ความคิดเห็นที่ 1 ผมเชื่อว่า GDP เพิ่มเพราะภาคอุตสาหกรรมโตขึ้น รวยขึ้น จากเงินอัดฉีดโครงการประชานิยมต่างๆ ทำให้ รากหญ้ามีเงิน(จากหนี้) ไปจับจ่ายใช้สอย แต่ก็ทำให้รากหญ้ามีหนี้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในสมัยทักษิณ (ทั้งจำนวนหนี้ที่มากขึ้นและจำนวนครัวเรือนที่เป็นหนี้ก็มากขึ้น) จากคุณ : ดินเหนียวปนทราย - [ 21 มี.ค. 52 01:42:57 A:203.159.101.18 X:203.159.36.12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณดินเหนียวปนทราย ต้องใช้วิธีจุดธูปเชิญ คุณ Devil_electric ล่ะมั๊ง จากคุณ : san2003 - [ 21 มี.ค. 52 01:56:45 A:58.8.58.148 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมก็ออกจากชีวิตลูกจ้าง มาทำธุรกิจเล็กๆ สมัยทรท.1 เพราะเขาส่งเสริมSMEs ผมมีเงินทุนไม่กี่หมื่นบาท แถมยังกู้ธ.ประชาชน2ครั้ง ใช้หนี้หมดทุกบาท ทุกสตางค์พร้อมดอกเบี้ยจนครบ ไม่มีใครให้ผมซักบาทเดียว วันนี้ผมมีบ้าน มีรถยนต์ มีกิจการมูลค่า7หลัก และมีคนที่สำเร็จแบบผมและ มากกว่าผมมากมายนัก เราเสียภาษีให้รัฐหลักหมื่น หลักแสนต่อปี ผมเห็นแต่คนหนุ่มสาว คนทำธุรกิจหน้าชื่นตาบานกันทั่วไปหมด  อะไรๆที่ดี มาเริ่มพังตอนนายสนธิและพวกเริ่มก่อม๊อบ จนถึงทหารปฎิวัติยึดอำนาจและซ้ำร้าย ยังทำลายประเทศต่อ ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ปิดสนามบินหลายแห่ง หลายครั้ง วันนี้เหรอครับ พวกเงินกู้เงินทุนนอกระบบเกลื่อนเมือง อิทธิพลมาเฟีย หวยเถื่อน ยาเสพติดเต็มเมือง  นี่หรือครับ สิ่งที่คนไทยต้องการ ? จากคุณ : สนุกมากมั้ย คนไทย (เถ้าแก่น้อย) - [ 21 มี.ค. 52 02:02:43 A:117.47.212.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็เป็นคนนึง ที่ได้รับผลกระทบ ในสมัยที่ทักษิณบริหาร จากคนที่ไม่เคยเป็นหนี้ ก็ต้องมาเป็น ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น ไหนจะ ค่าน้ำมัน ค่าถ่ายน้ำมันเครื่อง ค่าต่อทะเบียน ค่าประกัน ค่าตกแต่งรถ ค่าเครื่องเสียง ค่าล้างรถ ค่าจอดรถ ค่าแบตเตอรี่  ค่าเปลี่ยนยาง ค่าจีบหญิงแล้วดันติด แล้วตบท้ายด้วยหนี้ ค่าผ่อนรถ นี่ถ้าเป็นสมัยชวน ผมคงไม่มีโอกาสเป็นหนี้หรอก ว่ามะ จากคุณ : ไม้ตะพด - [ 21 มี.ค. 52 02:06:04 A:58.64.79.201 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 คำถามคุณเจ้าของกะทู้น่าสนใจครับ.. ขอออกความเห็นนิดนึงนะครับ.. -- สมัย อดีตนายกทักษิณ กู้เงินแน่นอนครับ แต่การกู้จะเปลี่ยนการกู้บางส่วนจากต่างประเทศ มากู้เงินภายในประเทศบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน หรือการออกพันธบัตร.. ระหว่างนั้นโครงการต่างๆ เพื่อการเพิ่มศักยภาพของประเทศมีหลายโครงการ ยกตัวอย่างเช่น สนามบิน รถไฟฟ้าใด้ดิน แอร์พอร์ตลิ้งค์ และน่าจะหมายรวมถึง การอัดเม็ดเงินลงไปตั้งกองทุนหมู่บ้าน, ธุรกิจSME ,OTOP เป็นต้น..     -- อดีตนายกฯ สนับสนุนการกู้เงินมาใช้ จากที่จะเห็นจากโครงการกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท ให้คนในชุมขนกู้ .. เป้าหมายที่แท้จริงก็คือ ต้องการให้กู้เพื่อทำรายได้เพิ่ม ให้แก่ ครัวเรือน คนในชุมชน โดยที่จะต้องรักษาวินัยทางการเงิน อย่างเคร่งครัด.. ส่วนจะได้จะเสียแล้วแต่จะคิดครับ.. -- GDP ที่เพิ่มขึ้นที่ว่า มาจากภาคอุตสาหกรรม นั่นก็ใช่ แต่ถ้าจะมองอีกมุมหนึ่งว่า GDP ที่เพิ่มขึ้นก็เนื่องด้วยมาจาก ผลผลิต ของชุมชนที่เพิ่มขึ้น จากการกู้เงินจากกองทุนหมู่บ้าน, การสร้างงานจากโครงการเมกกะโปรเจค เช่นนี้จะมองแบบนี้ได้หรือไม่.. -- เช่นกัน..หนี้สินต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจริง แต่หากจะเป็นการเพิ่มขึ้นก็เนื่องจาก การกู้เพื่อการลงทุน เพื่อการเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน ซึ่งเป็นผลให้  หนี้สาธารณะ/GDP ลดลง .. จะสังเกตุได้ว่า ทุกปัจจัย มีความเกี่ยวเนื่องกันและกัน.. หนี้ภาคประชาชนที่เพิ่มขึ้น ก็อาจไม่ได้มาจากการปล่อยสินเชื่อที่ล้มเหลว อย่างที่เข้าใจก็เป็นได้.. การมองและวิเคราะห์จากตัวเลข อาจมีแนวทาง ที่แตกต่างกันได้เสมอและตลอดเวลา ความเห็นนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวอันนึงครับผม.. จากคุณ : Vee&Cat - [ 21 มี.ค. 52 02:21:46 A:114.128.250.36 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 กู้เงินมาสร้างงานด้วย mega project กับกู้เงินมาแจกมันผิดกันนะครับ หนี้เพิ่มแต่งานขยายตัว กิจการขยายตัว กู้ตอนรุ่งๆยิ่งขยายโอกาส แต่กู้ตอนร่วงๆ มีแต่จะทำให้จนครับ สมัยทักกี้ชาวบ้านเป็นหนี้เพิ่ม เพราะมีโอกาสเข้าถึงทุนมากขึ้น กับแบบเก่าที่ชาวบ้านไม่มีโอกาสได้กู้ จนซ้ำซากอย่างเดียว ไม่มีหนี้แต่ก็ไม่มีกิน? แต่อันนี้เห็นด้วยว่าต้องปรับปรุงแผนการรองรับ เพื่อพัฒนาศักยภาพให้มากขึ้น ให้กู้แล้วต้องเอาเงินไปทำงาน ที่ผ่านมามีบางส่วนนำเงินไปใช้ฟุ่มเฟือยจริง แต่ก็มีไม่น้อยที่เอาไปสร้างงาน สร้างกิจการ พลิกผันชีวิต (ตำนานพวกนี้ไปดูตามบ้านนอกได้ คนรู้จักผมคนนึงแปลงที่ดินเป็นทุน เป็นเจ้าของresort฿spa รวยไปแล้ว จากชาวนาจนๆที่ต้องยืมเงินเขามาทำนา จนซ้ำซาก) ก็ต้องต่อยอดกันดีๆ แต่ไม่ใช่ไม่ให้กู้แบบหลายสิบปีก่อน เพียงเพราะกลัวชาวบ้านจะใช้เงินไม่เป็น (กลัวเขาใช้ไม่เป็นก็ให้ความรู้สิฟะ ไม่ใช่ไม่ให้กู้!) concept การพัฒนาทางเศรษฐศาสตร์ของทักกี้กับปชป. ค่อนข้างต่างกันมาก ทักกี้คิดว่า กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า สร้างงานและหมุนเงินในประเทศด้วย mega project เป็น win-win รัฐได้โครงสร้างพื้นฐาน ประชาชนก็พัฒนาไปพร้อมๆกัน(อีกชื่อนึง คือ เศรษฐศาสตร์แบบ dual-track)  มีหนี้ก็จริงแต่เป็นหนี้เพื่ออนาคต เอกชนรุ่ง รัฐก็รุ่ง ประชาชนก็รุ่งไปด้วย win-win game ส่วนปชป. กู้มาแจก ลงเงินแต่โครงการเล็กๆ(ที่โกงง่ายแต่ตรวจสอบยาก) พยายามดัดแปลงจาก miyazawa plan ที่เอาเงินไปจ้างทำงานที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ(เช่นจ้างไปดายหญ้าที่รกร้าง แต่ไม่ทำอะไรต่อ) มีหนี้ แต่ไม่มีอนาคต รัฐรุ่ง  เอกชน(บางส่วน)รุ่ง แต่ประชาชนไม่รุ่ง เพราะหมดเงินก็จนเหมือนเดิม...