขามาโดยมีสร้อยทองอยู่คามือก็ไม่ปาน ทำเอาหลายคนไปทำข่าวไม่ทันกันหลายหน
นายกรัฐมนตรีบอกว่า ผู้สื่อข่าวต่างประเทศจำนวนมากมีโอกาสได้มาเห็นและถ่ายทอดศักยภาพในการจัดประชุมของไทย ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศที่ดี แล้วทราบหรือไม่ว่าบรรดาหัวหน้าสำนักงานของสำนักข่าวต่างประเทศในไทยได้ส่งจดหมายแสดงความขอบคุณที่มีอาหารอร่อยให้ทานตลอดการประชุม แต่ไม่มีข่าวให้ทำ เพราะการรักษาความปลอดภัยที่เข้าขั้นบ้าคลั่งแบบไร้เหตุผลทำให้นักข่าวเกือบทั้งหมดเข้าไม่ถึงแหล่งข่าวที่ต้องการ นอกจากผู้ที่แสดงความจำนงจะแถลงข่าวในศูนย์ข่าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่ฝ่ายไทยทั้งสิ้น เหมือนลืมไปว่างานนี้ไม่ได้มีแต่ผู้แทนไทยเท่านั้นที่มาประชุม แถมบางงานหารือครั้งเดียวแถลงข่าวกัน 3 รอบซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่ไม่มีประเด็นใหม่
แน่นอนว่าการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำเป็นสิ่งจำเป็น แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องมีความพอเหมาะพอควรและสมดุลกับการเปิดโอกาสให้ได้ทำข่าว เพราะนั่นหมายถึงการประชาสัมพันธ์โดยตรง การสกัดกั้นกีดกันนักข่าวและการคิดเอาเองของฝ่ายความมั่นคงว่าผู้สื่อข่าวเป็นตัวปัญหาที่ต้องกันให้อยู่ไกลๆ ไม่ควรเป็นวิธีคิดของประเทศที่พร่ำบอกว่าเป็นประชาธิปไตย มีเสรีภาพ และเปิดกว้างมากกว่าประเทศใดๆ ในอาเซียน ดูเหมือนว่าในการประชุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาร่วมรักษาความปลอดภัยจะเน้นไปที่จำนวนคนมากกว่าคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของคนเสียด้วยซ้ำ
ถ้าฉลาดคิดน่าจะรู้ว่า การสร้างความเชื่อมั่นหรือการป่าวร้องบอกโลกว่าสถานการณ์ความวุ่นวายในไทยได้กลับสู่สภาวะปกติ จะน่าเชื่อถือกว่ามากถ้ามันออกมาจากปากผู้อื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเอง และถ้าสถานการณ์มันกลับสู่ภาวะปกติจริง เราคงไม่ต้องพร่ำพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องจนถึงวันนี้
และถ้างานนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามและสร้างความเชื่อมั่นได้จริง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คงไม่ต้องส่งจดหมายไปขอโทษบรรดารัฐมนตรีอาเซียนอื่นๆ ทันทีที่จบงาน แทนที่จะนั่งรอจดหมายขอบคุณจากประเทศที่มาร่วมประชุมอย่างในอดีต และคงไม่ต้องสั่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจและสั่งให้เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศผลัดกันไปฝังตัวอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขลุกขลักเช่นที่ผ่านมาอีก สงสารก็แต่คนทำงานที่รู้ทั้งรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แต่ก็พูดไม่ได้เหมือนน้ำท่วมปาก ก็ต้องพยายามแก้ไขปัญหากันต่อไปเท่าที่พอจะมีกำลัง
ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามา ไม่ใช่ต้องการสร้างความเสียหายใดๆ แต่ต้องการให้รู้ว่าเราจะแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้แน่ หากไม่ยอมรับความจริงและมัวแต่หลอกกันเองอยู่อย่างนี้ ถ้าการเป็นประธานอาเซียนสำคัญต่อไทยถึงระดับที่เราเรียกร้องให้เป็นวาระแห่งชาติ เราก็ต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ได้ ทุ่มเทเวลาและความใส่ใจดีกว่าจะไปทุ่มเงินซื้อโฆษณาในสื่อต่างประเทศให้วุ่นวายและสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ
ขนาดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรพลาด ยังพลาดได้ขนาดนี้ แล้วจะรู้กันไหมว่า "จัดได้" กับ "จัดแล้วประสบผลสำเร็จ" มันไม่ได้มีความหมายเหมือนกัน
อ้างอิง http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01for09160352§ionid=0104&day=2009-03-16
จากคุณ :
4tunerAchilles
- [
16 มี.ค. 52 20:11:41
A:222.123.77.16 X:
]