ตอนที่ 2 : กระทรวงมหาดไทย
วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552
นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวที่บ้านพักในตอนเช้าตรู่วันที่ 11 เมษายน ข่าวนี้ไม่ถูกปิดกั้นโดยสื่อมวลชนกระแสหลักสายวิทยุโทรทัศน์ในประเทศเหมือนเช่นข่าวความคืบหน้าฃอง นปช.จำนวนมากก่อนหน้านี้ที่มีลักษณะเป็นคุณต่อการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดง (ข่าวที่เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวของ นปช.ก่อนหน้านี้จำนวนมาก รวมทั้งคำแถลงประจำวันของนปช.ต่อสื่อมวลชนที่หลังเวทีปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาลมักถูกปกปิด ปิดกั้น หรือลดทอนความสำคัญโดยสื่อมวลชนไทยจนเป็นที่กล่าวขวัญกันทั้งในที่ชุมนุมและทางเว็บไซต์ในประเทศจำนวนหนึ่งว่าสื่อมวลชนไทยไม่ให้ พื้นที่ข่าวสาร แก่คนเสื้อแดง รวมทั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์กันว่าสื่อมวลชนไทยเลือกข้างเป็นพรรคพวก พันธมิตรฯ ที่มุ่งร้ายต่อ นปช.และคนเสื้อแดง) รายงานข่าวการจับกุมนายอริสมันต์ถูกโหมประโคมอื้ออึงเป็นข่าวด่วนข่าวสดตั้งแต่เช้าวันที่มีการจับกุม
ภายในวันเดียวกัน มีการสร้างข่าวไม่กรองหลายกระแสรายงานการเคลื่อนไหวค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับการกำหนดสถานที่ควบคุมตัวนายอริสมันต์และกำหนดการแถลงข่าวของฝ่ายรัฐบาลที่กระทรวงมหาดไทย
แกนนำ นปช. ส่วนหนึ่งนำมวลชนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเดินทางไปที่กระทรวงมหาดไทยและเกิดการเผชิญหน้าปะทะกันอย่างรุนแรงโดยมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ผู้ร่วมเหตุการณ์ปะทะที่เป็นฝ่ายนปช. อ้างว่ามีผู้แอบซุ่มยิงคนเสื้อแดงภายในบริเวณซอกหลืบอาคารต่าง ๆ ในกระทรวงมหาดไทยจนมีคนเสื้อแดงเสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายถูกลากศพไปซ่อนภายในอาคาร ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีรถประจำตำแหน่งนักการเมืองระดับสูงวิ่งด้วยความเร็วพุ่งฝ่ากลุ่มคนเสื้อแดงเข้าชนประตูกำแพงหยุดนิ่งก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะกรูเข้าไปกระชากตัวคนขับรถออกมาและพบว่าภายในรถมีนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ แกนนำระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันนั่งบาดเจ็บอยู่ภายใน (รายงานข่าวต่อมาระบุว่าคนเสื้อแดงรุมทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์) การแถลงของรัฐบาลประณามนปช.โดยระบุว่าคนเสื้อแดงรุมทำร้ายทั้งคนขับรถและนายนิพนธ์ในที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย วันที่ 1 1 เมษายน 2552 ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้นกว่าวันก่อน โดยเริ่มมีคนของฝ่ายรัฐบาลบาดเจ็บเสียหายด้วยเช่นกัน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาวิกฤตด้วยการลาออก ยุบสภา หรือใช้แนวทางสมานฉันท์เปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับแกนนำ นปช. แต่เลือกดำเนิน มาตรการยกระดับการเผชิญหน้าแบบปฏิปักษ์ ต่อประชาชนเสื้อแดงอย่างแข็งกร้าวมากขึ้นโดยการประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯและจังหวัดข้างเคียงโดยรอบตั้งแต่วันที่ 1 1 เมษายน 2552
