ความคิดเห็นที่ 1 http://atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topicstock/P1632238/P1632238.html&Query=เชิงตะกอน มารดา จากคุณ : ขยะสังคม - [ 25 พ.ค. 52 12:25:36 A:112.143.5.144 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ป้าวิวซู๊ดยอดดดดดมากคร้าบบบบบบบ สู้ๆสู้ๆ หายป่วยเร็วๆครับ ขอบคุณคุณขยะสังคมที่เอาลิ้งค์เก่ามาให้อ่านด้วยครับ จากคุณ : Winnie The PeeH - [ 25 พ.ค. 52 12:50:53 A:202.28.27.5 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 สมัยก่อนพยาบาลก็ให้การรักษาเบื้องต้นได้นี่ครับ เช่นเดียวกับพวก พอ.(ที่เดี๋ยวนี้ขุดกันแต่ส้วมลูกเดียว) สมัยนี้สถานีอนามัยช่างเงียบเหงาเศร้าใจ   โดยส่วนตัวผมเห็นว่า ส่วนกลางควรกระจายอำนาจและบุคคลากรให้กับส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการกิจการศาธารณสุข เคยคุยกับเพื่อนในโรงพยาบาลว่ารพ.จังหวัดควรย้ายมาสังกัด อบจ. ปรากฏว่าโดนมันด่าเละเลยว่าบุคคลกรในรพ.มีแต่การศึกษาสูงๆ จะมาเป็นลูกน้องผู้รับเหมาท้องถิ่นจบป.หก ม.สามได้อย่างไร เลยจบกัน จากคุณ : PKT - [ 25 พ.ค. 52 12:59:50 A:115.67.100.149 X:127.0.0.1, 202.229.32.79 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ให้ปชช มีส่วนร่วมในการจ่ายประกันสุขภาพคิดเป็นหัวเพื่อที่จะระดมเงินเข้าระบบสาธาฯคิดง่ายๆหัวล่ะสามร้อยบาทต่อคนต่อเดือนหกสิบห้าล้านคนเป็นเงินเยอะพอควรหาเก็บได้สักครึ่งหนึ่งของประชาการส่วนคนจนไม่มีเงินสมทปก็ให้ภาครัฐจ่ายให้แทน เงินส่วนหนึ่งส่งเด็กเรียหมอเพิ่มเงินเดือนให้ทั้งหมอพยาบาลปรับบรุงการให้บริการจัดชื้อเครื่องมือ หากเริ่มเสียแต่ตอนนี้ห้าปีข้างหน้าคนไทยก็ไม่ต้องมานั่งบ่นเรื่องนี้อีก คิดว่าหากทำได้เชื่อว่าเขาจะยอมทิ้งประกันกับภาคเอกชนที่แสนแพงหันมาสนับสนุนชื้อประกันสุขภาพกับรัฐประหยัดกว่าเยอะค่ะ จากคุณ : ตังเมย์เหนียว - [ 25 พ.ค. 52 13:10:34 A:119.42.74.215 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ก็เคยมีการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์ และพยาบาล ดังเช่นปัจจุบัน แต่ต่างกับปัจจุบันตรงที่การศึกษาของประชาชน การคมนาคม และการสื่อสาร ในอดีตกระทรวงสาธารณสุขโดยการสนับสนุนขององค์การอนามัยโลก เคยจัดทำโครงการประช่ากร ใช้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปอบรมด้านการรักษาพยาบาลเป็นเวลา  4 เดือน ให้ไปอยู่ตามท้องถิ่นทุรกันดาร คล้ายๆกับหลักสูตรพยาบาลเวชปฏิบัติในปัจจุบัน ก็แก้ไขปัญหาความเจ็บป่วยของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัจจุบัน ค่อนข้างไม่แน่ใจว่าการดำเนินโครงการแบบนั้นคงได้ผลไม่มาก เพราะประชาชนมีการศึกษาดีขึ้น การคมนาคมสะดวกขึ้น การสื่อสารที่ทันสมัยทำให้มีการรับข้อมูลข่าวสารรวดเร็วขึ้น  ประชาชนจะเลือกใช้บริการที่ตัวเองเชื่อว่าดี ได้มาตรฐาน ตรงตามอาการของโรค และแพทย์ผู้รักษามีความเชี่ยวชาญด้านนั้นๆ  มองว่าในอนาคตไม่ไกลระบบโครงการหลักประกันสุขภาพจะต้องพัฒนายิ่งกว่านี้ ใช้เงินมากกว่านี้หลายเท่าตัว ซึ่งอาจเกินกำลังความสามารถที่รัฐบาลจะจ่ายให้ได้ ยกเว้นเรามีการเรียกเก็บภาษีรายได้ที่มากกว่านี้ หรือประชาชนจ่ายสมทบ เช่น การเข้าพักในห้องพิเศษ อาหารพิเศษ การเลือกโรงพยาบาลที่ตนเองต้องการ เป็นต้น  แต่หากมององค์ประกอบด้านอื่นที่จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น และห่างหายกันไปนานพอสมควร และน่าจะได้มีการศึกษากัน ก็ คือ การดูแลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม อนามัยในครัวเรือน การอนามัยส่วนบุคคล น้ำสะอาด สิ่งโสโครก สิ่งปฏิกูล ควันเสีย ควันพิษ การออกกำลังกาย แมลงนำโรค และค่อนข้างไม่แน่ใจว่า องค์กรท้องถิ่นจะได้ทำงานกันในลักษณะนี้หรือเปล่า น่าจะมีการศึกษาเชิงเปรียบเทียบอัตราการเจ็บป่วยระหว่างประชาชนที่อยู่ในเขตเมือง เขตเทศบาลที่มีการจัดอนามัยสิ่งแวดล้อมดีๆ กับประชาชนที่อยู่ในเขต  อบต. ว่ามีอัตราการป่วยแตกต่างกันหรือไม่  และหากพบว่า ไม่แตกต่าง หรือแตกต่าง จะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดนโยบายการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนสำหรับรัฐบาลต่อๆไป แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 13:16:09 จากคุณ : ชื่อข้า คือ (ปางมะผ้า) - [ 25 พ.