สมัยเรียนรัฐศาสตร์ที่ราม มีอาจารย์ท่านหนึ่ง คุ้นๆว่าชื่อ ศร.ดร.พงษ์เพ็ญ หรือไรนี่แหละ ไม่แน่ใจ นานมากแล้ว จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าท่านเคยเป็นหนึ่งในสภาผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2517 ซึ่งถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงที่สุดเท่าที่เคยมีรัฐธรรมนูญมา ( ในสมัยนั้น )
ท่านเคยบอกให้นักศึกษาฟังว่า แท้ที่จริงแล้วประเทศไทยเราไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรอก ความจริงประเทศไทยปกครองด้วยระบอบ อำมาตยาธิปไตย ต่างหาก และถ้าจำไม่ผิด ท่านบอกว่าตัวท่านเองนี่แหละ เป็นคนบัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้นมา
( ในวิกีพิเดีย คำว่าอำมาตยาธิปไตย (bureaucratic polity) หมายถึงการปกครองโดยข้าราชการ ซึ่งได้มีโอกาสเข้ามาปกครองเพราะอำนาจของตำแหน่งในรัฐบาล ใช้หมายถึงรัฐบาลที่ไม่ขึ้นอยู่หรือให้ความสำคัญกับเสียงประชาชน
คำภาษาอังกฤษว่า bureaucratic polity บัญญัติโดย Fred W. Riggs อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐฮาวาย ในหนังสือที่พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2509 เป็นคำใหม่ที่ใช้แก่ประเทศไทยโดยเฉพาะ แต่ภายหลังคำนี้มีใช้แก่ประเทศอื่นด้วย แล้วมีการบัญญัติคำภาษาไทย "อำมาตยาธิปไตย" ตามภาษาอังกฤษ )
สารภาพตามตรงว่า ตอนที่เรียนนั้นผมไม่เข้าใจจริงๆว่า ประเทศเราไม่เป็นประชาธิปไตยตรงไหนหว่า เราก็มีการเลือกตั้ง มีสิทธิและเสรีภาพเหมือนนานาอารยะประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเหมือนกันนี่นา ( ช่วงนั้นรู้สึกว่าป๋าเปรมจะเป็นนายก ฯ และตอนนั้นก็ถือว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้ระบุว่านายก ฯต้องมาจากการเลือกตั้ง )
แม้อาจารย์จะขยายความให้ฟังว่า กลุ่มอำมาตย์ก็คือพวกขุนนาง พวกที่เป็นชนชั้นศํกดินา ที่ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ในวงการเมืองการปกครอง ในตอนนั้นผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจและไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี เพราะจินตนาการคำว่า อำมาตย์ คือเหล่าขุนนาง เสนาบดี ในสมัยกรุงศรีอยุธยานู่น มันจะมีอยู่ในสมัยนี้ ( ตอนนั้น ) ได้อย่างไร
มาวันนี้ ผมก็ได้ประจักษ์แจ้ง ชัดเจนแล้วว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่อาจารย์เคยพูดถึง มันมีอยู่จริง และมีตัวตนจริงๆ !
ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วที่อาจารย์เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ จวบจนปัจจุบัน ระบอบอำมาตยาธิปไตยก็ยังคงแอบแฝงฝังรากลึกอยู่ในระบอบการเมืองไทยแบบแยกกันไม่ออกเหมือนผีเน่ากับโลงผุ
และอาจจะเป็นเพราะกาลเวลาที่ผ่านมานานแสนนานนี้เองที่ทำให้คนไทยรู้สึกเคยชินและเฉยๆกับการแทรกแซงทางการเมืองของกลุ่มขุนนางเหล่านี้ เนื่องจากทุกยุคทุกสมัยมันก็เป็นประเพณีมาแบบนี้ และการแทรกแซงต่างๆมันก็กระทำกันในที่มืด ไม่ได้กระโตกกระตากโจ่งแจ้งเป็นที่เอิกเกริกให้พวกไพร่ๆได้รับรู้แต่อย่างใด
ก็เพิ่งมายุค พศ.นี้นี่แหละ ที่อำนาจอำมาตย์ถูกสั่นคลอนและท้าทายครั้งรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตัวละครคนแล้วคนเล่าถูกกระชากหน้ากากออกมาให้คนไทยทั่วประเทศได้รับรู้ความจริง
บางคนก็ถูกกระชากหน้ากากออกมาอย่างไม่เต็มใจ แต่บางคนก็ลืมตัวเผลอเสนอหน้าออกมาเองเพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้องที่เกาะกินกันมานานจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี
ผมว่า ณ นาทีนี้ เราในฐานะคนไทยต้องคงต้องถามตัวเองแล้วหละ ว่าจะทิ้งระบอบอำนาจแฝงพวกนี้ให้อยู่คู่กับการเมืองไทยไว้เป็นภาระแก่รุ่นลูกรุ่นหลานของเราสืบไป
หรือจะออกมาเพื่อปลดแอกระบอบการเมืองที่ไม่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่มีอยู่ที่ไหนในโลกเพื่อให้กลไกของระบอบประชาธิปไตยดำเนินไปตามครรลองคลองธรรมของมันอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนนานาอารยะประเทศ
8 เมษายน นี้ คนเสื้อแดงจะเป็นคนให้คำตอบ !!!
จากคุณ :
บางระจันวันเพ็ญ
- [
3 เม.ย. 52 23:04:02
A:115.67.70.178 X:
]