เวลา 15.30 น. มวลชนเสื้อแดงควบคุมตัวชายวัยฉกรรจ์แต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตสีขาวเข้ารูป กางเกงสีกรมท่าเข้ม สวมแจ๊คเก็ตแบบเบลเซอร์สีดำ มีร่องรอยบาดแผลศีรษะแตกไม่ลึก พกพาอาวุธสงครามร้ายแรงเป็นปืนเอชเคแบบพับฐานพร้อมกระสุนจริง เข้ามาที่หลังเวทีชุมนุมให้คณะแพทย์ที่ประจำการอยู่ก่อนหน้าแล้วทำการปฐมพยาบาลก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับตัวไปสอบสวน (การตรวจสอบเบื้องต้นโดยการ์ด นปช. ระบุว่าชายดังกล่าวเป็นนายทหารบกยศพันตรี) ระหว่างนั่งพักรอการส่งตัวให้ตำรวจในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อมาปรากฏว่ามีคณะแพทย์พยาบาลสวมเสื้อคลุมขาวระบุว่ามาจากสภากาชาดไทยจะมารับตัวชายคนดังกล่าวอ้างว่าต้องนำส่งโรงพยาบาลและจะขอ ให้น้ำเกลือ เพราะเป็นผู้บาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม ปรากฏมีผู้คัดค้านเพราะเกรงว่าการฉีดของเหลวดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บาดเจ็บและอาจเป็นเหตุให้มีการใส่ร้าย แกนนำนปช.ในเวลาต่อไป ผู้ร่วมสังเกตการณ์คนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับการแต่งกายของบุคคลากรทางการแพทย์ระบุว่าแพทย์ชายที่มากับคณะพยาบาลชุดนี้เป็น แพทย์จุฬาฯ ที่เคยประกาศ คว่ำบาตร ไม่รับรักษาพยาบาลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ วันที่ 7 ตุลาคม 255 1 (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย vs เจ้าหน้าที่ตำรวจ) รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าที่หลังเวทีนปช. ขณะนั้นยังมีประชาชนเสื้อแดงที่บาดเจ็บอยู่ระหว่างการปฐมพยาบาลอีกหลายคนแต่เหตุใดคณะแพทย์พยาบาลชุดนี้จึงมุ่งจะมารับตัวและ ให้น้ำเกลือ เฉพาะเจาะจงแก่นายทหารคนนี้เพียงคนเดียวโดยไม่เอื้อเฟื้อจรรยาแพทย์แก่ผู้บาดเจ็บคนอื่นที่หลังเวทีปราศรัยนั้นเลยแม้แต่รายเดียว
เวลา 17.15 น. การ์ดและมวลชนเสื้อแดงควบคุมตัวชายวัยฉกรรจ์ได้อีกคนโดยตรวจพบว่าแอบซ่อนพกพาอาวุธสงครามชนิดคล้ายคลึงกับกรณีแรกเข้ามาในที่ชุมนุม พร้อมกระสุนจริง ชายคนนี้ถูกตรวจจับและควบคุมตัวมาที่หลังเวทีปราศรัยโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่ประการใด
ก่อนค่ำวันเดียวกันมีสตรีสูงอายุรูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาวเหลือง อายุประมาณ 60 65 ปี เดินเข้ามาสอบถามหาอาจารย์ มานิตย์ จิตจันทร์กลับ โดยอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนคณะภรรยานายทหารอากาศเกษียณระดับนายพลหลายคน (มีการระบุชื่อนายทหารอากาศยศ พลอากาศโทถึงพลอากาศเอก 3 คน) ต้องการนำข่าวสารจากนายทหารระดับสูงดังกล่าวมาบอกผ่านอาจารย์มานิตย์ไปถึงแกนนำนปช. ว่า อย่าใจเย็น ให้รีบต่อสู้เผด็จศึกตอนนี้ทันที
000
ตอนที่ 3 : สามเหลี่ยมดินแดง
วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552 (เช้า) : ปฏิบัติการสังหารหมู่
ความตึงเครียดทวีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดนับจากวินาทีที่แถลงเป็นต้นไป (การแถลงวันที่ 1 1 เมษายน 2552) และทวีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อมีการออกคำสั่งเคลื่อนกำลังพลทางทหารพร้อมรถหุ้มเกราะและอาวุธสงครามมุ่งหน้าเข้าโอบล้อมพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่สามเหลี่ยมดินแดงจรดพื้นที่รายรอบสถานที่ชุมนุมคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาล
การเคลื่อนไหวทางยุทธการของกองกำลังทหารติดอาวุธครบมือ (และกระสุนจริง) พร้อมรถหุ้มเกราะที่มุ่งหน้าเข้าสู่เป้าหมายที่ชุมนุมประชาชนหน้าทำเนียบรัฐบาล ดำเนินไปควบคู่กับการประกาศระดมคนเสื้อแดงเข้าสู่ที่ชุมนุมสลับกับการแจ้งให้ผู้ชุมนุมเดินทางไป เสริมกำลัง คนเสื้อแดงที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงบ้าง ไปขัดขวางการยึดสถานีดาวเทียมไทยคมบ้าง ไปป้องกันการตัดกระแสไฟฟ้าสถานีดีสเตชั่นบ้าง ทำให้ตลอดคืนวันที่ 11 เมษายน ต่อเนื่องถึงย่ำรุ่งวันที่ 12 เมษายน 2552 ที่กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยความตึงเครียดหวาดผวาต่อความรุนแรงและจลาจลบานปลาย อย่างไรก็ตามแกนนำ นปช. ที่เวทีทำเนียบรัฐบาลยังคงสามารถควบคุมจิตวิทยามวลชนให้สงบรวมตัวอยู่รอบเวทีศูนย์กลางการปราศรัยได้โดยไม่เกิดภาวะตื่นกลัวคลุ้มคลั่งจนอาจเกิดความรุนแรงบานปลายเป็นอันตรายต่อมวลชนที่ร่วมชุมนุมที่เวทีปราศรัย ผู้วิเคราะห์ยังคงร่วมสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณดังกล่าวกับผู้ช่วยรวบรวมข้อมูลสังเกตการณ์ภาคสนามคนหนึ่งจนกระทั่งเวลา 04.15 น. ของเช้ามืดวันที่ 12 เมษายน 2552 ผู้วิเคราะห์ประเมินว่าจะยังไม่มีการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในคืนนั้นแล้ว ผู้วิเคราะห์จึงเดินออกจากบริเวณที่ชุมนุมไปยังสำนักงานมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ซึ่งตั้งอยู่บนถนนข้างเคียงใกล้ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำรถยนต์ส่วนตัวที่จอดไว้เดินทางกลับที่พัก
ณ เวลาประมาณ 04.30 นั้น รถโดยสาร ขสมก.คันหนึ่งถูกนำมาจอดขวางถนนเลียบทางรถไฟระหว่างสถานียมราช สวนจิตรลดาเรียบร้อยแล้วโดยผู้วิเคราะห์ไม่ทราบว่าเป็นปฏิบัติการของฝ่ายใด แต่ตำแหน่งที่รถถูกนำมาจอดนั้นอยู่หลังแนวประจำการของกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งเข้ามายึดพื้นที่ดูแลความปลอดภัยที่ด่านทางด่วนยมราช ณ เวลานั้นเรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุที่รถคันดังกล่าวปิดขวางผิวจราจรทุกช่องทางอย่างสิ้นเชิง ผู้วิเคราะห์จึงต้องกลับรถกลางถนนมุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนที่ด่านยมราชเพื่อกลับที่พัก แทนที่จะใช้เส้นทางสามเสน จตุจักร- บางเขนเช่นที่เคยใช้ในวันก่อน (ผู้วิเคราะห์พบในเวลาต่อมาว่ารถโดยสารคันดังกล่าวถูกเผาประกอบสถานการณ์รุนแรงในช่วงวันที่ 13 เมษายน)
ระหว่างทางที่ผู้วิเคราะห์ขับรถยนต์ขึ้นทางด่วนจากด่านยมราชมุ่งหน้าไปทางถนนกำแพงเพชรและทางลงรัชดาภิเษกตัดวิภาวดีรังสิต ผู้วิเคราะห์ยังไม่ทราบว่าได้มีการสั่งการให้ทหารใช้อาวุธระดมยิงขับไล่ รวมทั้งสังหารมวลชนเสื้อแดงที่ปักหลักชุมนุมกันอยู่ที่ทางแยกสามเหลี่ยมดินแดงจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากแล้ว
ผู้วิเคราะห์ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อกลับถึงที่พัก
ตลอดเช้าวันที่ 12 เมษายน 2552 สถานีโทรทัศน์ไทย (ไทยพีบีเอส) และผู้ประกาศข่าวที่เป็นมิตรกับ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้รีรอเสียเวลาในการจัดรายการถ่ายทอดสดเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น ขณะที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 รายงานเหตุการณ์เดียวกันแต่มีน้ำหนักความเห็นประกอบการรายงานแตกต่างออกไปในบางส่วนเล็กน้อย ขณะที่สถานีโทรทัศน์อื่นบางรายแม้ว่าจะรับทราบเหตุการณ์รุนแรงแล้วแต่ยังไม่รายงานให้ความสำคัญมากเท่ากับสองสถานีที่กล่าวถึง
การติดตามรายงานข่าวโทรทัศน์ประกอบข้อมูลจากรายงานภาคสนามที่ประชาชนจำนวนหนึ่งส่งข่าวสารให้ได้รับทำให้ทราบได้ว่ามวลชนเสื้อแดงถูกกองกำลังทหารดำเนินยุทธการปราบปรามโดยใช้อาวุธสังหารระดมยิงใส่จนบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในขณะที่มวลชนเสื้อแดงไม่มีอาวุธประจำกายสำหรับป้องกันตนเองหรือต่อสู้ตอบโต้นอกจากการใช้เครื่องกีดขวางเช่นรถเมล์ ถังแก๊ส ขวดบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิง หรือยางรถยนต์เผาไฟ เป็นต้น
ผู้วิเคราะห์เดินทางกลับเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งก่อนเที่ยงวันที่ 12 เมษายน 2552 โดยใช้เส้นทางอ้อมเข้าทางด้านสวนอัมพร
ลำดับเหตุการณ์ สงกรานต์วิปโยค ตอนที่ ๑. โดย รศ. ดร. วรพล พรหมิกบุตร
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7785815/P7785815.html#1
จากคุณ :
จำปีเขียว
- [
24 เม.ย. 52 20:55:19
A:125.25.43.85 X:
]