ค. 52 13:14:00 A:125.26.109.82 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 โดยจินตนาการของผม ผมเชื่อว่า เทคโนโลยี่ จะสามารถช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแพทย์ได้ระดับหนึ่งครับ ถ้าในทุกๆ คลีนิค ทุกๆสาธารณสุข มี Computer Webcam และ Internet หรือถ้าเรามี โทรศัพท์มือถือ เป็นกล้อง มี GPRS เราสามารถให้พยาบาลวิชาชีพ ทำหัตถการบางอย่าง ภายใต้คำแนะนำของแพทย์จากส่วนกลาง ได้หรือไม่ ครับ จากคุณ : รวมพล คนธรรมดา - [ 25 พ.ค. 52 14:09:46 A:203.155.165.25 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต้องกลับไปแก้ที่ต้นเหตุ คือ 1.สร้างความศรัทธาต่อองค์กรแพทย์...เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่มีความฝั่นใฝ่อยากเป็นแพทย์เพราะอุดมการณ์ และเอ็ทรานซ์เข้า ม.ไม่ใช่เป็นแพทย์ เพราะ..เงิน 2.เพิ่มศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์ในวังคมให้มากกว่าการเป็น..บริกร...ที่ให้บริการทางสุขภาพ 3.เพิ่มค่าครองชีพที่เหมาะสมกับคุณวุฒิของแพทย์แต่ละสาขา ฯลฯ นี่คือตัวอย่างถ้าย้ง..อยากให้ 30 บาท หายทุกโรค เป็น จริง จากคุณ : รางบัว  - [ 25 พ.ค. 52 14:36:28 A:113.53.150.132 X: ] จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 25 พ.ค. 52 14:42:09 A:118.173.206.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 พยาบาล ที่ อนามัยแถวบ้านผม พูดเพราะมาก นิสัยดี ให้คำปรึกษา ด้วย คนเลยเยอะ ผมเคยถามพวกเค้าว่า ทำไมไม่ไปรักษาที่โรงบาลใหญ่ๆ เค้าตอบว่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ทางอนามัยจะส่งตัวไปอยุ่เเล้ว.. ไม่รุ้ว่าจะเกี่ยวกันกับกระทู้หรือไม่ แต่ว่า.... คำว่า "ภาระ" หมายถึงอะไร ครับ โดยปกติ ผมจะมอง พยาบาล+หมอ จะมี จรรยาบรร +จริยธรรมส่วนบุคคล อยุ่เเล้ว  หากถามว่า เป็นภาระที่โรงบาล เพียงอย่างเดียว คงไม่ถูกต้อง อันเนื่องมาจาก คุณ ได้สมัคใจที่จะทำงาน รับใช้ประชาชน แล้ว ไม่พอใจก็ลาออกไป จบ.... ปล.เรื่องขาดแคลน แพทย์ ควรจะเพ่งไปที่ มหาวิทยาลัย ดีกว่านะครับ ผมเชื่อคน อยากเรียนมีเยอะ จะจำกัดคนให้เหลือน้อยๆ เพื่อ ? แล้วก้มาบ่นว่าขาดแคลน อย่างนั้นอย่างนี้ อาจจะไม่เกี่ยว  แต่ลูกสาวผม อายุ 4 ขวบกว่า บอกว่าจะเรียนพยาบาลครับ ผมถามว่า งานหนักนะลูก  เค้าบอก ประสาเด็กครับ ว่า " ถ้ากลัวงานหนัก เค้าก็ไม่คิดจะเรียนหรอก"  แกก็ตอบตามประสาเด็กนะครับ และผมก็ไม่คัดค้านด้วยจะเรียนอะไร ... จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 25 พ.ค. 52 15:04:32 A:115.67.217.107 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณค่ะ คุณ : ชายพายเรือ การตอบกระทู้ของคุณถูกประเด็น แล้วค่ะ ถูก อย่างที่ต้องการเลย ประสบการณ์ มีมายังไง รู้สึกอย่างไร กับนโยบายแก้ปัญหาของกระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ในเรื่องการขาดแคลนแพทย์ และขอบอกว่า... ลูกสาวน่ารักมากเลย ป้าขอฝากดอกไม้ ให้ว่าที่พยาบาลคนเก่งด้วยนะคะ จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 25 พ.ค. 52 15:18:39 A:118.173.206.