เงินที่ลงไปก็ละลายแม่น้ำอย่างเดียว จากคุณ : ....4จุด - [ 21 มี.ค. 52 03:13:08 A:125.24.210.83 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 หนี้สินของครัวเรือน ปี 2550 จากครัวเรือนทั่วประเทศที่เกินครึ่ง (ร้อยละ 63.3) มีหนี้สิน ส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค และใช้ในการซื้อบ้าน/ที่ดินใกล้เคียงกันคือร้อยละ 33.3 และ 31.3 ตามลำดับ รองลงมาใช้ทำการเกษตรร้อยละ 15.2 และใช้ทำธุรกิจที่ไม่ใช่การเกษตรร้อยละ 14.4 สำหรับหนี้ เพื่อใช้ในการศึกษามีเพียงร้อยละ 2.7 เท่านั้น การเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สิน ต่อรายได้ ปี 2541 - 2550 เมื่อเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินต่อ รายได้ พบว่า ครัวเรือนทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2541 ถึง 2550 มีรายได้เฉลี่ยมากกว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการยังชีพ และพบว่า รายได้และค่าใช้จ่ายฯ ตั้งแต่ปี 2545 ถึง 2550 เพิ่มขึ้นคือ รายได้เพิ่มจาก 13,736 เป็น 18,660 บาท และค่าใช้จ่ายฯ เพิ่มจาก 10,889 เป็น 14,500 บาทตามลำดับ และเมื่อพิจารณาผลต่างของรายได้ และค่าใช้จ่ายฯ ในปี 2550 พบว่า รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการ ยังชีพอยู่เพียง 4,160 บาทต่อครัวเรือน หรือประมาณ 1,300 บาทต่อคนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการ ชำระหนี้ หนี้สินต่อรายได้ครัวเรือนในปี 2547 จะสูงสุดเมื่อ เทียบกับปีอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม พบว่ามีแนวโน้ม ลดลงเรื่อยๆ เป็น 6.6 และ 6.3 เท่า ในปี 2549 และ 2550 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินของ ครัวเรือน ปี 2549 - 2550 เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเปลี่ยนแปลงของรายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินของครัวเรือนทั่วประเทศ พบว่า รายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากปี 2549 โดยรายได้มีอัตราการเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่าย คือรายได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 1.3 ต่อปี ทำให้สัดส่วนของค่าใช้จ่าย/รายได้ลดลงจากร้อยละ 80.5 ในปี 2549 เป็น 77.7 ในปี 2550 ส่วนภาวะการเป็นหนี้ ของครัวเรือนมีแนวโน้มดีขึ้น คือจำนวนครัวเรือนที่เป็นหนี้ ลดลงร้อยละ 1.7 จำนวนเงินที่เป็นหนี้ใกล้เคียงกัน คือ จาก 116,585 เป็น 116,681 บาทต่อครัวเรือน และจำนวน หนี้สินต่อรายได้ลดลงร้อยละ 4.5 จากคุณ : Clean Gas - [ 21 มี.ค. 52 03:49:28 A:unknown X:203.149.16.36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 น่าสงสาร คห.4 ชีวิตดันมาแย่ตอนคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความสุข จากคุณ : หนุ่มริมโขง - [ 21 มี.ค. 52 04:09:56 A:125.26.138.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 .... จากคุณ : a6mzero - [ 21 มี.ค. 52 07:11:42 A:192.168.0.17 X:129.94.177.55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หนี้สินต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจริง แต่หากจะเป็นการเพิ่มขึ้นก็เนื่องจาก การกู้เพื่อการลงทุน เพื่อการเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน จากคุณ : Vee&Cat ........................................................................................................................................ คุณVee&Cat ถ้าคุณกู้มาลงทุนแล้วมีหนี้มากกว่าเดิมผมว่าล้มเหลวนะครับ SME ที่ประสบความสำเร็จแบบข้อความที่ 3 มีน้อยจริงๆครับ ไม่งั้นหนี้คนไทยไม่เพิ่มเท่าตัวในช่วงสั้นๆ แค่ 4 ปีหรอกครับ SME ปกติมีจุดคืนทุนหลังจากกู้ไม่กี่เดือนครับ 2-3 เดือนก็น่าจะได้ทุนคืนแล้ว มากสุดก็ไม่ควรเกิน 1 ปี ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ครับ แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมไม่ได้ทุนคืนซะที แบบนี้รากหญ้าจะอยู่ดีกินดีขึ้นได้ไงครับ จะมีความสุขบนหนี้ที่เพิ่มขึ้นยังไง การแก้จนของทักษิณเรียกว่าประสบความสำเร็จหรอครับ เพราะตัวเลขที่สะท้อนความจนจริงๆไม่ใช่ GDP เพราะ GDP เอาภาคอุตสาหกรรมาบวกเข้าไปด้วย ตัวเลขที่สะท้อนตรงๆเลยก็คือ หนี้ภาคประชาชน ผมถึงคิดว่าสมัยทักษิณล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้จน ในการช่วยรากหญ้าครับ จากคุณ : ดินเหนียวปนทราย - [ 21 มี.