PANTIP.COM : P7881088 ทำไมญาติวีรชนพฤษภาทมิฬ ไม่ไปถามที่ต้นตอเลยหละครับ [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 4

ธรรมรัฐวิจารณ์ : อย่าเงื้อง่าราคาแพง

ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์
คำโบราณว่าไว้ดังเช่นหัวเรื่องที่ผมเขียนถึงในวันนี้ เพื่อกระตุ้นเตือนให้เมื่อคิดจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดก็จงอย่ามัวกล้าๆ กลัวๆ หรือไขว้เขวไปซ้ายทีขวาที เหมือนหลายเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะนำมาไล่เบี้ยกัน เฉพาะอย่างยิ่ง "การคิดจะกู้ซากคอนเทนเนอร์กลางอ่าวไทย"

ไปๆ มาๆ ก็บอกว่าค่าใช้จ่ายสูงกลับไปนับหนึ่งกันใหม่ ยังหาข้อสรุปไม่แน่ชัดว่าจะดำเนินการอย่างไรดี ตรงนี้ในฐานะ "นักอาชญาวิทยา" ขออธิบายด้วยความเคารพในวิชาชีพของบุคคลหลายคนที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาวัตถุต้องสงสัยที่ "อาจมีหรืออาจไม่ปรากฏ" ในตู้ลึกลับกลางอ่าวไทยว่า หากกริ่งเกรงเกี่ยวกับ "สารพิษหรือสารกัมมันตภาพรังสี" ก็บอกได้ว่าไม่น่าใช่ เพราะโดยสภาพตู้คอนเทนเนอร์ที่ผุพังและข่าวบอกว่ามีร่องรอยของการชำรุดในบางส่วนเป็นรูอยู่บ้าง หากโดยทฤษฎีของการแผ่รังสี หรือการแพร่กระจายของสารพิษก็คาดว่าท้องน้ำบริเวณดังกล่าวคงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ได้แน่ แม้แต่ปะการังซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง

ส่วนการหวาดหวั่นกันว่า "แม้ไม่แผ่รังสีออกมาภายนอก ก็อาจเก็บกักอยู่ภายใน" ก็ต้องบอกว่าในการขนถ่ายเคลื่อนย้ายสารดังกล่าว ต้องมีความรัดกุม หากมีการเคลื่อนย้ายมาไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ได้ ก็อย่ากลัวอะไรเกินเหตุไป เพราะคงไม่มีการหละหลวมหรือมีใครกล้าพอจะหยิบก้อนยูเรเนียม พลูโทเนียม หรือสารกัมมันตรังสีใดๆ แบบมือเปล่าไม่มีสิ่งใดป้องกัน หรือโยนเข้าไปไว้ในตู้คอนเทนเนอร์โดยไม่มีภาชนะใดๆ ห่อหุ้มไว้อีกชั้น ยิ่งกว่านั้น หลักการทางฟิสิกส์ง่ายๆ ที่ผมเชื่อว่าหลายท่านก็คงคุ้นเคยกับเครื่องมือวัดกัมมันตรังสีขั้นพื้นฐานอย่างสิ่งที่เรียกว่า ไกเกอร์เคาน์เตอร์ (Geiger Counter) ไม่มีความยากเย็นอะไรต่อการตรวจค้นเบื้องต้นว่าในบริเวณนั้นมีการแผ่กัมมันตรังสีออกมาหรือไม่

ผมเป็นห่วงอยู่เพียงเรื่องเดียวว่า ที่ยื้อยุดกันไปมาตอนนี้มีอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ความพยายามครอบครองพื้นที่ "สื่อ" เพราะเชื่อแน่ว่าในที่สุดของการพิสูจน์ทราบคาดว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ ณ วันนี้ ข่าวดังกล่าวได้ทำให้คนหลายคนฟื้นจากการถูกหลงลืม หลายคนก็กลับมาได้รับความสนใจเป็นข่าวคราวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เรียกว่าไม่ต่างกับกรณี "เสือดำมักกะสัน" เมื่อหลายปีก่อน ในสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนมัธยมอยู่แถวๆ นั้น