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 30 บาท รักษาทุกโรค ผมว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คนหาเช้ากินค่ำ ได้มีโอกาสได้หาหมอนะครับ ลองคิดง่ายๆ นะครับ เมื่อก่อน ถ้าตาสีตาสา ชาวบ้านธรรมดาปวดหัว ตัวร้อนนิดหน่อย  เค้าก็จะไปหาซื้อยากินเอง ไม่กี่สิบบาท เพราะถ้าไปหาหมอตามคลีนิค ก็เปลืองเงินอาจถึงพัน ถึงไปโรงพยาบาลรัฐ ก็ต้องไม่ต่ำกว่า สามสี่ร้อย ถ้าเกิด อาการเหล่านั้น เป็นอาการเริ่มต้นของโรคติดต่อร้ายแรงละ หรืออย่างดีก็เป็นอาการเริ่มของโรคทีอาจเสียชีวิตได้ถ้าไม่รักษา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ทำให้สูญเสียประชากรคนนึงซึ่งอาจจะมีค่าทางสังคมอย่างมากไปก็ได้ อย่างน้อยที่สุด เค้าก็มีค่าในครอบครัวของเค้า แต่พอมี 30 บาทฯ คนเหล่านี้ เค้าก็กล้าไปหาหมอมากขี้น ทำให้สามารถสกัดโรคร้ายได้ก่อน ทำให้คุณภาพชีวิตของรากหญ้าดีขี้น มองในแง่นี้ ถามว่าใครเสียผลประโยชน์ คลีนิค โรงพยาบาลเอกชน รวมทั้งของรัฐด้วย สังเกตสิครับ กลุ่มคนทีออกมาเรียกร้องต่อต้าน อยูในกลุ่มอาชีพเหล่านี้ทั้งสิ้น เกิดเป็นรากหญ้า ในประเทศสารขันธ์ ต้องทำใจครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 15:42:43 จากคุณ : nangeid - [ 25 พ.ค. 52 15:41:49 A:58.9.122.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 อันนี้อาจไม่ตรงประเด็น เพียงแต่อยากบอกว่าหายสงสัยเรื่องแพทย์และพยาบาลจีึงแอนตี้คุณทักษิณ วันอาทิตย์ไปหาทันตแพทย์ที่จุฬา คนกลุ่มนี้เขาตามข่าวจาก astv และ นสพ.คมชัดลึก มติชน เท่านั้นเอง แล้วจะให้พวกเหล่านี้ทำใจเปิดกว้างได้ยังไง จากคุณ : ทวดเอง - [ 25 พ.ค. 52 16:04:21 A:58.9.48.21 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ต้องขอบคุณ สำหรับ ดอกไม้และ ตุ้กตาหมีนะครับ สีโปรดของผม และลูกสาวเลยครับ .... จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 25 พ.ค. 52 16:07:29 A:115.67.107.71 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 แพทย์กับพยาบาลก็เป็นคน มีหัวจิตหัวใจ มีกิเลส แม้โดยตัวอาชีพและฐานะจะบังคับให้ต้องมีศีลธรรมจรรยาสูง มันก็ไม่ได้ช่วยให้คนธรรมดากลายเป็นเทวดา หรือพระอรหันต์กันได้ คนที่เข้ามาสู่อาชีพนี้ด้วยใจที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่นก็มี คนที่เข้ามาด้วยสาเหตุความมั่นคงการเงินก็คงมีด้วย เข้ามาแล้วปฏิบัติตนเช่นไรก็ได้เป็นศรีแก่ตัวเป็นโทษแต่ตนตามนั้น ตามการกระทำของตัว แต่สิ่งหนึ่งที่คนทำงานในภาวะเช่นแพทย์และพยาบาลต้องการคงเป็นกำลังใจช่วยหล่อเลี้ยงให้เขาสู้กับสภาพงานที่แสนหนักและมากภาระรับผิดชอบนั้นได้ ทำงานหนักแล้วได้ก้อนอิฐแทนดอกไม้ คงไม่มีคนทนทำต่อไปได้เหมือนกัน ใช่ว่าโลกนี้หมอทุกคนจะเป็นเหมือนหมอโฮจุนนี่นา ตอนนี้ที่เด็กไม่อยากเรียนแพทย์กัน มันก็คงสะท้อนอะไรบ้างแล้ว ว่าไปก็พูดยาก จะโอ๋อาชีพสาขาว่าเป็นเทวดาทำอะไรไม่ผิดไม่ต้องรับผิดชอบก็ไม่ได้ เพราะนั่นก็ชีวิตคนไข้เขาก็มีคุณค่า ไม่ว่าเขาจะเป็นคนรวย คนธรรมดา คนจน ชีวิตเขาก็ต้องมีความสำคัญ  แต่หากจะไปกดดันมากไป ด้วยตัวอาชีพเองก็กดดันอยู่แล้ว ยังโดนความกดดันและคาดหวังจากสังคมซ้ำเข้าไปอีกแล้วใครจะไปทนไหว เขาก็แค่คนๆหนึ่งเท่านั้น เรื่องจะคาดหวังให้หมอเป็นบุคคลพิเศษเหนือคนทั่วไปในด้านศีลธรรมก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อยากให้สังคมคาดหวังเรื่องศีลธรรมกับอาชีพอื่นที่ต้องการศีลีธรรมในระดับสูงๆ อาทิเช่น ครู  ตำรวจ หรือนักการเมือง บ้างก็น่าจะดี จะได้เท่าเทียม ไม่มีใครลำบากแต่อีกคนได้หน้าตาอย่างเดียว แก้ไขให้ถูกต้อง แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 17:31:39 จากคุณ : Lastquarter - [ 25 พ.ค. 52 17:29:43 A:61.90.39.