ค. 52 08:59:23 A:203.159.101.18 X:203.159.12.201 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เยี่ยมๆๆๆ เช็คยอดด้วย http://img160.imagevenue.com/img.php?image=31543_ZZZz_122_401lo.jpg จากคุณ : ลุงสรณ์ - [ 21 มี.ค. 52 09:00:44 A:125.24.51.98 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 1. (ตามรูป) เค้าเอามาแปะเป็นร้อยรอบแล้ว น่าจะเคยผ่านตาไปแล้ว ทักษิณกู้ แต่ไม่ได้กู้ต่างประเทศ อุตส่าหารูปหนี้ครัวเรือนมาได้ แต่หารูปและข้อมูลหนี้สาธารณะไม่ได้ 2. GDP มาจากทุกๆส่วนไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมหรือการเกษตร แต่ทักษิณรู้จักใช้เงินนโยบาย ทำให้รากหญ้ามีเงิน รากหญ้าโต คนรวยก็ขายของได้ คนชั้นกลางก็มีเงินเดือน bla...blaa... blaa... (เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป) 3. มองแค่ด้านเดียวอีกแล้ว หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น  แต่ไม่ได้มองรายได้ (ดู คห. 7) ความล้มเหลวของกองทุนหมู่บ้าน ไม่ใช่มองแค่ 20-30 หมู่บ้าน ต้องมองภาพรวม ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันมีกี่เปอร์เซ็นต์ และหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น กองทุนหมู่บ้านน่ะแค่นิดเดียวถ้าเทียบ ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม Bond ออกกันเพียบ ซึ่งจาก คห. 7 รายได้ต่อครัวเรือนมากกว่าหนี้สินค่อครัวเรือน และรายได้ต่อครัวเรือนมีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่า อัตราของหนี้สินค่อครัวเรือน แสดงให้เห็นว่าเค้ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ 4. ดู คห. 7 จากคุณ : KhongLen` - [ 21 มี.ค. 52 09:04:24 A:58.9.174.186 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 หนี้สาธารณะ คือ หนี้ที่รัฐบาลก่อขึ้น และต้องอาศัยเงินงบประมาณซึ่งได้มาจากภาษีอากรของประชาชนในการชำระหนี้คืน ประกอบไปด้วย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง (Government Debt) ซึ่งมีผลผูกพันต่อรัฐบาลในการชำระคืนจากงบประมาณแผ่นดินและเป็นภาระของประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีอากร หนี้รัฐวิสาหกิจ คือเงินกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน หรือเงินกู้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน ซึ่งรัฐวิสาหกิจได้มีบทบาทในการก่อหนี้เพื่อลงทุนในโครงการพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน คือเงินที่กู้เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงิน GDP คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ก็ประกอบไปด้วย ต้วเลขของ การบริโภค + การลงทุน + รํฐบาล ( เงินที่ทำการใช้จ่าย ) + ( การส่งออก - การนำเข้า ) เเค่คิดกิจกรรมที่ผลิตในประเทศเท่านั้น ถ้าอธิบายให้เข้าใจก็คือ มูลค่าสินค้าหรือบริการหน่วยสุดท้ายทีเกิดขึ้นในระยะเวลาหนี่งโดยไม่คำนึงว่าปัจจัยการผลิตจะเป็นของต่างชาติที่เข้ามาทำในประเทศ ก็ถือเป็น GDP เพราะผลิตในไทย ส่วน GNP คือ ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ คือมูลค่าสินค้าหรือบริการหน่วยสุดท้ายเเต่เราจะไม่คิดของต่างชาติที่ทำในประเทศไทย จะคิดเเต่ปัจจัยการผลิตที่เป็นของประเทศไม่ว่าจะผลิตในประเทศใด ถ้าเป็นปัจจัย/วัตถุดิบของเราก็จะคิดเข้ามา สรุป คือ GDP จะคิดมูลค่าสินค้า บริการหน่วยสุดท้าย ในระยะเวลาหนึ่ง ภายในประเทศเท่านั้น เพราะฉะนั้น จำนวนหนี้ กับ GDP จะแสดงถึงการลดหรือ เพิ่ม ของสัดส่วน ของ ภาระหนี้ กับ จำนวนผลิตภัณมวลรวมที่ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นที่เจ้าของกระทู้ ถามว่า หรือทักษิณกู้เงินหรือไม่  ก็ต้องตอบว่ากู้ครับ  แต่การจัดการเอาเงินกู้นั้นมาทำประโยชน์ เพื่อทำให้เกิดการลงทุน จะแสดงถึงศักยภาพการใช้เงิน และสภาพเศรษฐกิจ ของรัฐบาลด้วย เพราะฉะนั้น การที่สัดส่วนหนี้ต่อ GDP มีตัวเลขลดลง สื่อให้เห็นว่า การจัดการเงินของรัฐบาลทักษิณ ทำให้ สัดส่วน ของหนี้กับการเติบโตของประเทศดีขึ้นครับ จากคุณ : rockaun - [ 21 มี.ค. 52 09:57:49 A:124.120.67.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 คำตอบต่างๆมันไม่คอยชัด ขอเน้นๆตรงๆ พร้อมคำอธิบายที่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักหน่อยนะครับ คนรากหญ้า ชาวบ้าน รวยขึ้น อยู่ดีกินดีขึ้น หรือไม่ ในช่วงรัฐบาลทักษิณ (ข้อนี้สำคัญสุดแล้ว) ขอเน้นๆนะครับว่า รวยหรือจน ขึ้นอย่างไร ถ้ารวยขึ้นทำไมหนี้มากขึ้น เอาให้ดูอีกตาราง หนี้/รายได้ปี 41 = 5.58 หนี้/รายได้ปี 42 = 5.63 หนี้/รายได้ปี 43 = 5.63 หนี้/รายได้ปี 44 = 5.60 หนี้/รายได้ปี 45 = 6.00 (รายได้เพิ่ม12.7% หนี้เพิ่ม 20.8%) **ทักษิณเข้ามาได้1ปี หนี้/รายได้ปี 47 = 7.11 (รายได้เพิ่ม  6.4% หนี้เพิ่ม 24%) หนี้/รายได้ปี 49 = 6.6 หนี้/รายได้ปี 50 = 6.3 จะเห็นว่ารายได้กับหนี้ไม่สัมพันธ์กัน หนี้เพิ่มมากกว่ารายได้ในยุคทักษิณครับ นั่นหมายความว่าคนไทยจนมากกว่าเดิมหรือไม่ครับ http://service.nso.go.th/nso/data/data05/eco01-12/chart_table/tab9-31.pdf http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/survey/socio_sum50.pdf แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 52 11:09:48 จากคุณ : ดินเหนียวปนทราย - [ 21 มี.