แม้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะออกมาปฏิเสธการแฉโพยของ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี ผู้เข้าร่วมการนัดสนทนาและรับประทานอาหาร ร่วมกันระหว่างองคมนตรี ประธานศาลต่างๆ และนักวิชาการฝ่ายพันธมิตร ที่บ้านของ นาย ปีย์ มาลากุล ว่ามิได้เป็นการคุยเรื่อง รัฐประหาร แต่เป็นการคุยในประเด็นเรื่อง ตุลาการภิวัฒน์
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามมาหลังจากนั้น ก็คือ การเลือกตั้ง ๒ เม.ย. ๒๕๔๙ กลายเป็นโมฆะ กกต. ชุดที่แล้วถูกจับเข้าคุก เกิดการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรจนนำไปสู่การรัฐประหาร ตามมาด้วยการยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคจำนวน ๑๑๑ คน(โดยใช้กฎหมายเพิ่มโทษย้อนหลัง) ฯลฯ
ดังนั้นแม้การที่ พล.อ. พัลลภ จะให้ นิยาม การนัดพบกันดังกล่าวว่าเป็น การประชุม เพื่อ การรัฐประหาร โค่นล้ม รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ส่วน พล.อ. สุรยุทธ จะให้ นิยาม ว่าเป็น การนัดรับประทานอาหาร เพื่อคุยเรื่อง ตุลาการภิวัฒน์ ก็ล้วนส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่ตามมาตรงกัน ก็คือ มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในวันที่ ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ โดยเป็นการรัฐประหารที่ได้มีการนำ ตุลาการ มาใช้งานเพื่อ การล้มล้างทำลายพรรคการเมือง และมี การไล่ล่าดำเนินคดีกับนักการเมือง โดยอาศัยอำนาจตาม ประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหาร และ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.๒๕๔๙
หลังจากนั้นกระบวนการนำ ตุลาการ มาใช้งานยังต่อเนื่องไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งในหลายมาตรามีความเกี่ยวพันกับประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๔๙ อันเป็นที่มาของ องค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ ที่ลักลั่นเนื่องจาก มิได้รับการโปรดเกล้า ได้แก่ กกต. และ ปปช. ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในการทำหน้าที่ว่ามีความโปร่งใส เที่ยงธรรม จริงหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการถูกตั้งคำถาม? แต่ ตุลาการภิวัฒน์ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปจนนำไปสู่การทำให้ นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากการกระทำซึ่งขัดต่อความหมายการเป็น ลูกจ้าง ตาม พจนานุกรม การยุบพรรคการเมือง ๓ พรรค ตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมือง ๑๐๙ คน โดยที่กระบวนการสืบพยานยังไม่ถึงที่สุด พร้อมกับการการอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นไปอย่างรีบร้อนฉุกละหุกภายใต้ความคุ้มครองจาก กำลังทหารจากป่าหวาย
ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้สรุปลำดับมาถึงขบวนการ ตุลาการภิวัฒน์ นั้น นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ในวงการนักวิชาการ นักกฏหมาย อย่างหนักหน่วงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก่อเกิดคำถามขึ้นมากมายเกี่ยวกับ กระบวนการยุติธรรม ใน ประเทศไทย
แต่แล้วเรื่องที่ องคมนตรี , ประธานศาล , นักวิชาการพันธมิตร นัดสนทนากันในหัวข้อ ตุลาการภิวิฒน์ ได้ แดง ขึ้นมานั้น ก็ได้ช่วยเฉลยในข้อสงสัยในเชิงวิชาการที่บรรดานักกฏหมาย นักวิชาการ ได้ตั้งคำถามขึ้น
ประเด็นคำถามที่สำคัญ ณ. ขณะปัจจุบัน คือ ตุลาการ หลายท่าน ได้แก่ นายอักขราทร จุฬาลักษณ์ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ นายจรัล ภักดีธนากุล ก็ยังคงดำรงตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อ ความน่าเชื่อถือ ใน กระบวนการยุติธรรม ในความรู้สึกของ ประชาชนในประเทศ และ ในประชาคมโลก
หากบุคคลทั้งสามยังคงอยู่ในตำแหน่ง ตุลาการภิวัฒน์ จะนำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาทางการเมืองอันนำไปสู่การยอมรับของประชาชน ทำให้บ้านเมืองได้กลับสู่ ความสงบสุข ได้หรือ ?
ข้อมูลล่าสุด หลายประเทศได้เสนอว่า หากจะเข้ามาประกอบธุรกิจหรือการลงทุนในประเทศไทย ขอให้มีการตั้ง คณะอนุญาโตตุลาการ ในต่างประเทศแทนในประเทศ การร้องขอของชาวต่างชาตินี้สะท้อนถึง ความน่าเชื่อถือ ของ ตุลาการไทย หรือไม่?
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ใน การนัดประชุมเรื่องการรัฐประหาร หรือ การนัดรับประทานอาหารเพื่อคุยเรื่องตุลาการภิวัฒน์ ที่บ้าน นาย ปีย์ มาลกุล จะรับผิดชอบใน ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับ ประเทศชาติ อย่างไร?
แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 52 01:31:00
จากคุณ :
จำปีเขียว 
- [
3 เม.ย. 52 18:51:13
A:125.25.8.202 X:
]
ความน่าเชื่อถือของ ตุลาการ หลัง เรื่องแดง กรณี องคมนตรี , ประธานศาล , นักวิชาการ พธม. นัดคุยเรื่อง"ตุลาการภิวัฒน์"