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก็เห็นด้วยกับ คุณPaviewเองจ๊ะตามคห7-123ทั้งหมด ตอนเด็กลูกสาวก็อยากเป็นหมอถามว่าเพราะอะไร ลูกบอก รวยไงคะ ก็อึ้งแล้วก็ให้ความเข้าใจลูกใหม่ว่า ถ้าอยากรวยทุกอาชีพก็สามารถทำให้รวยได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับขอบเขตความคิดและความสามารถของเรา สิ่งที่หมอควรมีมันมากกว่านั้น ความรู้สึกธรรมดาๆที่ต้องหาเงิน ถ้าอยากรวยอย่างเดียวลูกอย่าเป็น ลูกเลยหยุดความคิดอยากเป็นหมอตอน7ขวบ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เราต้องคาดหวังกับอาชีพนี้มากกว่าอาชีพอื่นเพราะนั่นคือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตมนุษย์  ความมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมีหน้าตาเราพร้อมให้อาชีพนี้อย่างเต็มที่กว่าอาชีพอื่นอยู่แล้วใช่ไหม ความคาดหวังที่จะได้รับในสำนึกและจรรยาบรรณเลยสูงกว่าปรกติแล้วอาจลืมนึกไปว่าเขาก็แค่คนคนหนึ่งจริงๆ จากคุณ : CSI SAIMAI - [ 25 พ.ค. 52 17:52:22 A:124.121.218.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบต่อจากกระทู้เดิม คุณ : อภิวัฒน์ (Apiwatmnp) ผมว่าคุณต้องหัดพยายามวิเคราะห์ว่าอะไรมันคือปัญหา ก่อนที่จะกระแนะกระแหนจะดีกว่า ผมบอกว่า เห็นป้าว่าจะให้พยาบาลไปช่วยคัดกรองคนไข้ ผมฟันธงว่าต่อไปพยาบาลจะทยอยลาออกตามหมอ คุณกลับตอบว่า เป็นโครงการที่ดี ทำสำเร็จแล้วที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ผลดีเยี่ยมด้วย ไปนอนเล่นที่ ICU ไหนมาหรือครับ ถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้ ที่รามาธิบดี มันสำเร็จยังไงครับ พิสูจน์แล้วหรือว่าจะส่งผลให้ถ้ามอบภาระนี้ให้พยาบาลทั่วประเทศ แล้วพยาบาลจะไม่ลาออกมากกว่าปัจจุบัน ต่อให้พยาบาลที่ทำหน้าที่คัดกรองของรามา มาเป็นตัวพิสูจน์ ว่าไม่มีใครลาออก ผมว่ามันก็สรุปยาก กลไกของโรงเรียนแพทย์ เขามีระบบที่จะไม่ทำให้พยาบาลที่เข้าโครงการนำร่องทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ในการแบกภาระรับผิดชอบในการคัดกรองคนไข้ ผมก็เชื่อว่าพยาบาลรามาน่าจะรับความกดดันได้ดีกว่าพยาบาลในโรงพยาบาลท้องถิ่น ส่วนปัญหาอีกหลายข้อ ไม่ว่าหมอลาออก โรงพยาบาลเอกชนถอนตัว งบประมาณบานปลาย  คุณไม่ได้เสนอทางออก ได้แต่เฉไฉไปเรื่อย ส่วนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน  ถ้าคุณจะสรุปง่ายๆว่าในสังคมนี้ใครๆก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้นำจะมีบ้าง จะเป็นไร ผมว่าคุณกับผมคงอยู่กันคนละสังคมครับ คุณ : Paview ผมไม่ใช่หมอ แต่ด้วยประสบการณ์ของผม เห็นว่าคนที่อายุเกิน ๓๕ ปีทุกคน ควรตรวจคลอเรสเตอรอลครั้งแรก ก่อนที่จะสายเกินไป ในระบบที่เบิกได้ ๓๐ ปีก็ตรวจได้แล้ว ป้าจะฝ่าฟันอะไร ถ้ามันไม่กระทบกับคนอื่น ผมก็จะไม่ขัดข้อง แต่ถ้าป้ายิ่งฝ่าฟัน ลากระบบให้เกิดความเสี่ยง ก็ต้องออกมาติง อย่างที่ผมบอก ตอนนี้หมอลาออกยังแก้ไม่ได้ ผมกลัวปัญหาพยาบาลลาออกจะทับถมเข้ามาอีก ไม่นับเรื่องมาตรฐานการรักษา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าจะประกันสุขภาพทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจน มันก็คงไม่มีปัญญาตรวจคลอเรสเตอรอลได้ทุกคน ถ้าให้คนที่พอจะจ่ายประกันสุขภาพตัวเองได้ ช่วยจ่ายบ้าง จะได้จูงใจให้เอกชนเข้าร่วมโครงการ ลดคนไข้โรงพยาบาลรัฐ เพิ่มคุณภาพการรักษาให้คนจน เช่น ตรวจร่างกายประจำปี ได้ตรวจคลอเรสเตอรอล มันจะไม่ดีกว่าหรือ แต่ถ้าสุดท้าย ป้าบอกว่าไม่ต้องตรวจทุกคน รักษาฟรีหรือจ่ายเป็นพิธีดีกว่า  เพราะมาตรฐานการตรวจร่างกายของข้าราชการ โรงพยาบาลเอกชน สูงเกินไป เช่น ตรวจคลอเรสเตอรอลไม่จำเป็น มันมีปัญหาในเชิงองค์ความรู้แน่นอน ว่าผมหรือป้าผิด ทำให้ทิศทางต่างกัน ซึ่งก็คงจะถกในราชดำเนินไม่จบ จากคุณ : Pom.com - [ 26 พ.