ค. 52 11:06:17 A:192.168.0.17 X:203.159.101.18, 203.159.36.13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #14 ถ้าถามผมว่า..คนรากหญ้า ชาวบ้าน รวยขึ้น อยู่ดีกินดีขึ้น รวยขึ้นหรือไม่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ.. ก็ต้องตอบตามตรงว่า รวยขึ้นจริงครับ..ผมวัดจากตัวเองและคนรอบข้างนะครับ.. ยกตัวอย่างเช่น.. คนทำงานให้ผม ก่อนหน้านั้นรับค่าแรงเป็นรายวัน ช่วงเศรษฐกิจดี งานเข้ามากมาย ผมให้เค้ารับงานในฐานะผู้รับเหมาช่วง..ตัดรับเหมางานไปเป็นชิ้นๆไป.. เค้าก็ไปออกรถกระบะมาทำงาน เค้าก็ไปรับคนงานจากภูมิลำเนาของเค้ามาทำงาน ซื้อเครื่องมือเครื่องไม้เพื่อมาประกอบการทำงาน ก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะะบ่งบอกว่า ชีวิตแย่ลงในตอนนั้น.. ถ้าจะบอกว่า ความเป็นอยู่เค้าดีขึ้น รวยขึ้น ก็คงไม่ผิดนัก.. ส่วนรากหญ้า ชาวไร่ ชาวนา ชนบทห่างไกลนั้น.. ท่านไม่ต้องถามใครหรอกครับ ท่านลองดู ความรัก ความผูกพัน ของคนเหล่านั้น ที่มีต่อ อดีตนายกฯทักษิณ ดูเอาเองก็แล้วกันครับ..  ผมว่าดูเองได้ คำตอบอยู่ตรงนั้นอยู่แล้วครับ..!! จากคุณ : Vee&Cat - [ 21 มี.ค. 52 11:22:20 A:114.128.227.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 หนี้สินต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น ต้องถามว่าหนี้สินเหล่านั้นเค้าเอาไปทำอะไร หนี้สินนั้นเป็นหนี้สินระยะสั้น หรือ ระยะยาว ความสามารถในการชำระหนี้เป็นอย่างไร ชำระหนี้ต่อเดือนเท่าไหร่  รายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ ================================= แก้ไข ยกตัวอย่างครอบครัวผม ครอบครัวผมระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มีหนี้ 7 ล้านจากการซื้อบ้านมาสองหลัง ระยะเวลาชำระหนี้ 30 ปี หลังแรกราคา 3 ล้าน ชำระใกล้หมดแล้วเหลืออีก แสนเศษๆ   หลังที่ 2 พอดีเพิ่งซื้อมาได้แค่ 1 ปี ชำระไปแล้ว 5-6 แสนเหลืออีก 3 ล้านต้นๆ ครอบครัวผมสามารถผ่อนหนี้ได้หมดก่อนกำหนด ลักษณะแบบนี้คือ บ้านผมในช่วงก่อน 5 ปี ไม่มีหนี้สิน แต่ภายหลังได้เพิ่มหนี้สินต่อครัวเรือนให้มากขึ้น แต่ความสามารถในการชำระหนี้มีสูงอยู่ สามารถชำระหนี้ที่มีกำหนด 30 ปี ได้ในเวลา 5 ปี   ครอบครัวผมหลังจากชำระหนี้สินหมด ก็มีทรัพย์สินมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นหนี้แล้ว หลังจากชำระหนี้แล้วไม่มีทรัพยสินอะไรเลย แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 52 11:48:01 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 52 11:47:11 จากคุณ : KhongLen` - [ 21 มี.ค. 52 11:29:18 A:58.9.176.89 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 #10 คุณVee&Cat ถ้าคุณกู้มาลงทุนแล้วมีหนี้มากกว่าเดิมผมว่าล้มเหลวนะครับ SME ที่ประสบความสำเร็จแบบข้อความที่ 3 มีน้อยจริงๆครับ ไม่งั้นหนี้คนไทยไม่เพิ่มเท่าตัวในช่วงสั้นๆ แค่ 4 ปีหรอกครับ SME ปกติมีจุดคืนทุนหลังจากกู้ไม่กี่เดือนครับ 2-3 เดือนก็น่าจะได้ทุนคืนแล้ว มากสุดก็ไม่ควรเกิน 1 ปี ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ครับ แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมไม่ได้ทุนคืนซะที แบบนี้รากหญ้าจะอยู่ดีกินดีขึ้นได้ไงครับ จะมีความสุขบนหนี้ที่เพิ่มขึ้นยังไง การแก้จนของทักษิณเรียกว่าประสบความสำเร็จหรอครับ เพราะตัวเลขที่สะท้อนความจนจริงๆไม่ใช่ GDP เพราะ GDP เอาภาคอุตสาหกรรมาบวกเข้าไปด้วย ตัวเลขที่สะท้อนตรงๆเลยก็คือ หนี้ภาคประชาชน ผมถึงคิดว่าสมัยทักษิณล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้จน ในการช่วยรากหญ้าครับ ^ ^ ^โอ้...ขออภัยนะครับ ทำธุรกิจคืนทุนใน2-3เดือนถึง1ปี มีด้วยเหรอครับ ขายอะไรครับ ยากมากนะครับ ทำมาค้าขายกว่าจะตั้งลำได้ ยิ่งรายย่อย รายเล็ก กว่าจะมีคนรู้จัก กว่าจะดึงลูกค้าได้ ใช้เวลานานนับปีแล้วครับ ระยะเวลานี้ล่ะที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ไหว ทุนหมด  อย่าพูดเอาง่ายๆครับ เคยลองทำรึยังครับ แล้วถ้าคนระดับล่าง คนระดับกลางลงมา ชีวิตการงานเขาดีขึ้น เขาก็อยากได้บ้านหลังเล็กๆเพื่อครอบครัว มันก็ต้องเป็นหนี้ครับ ต้องผ่อนเอา คนที่มีมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ ปู่ย่าสร้างไว้ให้ ไม่เข้าใจหรอกครับ แม้แต่รถยนต์ที่คนทั่วไปมี ไว้พาครอบครัวกันแดด กันฝน เดินทางอย่างมีความสุข มันก็ไม่ผิดครับ ถ้าเขาทำมาหากินได้ การเป็นหนี้แบบนี้เขาผิดเหรอครับ มุนษย์เหมือนกันนะครับ หัดมองคนให้เป็นคนเถอะครับ การเป็นหนี้บางอย่าง มันก็ไม่เลวไปหมดหรอกครับ ถ้าศก.ดี คนทำมาหากินได้ คนที่มีสมบัติมากมายไม่เข้าใจและมักจะดูถูกดูแคลนว่าคนจน ไม่เจียมตัว   การที่เอะอะโทษอะไรเหมาไปหมด มันไม่มีเหตุผลครับ ต้องมองให้ละเอียด แยกแยะ ใช้อคติอย่างเดียว มันไม่ยุติธรรมครับ จากคุณ : เถ้าแก่น้อย - [ 21 มี.ค. 52 11:30:11 A:114.128.144.208 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 #จขกท ....อันดับแรก คุณต้องมอง context ของการแก้ปัญหาก่อน คือหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง และรัฐบาลชวนเข้ามามุ่งก็แก้ปัญหาสถาบันการเงินอย่างเดียว เลยขาดการใช้นโยบายการคลังแก้นโยบายเศรษฐกิจ ทำให้ GDP ติดลบไปหนักถึง 10 กว่า% เศรษฐกิจยังโงหัวไม่ขึ้น เพราะแก้ไม่ถูกจุด ถึงแม้ในปลายรัฐบาลชวน GDP เริ่มมาเป็นบวก แต่นัยสำคัญมาจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก ....ทักษิณ เข้ามาปี 44 ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ โดยเน้นการคลัง มากกว่าการเงิน(ธนาคารอ่อนเปลี้ยไปหมดคงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ(SFI) ของรัฐ เรียกมาตรการกึ่งการคลัง(QFM) และ topping นโยบายด้วย dual track พัฒนากลไกการส่งออกใหม่รวมทั้งหาตลาดใหม่นอกจากตลาดหลัก 13 ประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานรากและ SME ...จากจุดวิ่งปี 44 จนถึงสิ้นปี 49 มี output จากการวางแผนที่ดีหลายประการ    ...เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ(FR)เพิ่มจากสมัยชวน ที่ระดับสามหมื่นล้าน เป็นเกือบแสนล้าน   ...มูลค่า GDP เกือบ 9 ล้านล้านบาท   ...หนี้สาธารณะ/GDP ลดลง 10 กว่า% (เป็นไปตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ PD/GDP <50%)   ...ภาระหนี้ต่องบประมาณต่ำกว่า 15% (ครั้งแรก)   ...จัดงบประมาณสมดุลได้ในปี 48(ครั้งแรก)   ...เกินดุลการคลังครั้งแรกในปี 46(ตามเอกสารงบประมาณ) และมีอีกอย่างมิติทางด้านการพัฒนาด้านการคลังของประเทศที่รัฐบาลคุณทักษิณทำไว้ -----------------------ขอ COPY มาตอบจะเผื่อ จขกท จะเข้าใจถูกต้อง-------- 1 ทักษิณกู้เงินจริงไหม ถ้าไม่กู้ทำไมหนี้เพิ่มขึ้นจาก 2,804,278.83 ล้าน---> 3.23 ล้านล้านบาท - คุณ Devil_electric พยายามไม่ตอบตรงๆ แต่บอกว่าประเทศไทยดีขึ้นรวยขึ้น เพราะเทียบต่อ GDP แต่สรุปก็คือ ทักษิณกู้เงินใช่ไหมครับ >>>>>ถึงแม้รัฐบาลมีรายได้เข้ามามากจนสามารถทำงบประมาณรายจ่ายแบบสมดุลได้ แต่การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศยังมีความจำเป็นมาก ดังนั้นพวกรัฐวิสาหกิจ ทั้งไฟฟ้า ปะปา ระบบขนส่ง ถนนหนทาง โทรคมนาคมสื่อสาร จะต้องมีการกู้ยืมเงินมาลงทุน โดยมีรัฐบาลค้ำปะกัน(เกิดหนี้สาธารณะ) แต่มี fiscal rule ห้ามเกิน 50% ของ GDP 2 GDP ที่เพิ่มขึ้นเพราะภาคอุตสาหกรรมหรือรากหญ้า >>>โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ว่าก่อนทักษิณ หรือวันนี้ ก็แบ่งง่ายๆ คือภาคเกษตรมีส่วนใน GDP 10%  ส่วนที่เหลือ 90% ก็เป็นนอกภาคเกษตร แต่สิ่งที่สำคัญคือภาค SME ซึ่งร้อย 80% เป็นเศรษฐกิจฐานรากรากนั้น ปรากฎว่าในยุครัฐบาลทักษิณใช้ SFI ทั้งธนาคารหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน กองทุนหมู่บ้านชุมชนเมือง แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ทำให้ SME(ขนาดย่อมและกลาง) มีมูลค่าเพิ่มจาก 1.8 ล้านๆบาท เป็น 3.04 ล้านๆบาท  และที่สำคัญ หนี้ NPL อยู่ที่ 9%(ต่ำกว่าระบบธนาคารทั่วไปที่ 13%) และโดยเฉพาะกองทุนหมู่บ้านอยู่ที่ 4% เท่านั้น 3 หนี้ภาคประชาชนเพิ่มเพราะความล้มเหลวของกองทุนหมู่บ้านหรือไม่ ล้มเหลวเพราะการปล่อยสิ้นเชื้อโดยไม่มีแผนธุรกิจหรือไม่ ทำไมพุ่งเฉพาะช่วงรัฐบาลทักษิณครับ - คุณ Devil_electric ให้เปิดหัวข้อใหม่ ผมอยากได้ความรู้เพิ่มเลย ตั้งถามครับ >>>>ไม่มีเอกสาร งานวิจัยชิ้นใดที่บอกว่ากองทุนหมู่บ้านล้มเหลว(ดูในข้อ 2) และอีกอย่าง สมการง่ายๆ ระดับเด็กประถมก็รู้ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน+ทุนของเจ้าของ  เมื่อมีหนี้สินในกิจกรรมทางเศรษฐกิจผลสุดท้ายก็กลายเป็นสินทรัพย์นั่นเอง ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ตึกอาคารพาณิชย์ ผ่อนหมดก็เป็นสินทรัพย์ของเรา แต่ทั้งหลายทั้งปวงมันขึ้นกับโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้ 4 คนรากหญ้า ชาวบ้าน รวยขึ้น อยู่ดีกินดีขึ้น หรือไม่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ >>>คุณต้องไปถามรากหญ้าเอาเอง มีงานวิจัย ทั้งภาคสังคม เศรษฐกิจ ปรากฏตามห้องสมุดมากมาย อย่าไปเพียงแต่ไปเชื่ิอสำนักข่าวล้าน บางนา พวกนั้นบทบรรณาธิการเรื่องเศรษฐกิจมันมีแต่ความรู้สึกเขียนกัน ขาด knowledge ที่แท้จริง บางทีไปลอกเขามาขาด main idea จากคุณ : NYC (dendrite) - [ 21 มี.ค. 52 11:36:33 A:192.168.0.17 X:125.26.214.225 ]

ความคิดเห็นที่ 19 #15 นั่นความรู้สึกครับ #16 นั่นตัวคุณ เป็นแค่กรณีเดียว ขอข้อมูลเป็นตัวเลข ที่มองเห็นภาพรวมได้ไหมครับ #17 โอ้...ขออภัยนะครับ ทำธุรกิจคืนทุนใน2-3เดือนถึง1ปี มีด้วยเหรอครับ ขายอะไรครับ จากคุณ : เถ้าแก่น้อย ธุรกิจขนาดเล็กต้องคืนทุนเร็วครับ ไม่งั้นก็ไม่คุ้ม ถ้าลงทุน 10,000บาทไปทำร้านก๊วยเตี๋ยว(รถเข็น) คุณกำไรอย่างต่ำ 5000บาท 2เดือนก็คืนทุนแล้วครับ ไม่เช่นนั้น คุณมาสมัครงานใน กทม ดีกว่าได้เงินเดือน5000เหมือนกัน ไม่มีความเสี่ยงด้วย(ค่าแรงขั้นต่ำวันล่ะ100กว่าบาท จำตัวเลขไม่ได้) อีกเรื่อง ผมมองแบบตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว(ไม่ได้ใส่อคติใดๆเลย) คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้นจริงๆในรัฐบาลทักษิณ รายได้ที่เพิ่มก็ไม่สัมพันธ์กับหนี้ที่เพิ่มด้วย ............................................ #18 ผมไม่เชื่อว่าหนี้เสียของกองทุนหมู่บ้านอยู่ที่ 4% ปล่อยกู้โดยไม่มีสินเชื่อหนี้เสียต้องเยอะกว่าธนาคารอยู่แล้วครับ http://news.sanook.com/economic/economic_296461.php นายโรเบิร์ต ทาวน์เซ่น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา เปิดเผยถึงงานวิจัยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามนโยบายรัฐบาลว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้มีการนำเงินไปลงทุนในภาคเกษตรหรือธุรกิจต่อเนื่องตามเป้าหมายของโครงการ แต่เป็นการกู้เงินเพื่อนำไปใช้ในการบริโภคเสียส่วนมาก โดยรายจ่ายหลักคือการซ่อมแซมบ้าน ซ่อมแซมรถ ซื้อน้ำมันรถ นม เหล้าและบุหรี่ โดยตั้งแต่มีเงินกู้จากโครงการกองทุนหมู่บ้านเข้าไปทำให้เงินกู้นอกระบบและเงินกู้จากสถาบันการเงินขยายตัวตามไปด้วย ส่วนหนึ่งเกิดจากต้องนำเงินมาใช้คืนกองทุนฯ และผลจากการตรวจสอบของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ ก่อนปล่อยกู้ทำให้สถาบันการเงินปล่อยเงินกู้มากขึ้นเพราะถือว่าผ่านการตรวจสอบมาแล้วชั้นหนึ่ง ที่สำคัญยังทำให้ดอกเบี้ยทั้งในส่วนของเงินกู้นอกระบบและสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่สินทรัพย์ในครัวเรือนกลับลดลงเพราะการกู้ที่ได้มาง่ายขึ้นไม่จำเป็นต้องมีสินทรัพย์เพื่อประกันความเสี่ยงต่อไป อย่างไรก็ดีรายได้ครอบครัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้มาจากการลงทุนด้านการเกษตรยกเว้นลงทุนปลูกข้าว แต่มาจากรายรับนอกภาคเกษตร การรับจ้าง ส่งผลให้ค่าแรงในภาคชนบทเติบโตขึ้น ขณะที่หนี้เสียมีการผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือนเพิ่ม 19% ต่างจากตัวเลขสถาบันการเงินรัฐที่ระบุไว้ 4% นางแอนนา พอลสัน นักวิจัยจากธนาคารกลางสหรัฐ สาขาชิคาโก วิจัยเรื่องผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีก่อนวิกฤตปี 40 และหลังวิกฤตแตกต่างกันอย่างไร กล่าวว่า ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีหลังปี 40 มีทักษะทางธุรกิจน้อยกว่าก่อนวิกฤต พิจารณาจากเงินลงทุนในกิจการต่างๆ น้อยกว่ามาก ระยะเวลาการทำธุรกิจก่อนวิกฤตจะยาวนานกว่า เนื่องจากหลังวิกฤตค่าแรงเพิ่มมีการทิ้งธุรกิจส่วนตัวหันมารับจ้างกันเป็นส่วนมาก ส่วนข้อ4 ที่คุณตอบว่าความเป็นอยู่ดีขึ้นหรือไม่รวยขึ้นไหม ผมไม่ต้องถามรากหญ้าหรอกครับ ถึงถามก็ได้แค่กลุ่มเล็กๆ ไม่สะท้อนทั้งหมด ดูง่ายๆตรงๆจาก รายได้ที่หาได้ กับ หนี้ที่เพิ่มขึ้นได้ ถ้ารวยขึ้นหนี้ต้องลดลงสิครับ หรือถ้าไม่ลด สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ก็ควรลดลง แล้วมีรายงานการวิจัยไหนที่บอกว่ารากหญ้ารวยขึ้นบ้างครับ ขอด้วยครับ จากคุณ : ดินเหนียวปนทราย - [ 21 มี.ค. 52 12:39:13 A:192.168.0.17 X:203.159.101.18, 203.159.36.13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 #19 #17 โอ้...ขออภัยนะครับ ทำธุรกิจคืนทุนใน2-3เดือนถึง1ปี มีด้วยเหรอครับ ขายอะไรครับ จากคุณ : เถ้าแก่น้อย ธุรกิจขนาดเล็กต้องคืนทุนเร็วครับ ไม่งั้นก็ไม่คุ้ม ถ้าลงทุน 10,000บาทไปทำร้านก๊วยเตี๋ยว(รถเข็น) คุณกำไรอย่างต่ำ 5000บาท 2เดือนก็คืนทุนแล้วครับ ไม่เช่นนั้น คุณมาสมัครงานใน กทม ดีกว่าได้เงินเดือน5000เหมือนกัน ไม่มีความเสี่ยงด้วย(ค่าแรงขั้นต่ำวันล่ะ100กว่าบาท จำตัวเลขไม่ได้) อีกเรื่อง ผมมองแบบตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว(ไม่ได้ใส่อคติใดๆเลย) คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้นจริงๆในรัฐบาลทักษิณ รายได้ที่เพิ่มก็ไม่สัมพันธ์กับหนี้ที่เพิ่มด้วย ............................................ ^ ^ ^ผมว่าคุณไม่เคยทำธุรกิจครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆแฟรนชายด์ เช่าหน้าร้านเขา(ยังไม่ต้องเช่าร้านนะ ไม่ไหว) อย่างน้อยต้องมี5หมื่นอัพ เงินลงทุน เงินหมุนเวียน แล้วกว่าจะเรียกลูกค้าได้ ต้องใช้เวลาหลายเดือน แค่ก๋วยเตี๋ยวมันดูง่ายไป ยังมีธุรกิจการค้าอีกนับร้อย นับพันชนิด ที่ยากกว่า เงินลงทุนมากกว่า อย่ามองอะไรผิวเผินว่า"แค่ขายของ"ง่ายๆครับ แล้วที่ว่าคืนทุนเร็วขนาดนั้น ไม่มีหรอกครับ การค้าสมัยนี้แข่งขันสูง ต้องมีเงินทุน ฝีมือ ความอนทน มีวินัยการใช้จ่าย แล้วถ้าบอกกำไรแค่ไม่กี่พันให้เลิกทำเหรอครับ ทำไมคิดสั้นจัง ถ้าคิดแค่นั้นคงไปไม่รอดหรอกครับ   กว่าจะมีบ้านมีรถ มีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องใช้เวลาหลายปี ถ้าคิดสั้นๆไม่อดทน ไปไม่รอดหรอกครับ ลูกจ้างกับผู้ประกอบการคิดคนละอย่างกัน จากคุณ : เถ้าแก่น้อย - [ 21 มี.ค. 52 13:07:27 A:114.128.144.208 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณความเห็นที่ 19 #15 นั่นความรู้สึกครับ เอ้าแล้วตกลงที่คุณถามที่คุณสงสัย มันยังไงเล่าครับ คุณถามว่า "คนรากหญ้า ชาวบ้าน รวยขึ้น อยู่ดีกินดีขึ้น หรือไม่ ในช่วงรัฐบาลทักษิณ (ข้อนี้สำคัญสุดแล้ว)" ในความเห็นที่ 14 ผมก็ตอบให้ ยกตัวอย่างให้ คุณกลับมานั่นเป็นความรู้สึก แล้ว ตกลงคุณจะให้ผมเอาอะไรวัดล่ะครับนั่น.. ตัวเลข ก็ไม่เอา ความรู้สึกก็ไม่เอา ตกลงคุณ อยากได้ยังไงครับ..  ข้อมูลที่ผมยกตัวอย่าง ไม่โคมลอยนะครับ มีอยู่จริง สามารถตรวจสอบได้ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงเวลานั้นทุกประการครับ.. ความรู้สึก ก็ไม่เอา.. ตัวเลข ก็ไม่เอา.. ไม่ถูกใจไม่เข้าใจ.. งั้นเอาเป็นว่า ทักษิณ กู้เงิน เหมือน อภิสิทธิ์.. แค่นี้จบสั้นๆ ถูกใจไหมครับ จัดให้ 555+++ จากคุณ : Vee&Cat - [ 21 มี.ค. 52 13:10:10 A:114.128.227.