ท่านทั้งหลายที่อายุอานามราว 40 ปีขึ้นไป น่าจะยังจำเหตุการณ์ที่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับนานร่วมปีเต็ม ของ "ข่าวลือ" เรื่องเสือดำออกมาเพ่นพ่านกลางป่าช้ารถไฟ (ที่รกร้างเก็บซากโบกี้รถไฟแถวย่านมักกะสัน) มีกระแสข่าวว่าพบหรือเห็นกันประปราย แต่ไม่เคยมีใครจับเสือดังกล่าวได้ กระทั่งท้ายที่สุดสื่อเองต้องหาทางลงหลังเอาข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่งมาร่วมปี โดยบอกเพียงสั้นๆ ว่า เป็นไปได้ที่เสืออาจตายไปแล้ว หรืออาจหนีหลุดรอดมีเจ้าของมาจับเอาไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งตลอดขวบปีของการเป็นข่าว

มาวันนี้ไม่อยากเห็น "คนเล่นกับสื่อหรือใช้สื่อเป็นเครื่องมือมากเกินความจำเป็น" เนื่องจากเรื่องไม่ยากไม่สลับซับซ้อนและไม่มีอะไรใหญ่โตอย่างที่คิดๆ กัน น่าจะ "รีบทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว" เพราะโดยส่วนตัวสันนิษฐานอยู่ก่อนหน้านี้ ว่า ถึงที่สุดเรื่องดังกล่าวก็คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เปิดขึ้นมาภายในอาจเป็นไปได้ที่จะมีเศษกระสอบอาหารสัตว์ หรือตู้เล็กๆ ซ้อนอยู่ในคอนเทนเนอร์ให้ประหลาดใจเล่น แต่เปิดออกมาคงมีเพียงของแตกหัก หรือซากเครื่องมือเครื่องใช้ที่ขึ้นสนิม คงไม่มีซากโครงกระดูกมนุษย์อะไรอยู่ในนั้น เพราะตามข่าวแต่แรกได้ยินว่ามีมากกว่าหนึ่งตู้ ก็เชื่อได้ว่าหากมีคนจงใจนำไปทิ้งไว้ เพื่อกลบเกลื่อนหลักฐานจริงคงไม่ใช่ "คนธรรมดาที่ไม่มีอิทธิพล" ขนาดเอาตู้คอนเทนเนอร์ไปหย่อนไว้ได้ ก็ต้องมีการบันทึกพิกัด และคงกู้ไปทิ้งที่อื่นนานแล้ว

อายุความวันนี้ทางคดีอาญาใดๆ นั้นยากจะไปรื้อฟื้น เพราะเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ผ่านมาไม่ถึงยี่สิบปีก็จริง แต่ได้มีการ ออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรม ยกเว้นความผิดทั้งหมดของทุกฝ่ายไว้เรียบร้อย จะไปไล่เบี้ยเอาผิดใครคงยาก ที่สำคัญ หาก "คนทำ" ยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่ปล่อยให้เป็นข่าวขนาดนี้โดยไม่อยู่นิ่งเฉย

ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องกรุณาอย่าใช้ "สื่อเป็นเครื่องมือ" ในการสร้างกระแสใดๆ อย่างไร้เหตุผลอันสมควร เพราะผู้คนทุกวันนี้ฉลาดพอจะเข้าใจอะไรได้ดีว่า เท็จกับจริงต่างกันอย่างไร และ ใครคาดหวังอะไรจากข่าวดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน เลยฝากทิ้งท้ายให้ตระหนักถึงการทำหน้าที่ของท่านทั้งหลายให้อยู่กับทำนองคลองธรรมให้มากเข้าไว้

เลยอยากแนะนำโครงการศึกษาอบรมที่ขอเชิญชวนให้ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน ตามประกาศของทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกประกาศเชิญชวน เข้าร่วมโครงการศึกษาอบรม "หลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 1" ซึ่งจะเป็นการจุดประกายสร้างความเปลี่ยนแปลง และสร้างมิติใหม่ทางการเมืองและสังคมให้เกิดขึ้นได้จริง ทราบมาว่าเป็นหลักสูตรที่มีเนื้อหาเทียบเท่าหลักสูตร ปปร.ของสถาบันพระปกเกล้า และหลักสูตรระดับสูงของสถาบันชั้นนำอื่นๆ มีการศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ และยังใช้ระบบการศึกษาอบรมแบบ Oxbridge คือ การบรรยายน้อยมาก แต่จะใช้ระบบปรึกษาหารือถกแถลง (Tutorials) ภายในกลุ่มและอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นหลัก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ect.go.th ปิดรับสมัครวันที่ 27 พฤษภาคมนี้เท่านั้นครับ ไม่เสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการเข้าศึกษาอบรม

จากคุณ : ดีเหลือเกิน - [ 20 พ.ค. 52 05:43:32 A:161.200.255.162 X: ]