ค. 52 01:24:27 A:124.120.222.155 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ : ชายพายเรือ คุณบอกว่า หมอไม่พอใจให้ลาออกไป จบ มันจบง่ายๆยังงั้นก็ดีซิครับ หมอยิ่งลาออก ก็จะยิ่งมีปัญหา เรื่องการขาดแคลนแพทย์ อย่าโทษมหาลัยเลยครับ หมอไม่ใช่สายศิลป์นะครับ ที่จะขยายรับเพิ่มกันได้ง่ายในระดับปริญญาตรี ส่วนการลดการรับนักศึกษาแพทย์เฉพาะทาง เป็นผลจาก ๓๐ บาทครับ หมอใช้ทุน ลาออกมากกว่าเดิม เลยต้องลด การให้หมอไปเรียนต่อ ขณะใช้ทุนไม่หมด จากคุณ : Pom.com - [ 26 พ.ค. 52 01:33:49 A:124.120.222.155 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 คิดว่า จะมีคนเข้า ซะอีก ..เฮ่อ....กลุ้ม เอาเถอะ ที่ออกมาติงผมก็ไม่ว่าอะไร (ดีเสียอีกจะได้แลกเปลี่ยนความคิด) แต่ไหนละ หมอที่ลาออก...เพราะเหนื่อย....??? มีแต่พูดๆๆๆๆๆ  ว่าจะออกๆ    สบายจนเคยตัวหรือไง??? ค่าแรงหมอ ถูกซะที่ไหน พอจะใช้ "ทุน" คืนให้สังคม บ้างทำ.....   (ต่อเอาเอง) ผมรู้หมอ ไม่ใช่สาย ศิลป์ แล้วยังไง?  รัฐบาล..ไม่ต้องทำไรเลยรึไง? สมมุติ เคยรับคนเรียนหมอ ปีละ 100คน แล้วมาบ่นว่าไม่พอๆ แล้วทำอะไร มั่ง ?...เฮ่อ... คนอยากเรียนมีเยอะครับ "ย้ำ" มีเยอะ เยอะมากด้วย.... แต่ สิ่งที่คนเหล่านี้ขาดไป คือ "โอกาส"  ย้ำ "โอกาส" นี่ คือสิ่ง ที่ขาดหายไปใน ห่วงโซ่.... เป็นหน้าที่ของ "ใคร"  ก็ใครมันเอาภาษีเราไปละ.... ตอนเอาไป ทำไมเงียบ..????  พอต้องใช้คืน..เฮ่อ.. มาคุยกันต่อเรื่อง....ทุนต่อ... รัฐบาล ให้ทุน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปีละเท่าไร........ เงินภาษีเรา ส่วนมากโดน "ถลุง" ไปกับเรื่องอะไร ทำไมจะทำไม่ได้ครับ....เพิ่ม มหาลัยที่เกี่ยวข้อง ถ้าอยากทำจริงๆ ... ผมไม่เชื่อ รัฐบาล จะ "สมองฝ่อ" ขนาดนั้น.... ภาษีของเรา ของคนจนๆ ทั้งทางตรง และทางอ้อม .... เอาไปลง การทหาร ??????? ปีละเท่าไร เหมาะสมไหม ตัดงบส่วนนี้มาได้ ไหม?     คืนให้ประชาชนที่เสียภาษีจริงๆ   จะไปรบกะ "มนุษย์ ดาวอังคาร"  หรือไง?  ให้งบ ขนาดนั้น เงินส่วน "ต่าง" กันขนาดนั้น เอามาช่วยเรื่อง หมอ พยาบาล สิ.... หวังว่าคงเข้าใจ นะครับ.... มันไม่ง่ายที่จะทำ ใครๆก็รู้ แต่ถ้าไม่มีใคร  "คิดจะทำอะไรเลย" นี่สิ... ชาวบ้าน ไม่ได้จะกิน "ยาหม้อ" หายป่วยกันทุกโรคนะครับ..... จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 26 พ.ค. 52 08:08:24 A:115.67.189.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 จขกท. คุณ Paviewเองจ๊ะ ขออนุญาตตอบพาดพิงถึงคุณ Pom.com สักเล็กน้อย ตามคห. 15 ที่ผม Copy มา Paste เพื่อความสะดวกในการอ้างถึงและโต้แย้ง ========================================== /  ความคิดเห็นที่ 15   ตอบต่อจากกระทู้เดิม คุณ : อภิวัฒน์ (Apiwatmnp) / ผมว่าคุณต้องหัดพยายามวิเคราะห์ว่าอะไรมันคือปัญหา ก่อนที่จะกระแนะกระแหนจะดีกว่า Comment: คุณ Pom.com ก็บอกมาแล้วว่าไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์ คุณจะรู้เรื่องในวงการได้อย่างไร นอกจากคนใกล้ตัวคุณจะเป็นแพทย์ ซึ่งไม่ใช่ตัวคุณ คุณจะมีข้อมูลและประสบการณ์มาแสดงความเห็นโต้แย้งได้อย่างมีสาระได้อย่างไร ก็ว่าไปเรื่อยๆ ตามเพลง ผมถึงบอกไงว่า เรื่องมันย้าวยาว / ผมบอกว่า เห็นป้าว่าจะให้พยาบาลไปช่วยคัดกรองคนไข้ ผมฟันธงว่าต่อไปพยาบาลจะทยอยลาออกตามหมอ คุณกลับตอบว่า เป็นโครงการที่ดี ทำสำเร็จแล้วที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ผลดีเยี่ยมด้วย ไปนอนเล่นที่ ICU ไหนมาหรือครับ ถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้ ที่รามาธิบดี มันสำเร็จยังไงครับ พิสูจน์แล้วหรือว่าจะส่งผลให้ถ้ามอบภาระนี้ให้พยาบาลทั่วประเทศ แล้วพยาบาลจะไม่ลาออกมากกว่าปัจจุบัน ต่อให้พยาบาลที่ทำหน้าที่คัดกรองของรามา มาเป็นตัวพิสูจน์ ว่าไม่มีใครลาออก ผมว่ามันก็สรุปยาก กลไกของโรงเรียนแพทย์ เขามีระบบที่จะไม่ทำให้พยาบาลที่เข้าโครงการนำร่องทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ในการแบกภาระรับผิดชอบในการคัดกรองคนไข้ ผมก็เชื่อว่าพยาบาลรามาน่าจะรับความกดดันได้ดีกว่าพยาบาลในโรงพยาบาลท้องถิ่น Comment: พอถึงตอนนี้ ผมไม่ค่อยอยากจะคุยกับคุณแล้วละครับ ถ้าคุณติดตามอ่านคห.ของผม ผมบอกว่าผมห่วงพยาบาลจะลาออก ผมยังสดุดีพยาบาล ให้กำลังใจอดทนในสิ่งที่พยาบาลได้ทำดีอยู่แล้ว เรื่องพยาบาลเวชปฏิบัตินั้น มีงานวิจัยออกมาแล้วว่าระดับการเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดานั้น พยาบาลเวชปฏิบัติทำได้ดีเยี่ยม ดีกว่าแพทย์ในระบบการทำงานแบบเดิม ที่พอเห็นหน้าคนไข้ ยังไม่ทันตรวจก็แทบจะเขียนใบสั่งยาให้แล้ว คนในวงการแพทย์เขารู้เรื่องนี้ดี แต่คุณ Pom.com ไม่รู้ ที่ผมเขียนอย่างนั้นเพราะคิดว่าคุณอยู่ในวงการแพทย์ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ผมก็ไม่เขียน อีกอย่าง คุณยังสัมผัสกับจิตสำนึกและจิตวิญญาณของบุคลากรในวงการแพทย์น้อยไป ส่วนที่ดีๆที่ควรนิยมยกย่องนั้นมีมาก โดยเฉพาะพยาบาล ซึ่งไม่ว่าผมจะพรรณาอย่างไร คุณก็ไม่เข้าใจ / ส่วนปัญหาอีกหลายข้อ ไม่ว่าหมอลาออก โรงพยาบาลเอกชนถอนตัว งบประมาณบานปลาย  คุณไม่ได้เสนอทางออก ได้แต่เฉไฉไปเรื่อย Comment: เรื่องช้างๆระดับชาติอย่างนี้ พูดยาวในนี้ไม่ได้ พูดสั้นๆก็ไม่รู้เรื่อง คุณลองพลิกหรือเลือกหรือ Search กระทู้หรือความเห็นที่เกี่ยวข้องดูนะครับ ผมเสนอไว้แล้ว ยุทธศาตร์ระดับชาติเชียว สั้นๆครับ คุณต้องตีความเอง ถามคนข้างๆตัวคุณก็ได้ / ส่วนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน  ถ้าคุณจะสรุปง่ายๆว่าในสังคมนี้ใครๆก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้นำจะมีบ้าง จะเป็นไร ผมว่าคุณกับผมคงอยู่กันคนละสังคมครับ Comment: ตีความผิดแล้วละคุณเอ๋ย ไม่ว่าใครทำก็ผิดด้วยทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น ใจคอของคุณไม่สนใจเลยหรือว่าจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร อย่างเช่นกรณีเขายายเที่ยง ถ้าคุณทักษิณผิด อีกหลายๆคนต้องผิดด้วย แต่นี่มันสองมาตรฐาน / ผมไม่ใช่หมอ แต่ด้วยประสบการณ์ของผม เห็นว่าคนที่อายุเกิน ๓๕ ปีทุกคน ควรตรวจคลอเรสเตอรอลครั้งแรก ก่อนที่จะสายเกินไป ในระบบที่เบิกได้ ๓๐ ปีก็ตรวจได้แล้ว Comment: คุณก็บอกตรงๆแล้วว่าไม่ใช่หมอ และคงไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์อีกด้วย ขอโทษ ถ้าคาดเดาผิด / ป้าจะฝ่าฟันอะไร ถ้ามันไม่กระทบกับคนอื่น ผมก็จะไม่ขัดข้อง แต่ถ้าป้ายิ่งฝ่าฟัน ลากระบบให้เกิดความเสี่ยง ก็ต้องออกมาติง อย่างที่ผมบอก ตอนนี้หมอลาออกยังแก้ไม่ได้ ผมกลัวปัญหาพยาบาลลาออกจะทับถมเข้ามาอีก ไม่นับเรื่องมาตรฐานการรักษา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าจะประกันสุขภาพทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจน มันก็คงไม่มีปัญญาตรวจคลอเรสเตอรอลได้ทุกคน ถ้าให้คนที่พอจะจ่ายประกันสุขภาพตัวเองได้ ช่วยจ่ายบ้าง จะได้จูงใจให้เอกชนเข้าร่วมโครงการ ลดคนไข้โรงพยาบาลรัฐ เพิ่มคุณภาพการรักษาให้คนจน เช่น ตรวจร่างกายประจำปี ได้ตรวจคลอเรสเตอรอล มันจะไม่ดีกว่าหรือ แต่ถ้าสุดท้าย ป้าบอกว่าไม่ต้องตรวจทุกคน รักษาฟรีหรือจ่ายเป็นพิธีดีกว่า  เพราะมาตรฐานการตรวจร่างกายของข้าราชการ โรงพยาบาลเอกชน สูงเกินไป เช่น ตรวจคลอเรสเตอรอลไม่จำเป็น มันมีปัญหาในเชิงองค์ความรู้แน่นอน ว่าผมหรือป้าผิด ทำให้ทิศทางต่างกัน ซึ่งก็คงจะถกในราชดำเนินไม่จบ Comment: ขอแนะนำให้ใช้ข้อความ"การตรวจสุขภาพประจำปี หรือทุก 6 เดือน"จะดีกว่าไหมครับ การตรวจ Cholesterol เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปีครับ ยังมีอีกหลาย Basic Routine Test ที่ควรตรวจ ขอบคุณที่โต้แย้งผมนะครับ มีบางช่วงบางตน และยังมีบางคห. เย้ยหยัน Paview ว่าเพ้อฝัน คิดทางบวกที่ไม่มีวันเป็นจริง ขอบอกว่า บุคลากรอย่าง Paview นี่แหละที่ชาติบ้านเมืองต้องการเป็นอย่างยิ่ง อยากให้มีเยอะๆ ถามคุณบ้างว่า รู้ไหมว่าบุคลากรอย่างนี้ต้องการอะไรตอบแทน ขอตอบละกัน การได้รับเกียรติ ความนับถือ ความเข้าใจ ด้วยความจริงใจ เห็นไหม เงินมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยกว่าที่คุณคิด หวังว่าคุณคงเข้าใจ ว่าผมพยายามจะสื่อถึงอะไร ความคิดเชิงบวกนี่แหละที่เราส่งเสริมให้ทุกคนมีมากๆ มัวคิดแต่ทางลบ สังคมจะได้อะไร  สังคมก็จะถึงกาลวิบัติ อย่างที่บ้านเมืองกำลังจะเป็นอยู่รอมร่อนี่ไง / จากคุณ : Pom.com  - [ 26 พ.