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผมแค่ต้องการ ยกตัวอย่างในมุมนึงแค่นั้นครับ ว่ามันมีอีกหลายๆด้าน ไม่ใช่มีแค่ด้านเสียด้านเดียว เพียงแต่คุณก็ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเอง และใช้วิจารณญาณของคุณ ตามข้างล่าง v v v =============================== หนี้สินต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น ต้องถามว่าหนี้สินเหล่านั้นเค้าเอาไปทำอะไร หนี้สินนั้นเป็นหนี้สินระยะสั้น หรือ ระยะยาว ความสามารถในการชำระหนี้เป็นอย่างไร ชำระหนี้ต่อเดือนเท่าไหร่  รายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ จากคุณ : KhongLen` - [ 21 มี.ค. 52 13:20:39 A:58.9.176.89 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 แหล่งเงินกู้ และ แนวโน้มการถือครองทรัพย์สิน จากคุณ : KhongLen` - [ 21 มี.ค. 52 13:21:26 A:58.9.176.89 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 #19 "ส่วนข้อ4 ที่คุณตอบว่าความเป็นอยู่ดีขึ้นหรือไม่รวยขึ้นไหม ผมไม่ต้องถามรากหญ้าหรอกครับ ถึงถามก็ได้แค่กลุ่มเล็กๆ ไม่สะท้อนทั้งหมด ดูง่ายๆตรงๆจาก รายได้ที่หาได้ กับ หนี้ที่เพิ่มขึ้นได้ ถ้ารวยขึ้นหนี้ต้องลดลงสิครับ หรือถ้าไม่ลด สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ก็ควรลดลง แล้วมีรายงานการวิจัยไหนที่บอกว่ารากหญ้ารวยขึ้นบ้างครับ ขอด้วยครับ" . . .  ถ้ารวยขึ้น หนี้ต้องลด "รวย"ขึ้นหนี้ต้องลด คำว่ารวยนี้ใช่ไม่ได้นะครับ คนรวยหลายปีก่อน ผู้รู้บอกต้องมีทรัพย์สินเกิน20ล้าน ถึงจะเรียกว่ารวย ต่ำกว่านั้นไม่ถือว่ารวย แล้วถ้าบอกว่าหนี้ต่อรายได้ สัดส่วนต้องลดลง อ้าวว....ถ้างั้นคมีรายได้แค่หลักพัน หลักหมื่น ผ่อนบ้านทาวเฮ้าท์เล็กๆ(เดี๋ยวเป็นล้านแล้วนะ)  ผ่อนเดือน4-5พัน แบบนี้ ถือว่าเป็นหนี้เกินตัวมั้ยครับ (ใครๆก็อยากมีบ้านนะครับ)เพราะเช่าก็3,000อัพแล้ว ต้องมองให้ลึก ว่าหนี้ก้อนใหญ่ ตัวเลขมากๆ เป็นหนี้อะไร ผมเบื่อมาก ที่ได้ยินว่าพวกรากหญ้า เอาเงินไปซื้อมือถือ ซื้อมอไซร์ ...ฯลฯ สมัยรบ.ทรท.ประชาชนมีความมั่นใจมาก บ้านช่องสร้างขายแทบไม่ทัน คนมั่นใจ กล้าซื้อ กล้าผ่อน บ้านหลักนึงมันสร้างธุรกิจต่อเนื่องมหาศาล ศก.จึงโตขึ้นมากไงครับ สร้างงานได้มากมาย เงินหมุนไปทั่วระบบ ถ้ามาทำลายบรรยากาศ ทำลายความเชื่อมั่นเสียแล้ว อะไรก็เสียหมดล่ะครับ มองโลกในแง่ดี มาสร้างสรรค์กันดีกว่า มานั่งแบ่งชนชั้น รากหญ้า ชั้นกลาง ชั้นบน เพื่ออะไร? จากคุณ : เถ้าแก่น้อย - [ 21 มี.ค. 52 13:21:52 A:114.128.144.208 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่มา :  http://poverty.nesdb.go.th/poverty_new/doc/NESDB/wanchat_20060130073545.pdf จากคุณ : KhongLen` - [ 21 มี.ค. 52 13:22:09 A:58.9.176.89 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 จากความเห็นที่ 19.. รายได้ที่หาได้ กับ หนี้ที่เพิ่มขึ้นได้ ถ้ารวยขึ้นหนี้ต้องลดลงสิครับ หรือถ้าไม่ลด "สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ก็ควรลดลง" แล้วมีรายงานการวิจัยไหนที่บอกว่ารากหญ้ารวยขึ้นบ้างครับ ขอด้วยครับ ----------------------------------------------------------------------------- คุณกำลังสัปสนอะไรหรือเปล่าครับ.. สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ก็ควรลดลง ก็ใช่ไงครับ..ลดลงทุกปี จาก 2544-2548 ปี 2547 (ทักษิณ 1) หนี้สาธารณะ 3,126,554.16 ล้านบาท GDP 6,576,834 ล้านบาท หนี้สาธารณะ/GDP (ร้อยละ) = 47.54 ปี 2548 (ก.ค. ทักษิณ 2) หนี้สาธารณะ 3.23 ล้านล้านบาท GDP 7.13 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะ/GDP (ร้อยละ) = 45.27 (ต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี) ----------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : Vee&Cat - [ 21 มี.ค. 52 13:23:59 A:114.128.227.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 ภาวะหนี้ครัวเรือนไทย (ตอนที่ 1) http://www.scb.co.th/LIB/th/article/mof/mof4807-1.html http://www.scb.co.th/LIB/th/article/mof/data/4807-1.pdf ภาวะหนี้ครัวเรือนไทย (ตอนที่ 2) http://www.scb.co.th/LIB/th/article/mof/mof4807-2.html http://www.scb.co.th/LIB/th/article/mof/data/4807-2.pdf ==================================== ลองอ่านแล้วพิจารณาดูครับ จากคุณ : KhongLen` - [ 21 มี.ค. 52 13:26:27 A:58.9.176.89 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 ลองไปหาข้อมูล บัตรเครดิต แต่ละปีมาเทียบกันก็จะรู้ เหตุผลที่คุณจากคุณ : Clean Gas อธิบาย จากคุณ : goken - [ 21 มี.ค. 52 13:41:22 A:124.121.77.45 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 #จขกท ....คงขอทำความเข้าใจกับคุณดังนี้นะ ....คุณไม่ได้นำข้อมูล สารสนเทศ ที่คุณได้รวบรวมมา แต่มาขอเอาข้างหน้าจากคนอื่น มันจะเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้อย่างไร ....เมื่อข้อมูลคุณไม่พร้อม หรือไม่มี คุณก็ขาดตรงนี้ไป ดังนั้นหลังจากที่อ่านความคิดเห็นของคุณจะพบว่า tacit knowledge ที่คุณมีน้อยมาก ....จึงอยากให้คุณไปหาข้อมูลที่ compile มาเพื่อนำมาสู่หัวข้อสนทนาแลกเปลี่ยน คิดว่า ทุกคนในราชดำเนินยินดีมาแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว ....ข้อมูลที่คุณยกมา ใน #คห 19 นั้น คุณคิดหรือว่าเขารายงานหมด งานวิจัยชิ้นนี้ sponsor โดยใคร และเขาตั้ง assumption การวิจัยอย่างไร procedure ในการเก็บข้อมูลอย่างไร และงานวิจัยชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ใน international paper และ/หรือ เคยนำเสนอในระดับ inter-conference หรือไม่ และมีเพียงงานวิจัยเดียวหรือไม่ ....การวิจัยชิ้นเดียวไม่สามารถ prove ถึงความแม่นยำในระดับ methodology ได้หรอก เป็นเพียงแค่ reference งานวิจัยชิ้นต่อไปเท่านั้น ....จริงๆ ไม่ได้อ่าน full paper งานวิจัยนี้ เคยแค่อ่านจากข่าวปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าเขากล่าวถึงเงินกองทุนที่เพิ่มขึ้นสามหมื่นกว่าล้านหรือไม่ เขาได้พูดถึงโอกาส(OGF degree)ของคนระดับรากหญ้าที่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการประกอบอาชีพหรือไม่  เขากล่าวถึงพัฒนาการจากกองทุนหมู่บ้านจำนวน 6หมื่นแปดพันกองทุน เป็นธนาคารหมู่บ้านที่เกิดขึ้น 449 ธนาคารหรือไม่ ....และคิดว่า การวัดสัดส่วนหนี้/สินทรัพย์ จขกท ยังไม่เข้าใจการวัดการเปรียบเทียบแบบ absolute ทางเศรษฐศาสตร์ และมีหลายท่านตอบง่ายๆ ได้ดี คิดว่า จขกท น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก จากคุณ : NYC (dendrite) - [ 21 มี.ค. 52 13:46:44 A:125.26.214.225 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 - คุณ Devil_electric พยายามไม่ตอบตรงๆ แต่บอกว่าประเทศไทยดีขึ้นรวยขึ้น เพราะเทียบต่อ GDP แต่สรุปก็คือ ทักษิณกู้เงินใช่ไหมครับ ----------------------- สมัยทักษิณมีการกู้จริงครับและผลของการกู้ก็คือสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยสามารถดูได้จากการจัดเก็บของรัฐครับ เคยมีคนตอบไว้ชัดเจนแล้วก็ขออนุญาตเอามาลงนะครับ ในปี 43  รายได้ภาครัฐฯ   =  8.18  แสนล้านบาท.. ในปี 44  รายได้ภาครัฐฯ   =  8.75  แสนล้านบาท.. ในปี 45  รายได้ภาครัฐฯ   =  9.59  แสนล้านบาท.. ในปี 46  รายได้ภาครัฐฯ   =  11.05  แสนล้านบาท.. ในปี 47  รายได้ภาครัฐฯ   =  12.90  แสนล้านบาท.. ในปี 48  รายได้ภาครัฐฯ   =  14.74  แสนล้านบาท..(มากขึ้นเกือบเป็น 2 เท่า ของปี 43) ---------------- ตัวเลข"ผลดี".. แค่เฉพาะในเรื่อง"งบประมาณแผ่นดินฯ"นี้.. ลองเทียบกับ"ยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้น 4.8 แสนล้านบาท ดูละกันครับ.. . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน  - [ 3 ส.ค. 49 13:34:37 ] จากคุณ : Casper (ผีน่ารัก) - [ 21 มี.ค. 52 16:21:13 A:222.123.3.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 2 GDP ที่เพิ่มขึ้นเพราะภาคอุตสาหกรรมหรือรากหญ้า -------------------------- ทั้ง 2 อย่างประกอบกันครับ ผู้ผลิต ผลิตสินค้าออกมาผู้บริโภคไม่ซื้อก็เจ๊งเป็นลูกโซ่ เขาถึงมีดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไว้ให้ผู้เกี่ยวข้องวิเคราะห์วางแผนไงครับ (ถ้าว่างก็ไปค้นดูดัชนีผู้บริโภคดูนะครับว่าสมัยไหนผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากที่สุดก็สมัยนั้นแหละครับที่เป็นช่วงเศรษฐกิจดี....) ระบบมันเกื้อหนุนพึ่งพิงกันอยู่ครับจะขาดอะไรไปไม่ได้ การที่คุณถามว่าจีดีพีเพิ่มขึ้นเพราะรากหญ้าหรืออุตสาหกรรม มันก็ไม่ต่างกับที่คุณไปถามหมอว่าคุณมีชีวิตอยู่ได้เพราะปอดหรือตับนั่นแหละครับ.... จากคุณ : Casper (ผีน่ารัก) - [ 21 มี.ค. 52 16:40:21 A:222.123.3.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 3 หนี้ภาคประชาชนเพิ่มเพราะความล้มเหลวของกองทุนหมู่บ้านหรือไม่ ล้มเหลวเพราะการปล่อยสิ้นเชื้อโดยไม่มีแผนธุรกิจหรือไม่ ทำไมพุ่งเฉพาะช่วงรัฐบาลทักษิณครับ - คุณ Devil_electric ให้เปิดหัวข้อใหม่ ผมอยากได้ความรู้เพิ่มเลย ตั้งถามครับ ---------------------------------- คุณ KhongLen`ตอบชัดเจนแล้วครับไม่มีอะไรเพิ่มเติม 4 คนรากหญ้า ชาวบ้าน รวยขึ้น อยู่ดีกินดีขึ้น หรือไม่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ ------------------------------ อยู่ดีกินดีจริงครับ ตัวเลขคนจนลดลงจากปี 2543 คนจนมีประมาณ 12 ล้าน ก็ลดลงมาเหลือ 6 ล้านคนในปี 2547 จากคุณ : Casper (ผีน่ารัก) - [ 21 มี.ค. 52 17:11:36 A:222.123.108.214 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 โอ้วไปเชงเม้งหน่อย มีหลายท่านมาตอบคำถามให้ครบถ้วนเลย แท้งกิ้วหลายคับท่าน จากคุณ : Devil_electric - [ 21 มี.ค. 52 22:39:15 A:192.168.0.17 X:58.64.64.167 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อคนเริ่มมีเงินก็ย่อมจะนำเงินไปซื้อ สินค้าที่มีราคาสูงขึ้นและส่วนมาก สินค้าที่มีราคาสูงก็มักจะเป็นสินค้าที่สามารถชำระโดยการผ่อนได้ เมื่อคนซื้อสินค้าเงินผ่อน ย่อมทำให้มีหนี้ที่เกิดจากการค้างชำระเกิดขึ้น ลองเทียบดูสิ หนี้เพิ่มเท่าไหร่ แล้ว GDP เพิ่มเท่าไหร่ หนี้สาธารณะ/GDP (ร้อยละ) = 56.22 ปี 2543 (ชวน) หนี้สาธารณะ 2,804,278.83 ล้านบาท GDP 4,922,731.00 ล้านบาท ปี 2548 (ก.ค. ทักษิณ 2) หนี้สาธารณะ 3.23 ล้านล้านบาท GDP 7.13 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะ/GDP (ร้อยละ) = 45.27 (ต่ำที่สุดในรอบ 7 ปี) หนี้   3,23 - 2.80 = เพิ่มขึ้นเพียง 0.43 ล้านล้านบาท ในขณะที่ GDP  7.13 - 4.92 = เพิ่มขึ้น  2.21 ล้านล้านบาท   ดูแค่นี้ก็น่าจะเข้าใจแล้วนะ จากคุณ : Jenova7th - [ 23 มี.ค. 52 17:11:22 A:192.168.0.17 X:124.121.207.61 ]