ค. 52 01:24:27 A:124.120.222.155 X: ]   Comment: ยินดีที่ได้เสวนาด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 17:51:19 จากคุณ : อภิวัฒน์ (Apiwatmnp) - [ 26 พ.ค. 52 17:50:09 A:124.121.93.166 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 แหม....คุณ Pom.com คิดว่าป้าเป็นช้างหรือไง จึงบอกว่า "ลากระบบให้เกิดความเสี่ยง" จนคุณต้องออกมาติง ป้าไม่ได้มี Power ขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ถามจริงเถอะค่ะ ก่อนมาโต้ตอบกันในกระทู้อย่างคุณ Pom.com เคยถามจริงพวกนี้จากคนใกล้ตัวหรือปล่าวค่ะ ในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์แพทย์และเคยลงไปทำงานในชุมชน มาแล้ว ป้าว่าท่านต้องให้คำตอบ คุณ Pom.com ได้ในแนวทางเดียวกับป้า เพราะการทำงานภาคประชาชน ภายใต้การกำกับของสปสช. มันก็ใช้มาตรฐานตัวชี้วัดเดียวกัน ต่างกันบ้าง ก็แค่กรรมวิธี เพราะป้ารู้สึกว่า คุณ Pom.com จะสับสนหลายเรื่อง และขอโทษทีนะคะ ก่อนตอบได้ดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ มาหรือปล่าวค่ะ เพราะรู้สึกว่า ลักษณะการ ตอบโต้คล้ายๆคนเมาเบียร์มา อย่างเช่น.... --- เรื่อง ที่ระบบบริการสุขภาพในปั๗จุบันนี้เน้นให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด แล้วป้าก็เล่าว่า มีการให้ อสม.เจาะเลือดตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการเจาะปลายนิ้ว เอาหยดเลือดตรวจกับ เครื่องตรวจ DTX จนได้ผลการคัดกรอง เป็น 3 ระดับ คือ        ** ผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ก็ได้ผลในการติดตา่มการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอถูกวิธี        ** ผู้ที่อยู่ในระดับเสี่ยง คือเกิน 110 mg/dl กลุ่มนี้จะได้เข้ากลุ่มAdvice ให้ความรู้ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พวกเราที่เป็นพยาบาลจะทำการ Empowerment ให้ ทีมสุขภาพภาคประชาชน มีบทบาทในการจัดการมากที่สุด โดยมีเราเป็นพี่เลี้ยง เขาจะให้ความรู้ เพื่อนบ้านของเขาคนในเขตรับผิดชอบของเขาที่เขามีโอกาสได้ติดตามดูแลได้มากกว่า ในการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรม ทีมสุขภาพภาคประชาชนเขาจะมีทั้งอสม. อบต. ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น และชมรมผู้สูงอายุ เขาจะมีการช่วยดูแลกันเองอย่างเพื่อนช่วยเพื่อน มันได้ผลดีกว่าที่ แพทย์ และพยาบาลไปบ่นไปบอกเขาอีกว่าให้ลดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล อะไรพวกนี้เพราะบางที พูดเป็นวิชาการเกินไป ชาวบ้านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่การที่เขาร่วมกันทำในชุทชนนั้น จะได้ผลดีมาก สังเกตดู เป็นกลุ่มเสี่ยง สัก 10 คนจะสามารถปรับตัวได้ ด้วยควบคุมอาหาร เข้ากลุ่มออกกำลังกายแอโรบิค และบางหมู่บ้านก็มีการปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ผลออกมาได้ผลดีมาก จนทุกวันนี้ป้าจะบอกกับเพื่อนเวลา ประชุมร่วมกันว่า ให้ลองมาใช้วิธีนี้กัน ไม่ต้องไปบ่นเขา ไม่ต้องเพิ่มความเครียดแก่เขา เพราะ จะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย ดีไม่ดีเขาลงทุนอดข้าวอดน้ำ เป็นวันๆ เพื่อที่จะหลอกเราว่าสามารถลดได้แล้ว เพราะไม่อยากได้ยินหมอบ่น ทั้งกลัวทั้งหงุดหงิดรำคาญ ผลก็คือ ตัวเลขที่ออกมา กับปรากฎการณ์ ความจริงสวนทางกันอย่างนี้เป็นต้น                   **ผู้ที่ผลเลือดปกติ ก็มีการประเมินความรู้ เพิ่มส่วนที่ขาด เปลี่ยนส่วนที่เข้าใจผิด เพื่อให้ เขาสามารถดูแลตนเองให้ดีอย่างนี้ตลอดไป และเอาความรู้ที่มีอยู่ไปเผยแพร่ให้คนอื่นเป็นวิทยาทานกันอีก                             ****************************** นี้คือกระบวนการคัดกรองผู้ป่วยจากเบาหวานและความดันโลหิตสูงรวมถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต ที่งานส่งเสริมสุขภาพของหน่วนบริการสาธารณสุขของรัฐในระดับปฐมภูมิทุกที่ ได้รับนโยบายมา ปฎิบัติกันอย่างเข้มแข็ง ตั้งแต่ยุค Healthy Thailand จนถึงบัดนี้ ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มีการวัดรอบเอว กันทุกปี แล้วยังมีเรื่อง ตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ตรวจมะเร็งปากมดลูก เรื่องพวกนี้จะมี ภาคประชาชนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ต้องเป็นภาระของแพทย์ นอกจาก เมื่อตรวจพบผู้ที่พ้น จากระดับเสี่ยงกลายเป็นผู้ป่วยเต็มขั้น นั่นหละถึงจะใช้บริการของแพทย์ ถ้าคุณ Pom.com ไม่เชื่อที่ป้าบอก แ ละคนใกล้ตัวก็ไ ม่สามารถยืนยันได้ ก็ขอไปที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธาณสุข ไปถามหา สำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แล้วคุณไปสอบถาม ได้เลยว่าเป็นจริงอย่างที่ป้าว่ามามั้ย มันไม่เพ้อฝัน ไม่ใช่การเพ้อเจ้อ แต่นี่คือ แก่นส่วนหนึ่งของหลัก ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่เขาวางแผนให้เกิดการพึ่งตนเองของประชาชน มันจะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่ จำเป็นออกไปได้ ช่วยผลักดันให้เกิดชุมชนเข้มแข็ง และประชาชนที่เป็นทรัพยากรอันมีค่าของชาติ ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีกำลังวังชาช่วยกันทำมาหากิน เ มื่อคนส่วนใหญ่ในประเทศ "รอบรู้=>ไ ม่จน=>ไม่เจ็บ" แ ล้วหล่ะก็ การพัฒนา   ระบบเศรษฐกิจและสังคมก็ย่อมทำได้ อย่างดี เห็นมั้ยว่า โครงการนี้มีความชาญฉลาดขนาดไหน ทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันเป็นโซ่ คล้องใจกันอยู่แยกกันไม่ได้หรอก....แ ต่คุณ Pom.com กลับบอกว่า "ป้านี้มองโลกในแง่บวกจริงๆ กลไกแบบนี้ มันสำเร็จที่ไหนในโลกบ้างครับ จะให้ชุมชนเจาะเลือดตรวจกันเอง ตอนนี้เถียงกันจบหรือยัง ว่าจะตรวจอะไรบ้าง คลอเรสเคอรอลสูง จะทำยังไงต่อ ส่งต่อเลย หรือให้คนไข้ไปลองลดเองก่อน ส่งต่อต้องไปตรวจใหม่อีกรอบหรือเปล่า แค่แลบศิริราชกับแลบเอกชนในกรุงเทพฯก็ยังไม่ตรงกัน"                              ******************************** ป้าจึงงงว่า คุณเมาเบียร์หรือปล่าว ทำไมเข้าใจอยากจัง ข้ออื่นขอตอบพรุ่งนี้เด้อ ง่วงจัง ไปนอนก่อนแล้วจ้า จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 26 พ.ค. 52 23:19:46 A:118.173.203.185 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ อภิวัฒน์ ผมไม่ใช่หมอ แต่ผมว่าไม่จำเป็นต้องเป็นหมอก็วิเคราะห์เรื่อง ๓๐ บาทได้ ส่วนการที่ผมมีคนใกล้ชิดเป็นหมอ ก็ทำให้ผมมีหมอเป็นเพื่อนไม่น้อย น่าจะหลักร้อย เข้าใจปัญหาเขาพอสมควร  ประชุมหมอที่รอยัลคลิฟ ปีไหนว่างก็ตามภริยาไปประจำ ว่าไปแล้วเรื่อง ๓๐ บาทเป็นเรื่องเชิงบริหาร ซึ่งคนในวงการหมอแท้ๆก็อาจมองภาพปัญหาผิดพลาดก็ได้ คนนอกวงการอาจจะมองดีกว่า อย่างเรื่องพยาบาลนี่ ปัญหาง่ายๆ คุณยังไม่เข้าใจ ยังไปพูดเรื่องพยาบาลทำแทนหมอได้ ทั้งที่หัวใจของปัญหาคือ ทำแทนได้แล้ว จะลาออกมากกว่าเดิมหรือเปล่า ส่วนเรื่องปัญหา ๓๐ บาท ที่คุณตอบไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่อย่าอ้างว่ามันยาวเลยไม่ตอบเลยครับ หมอลาออก งบบานปลาย แก้ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่เลิกประชานิยมคนจนยันคนรวย กรณีคุณทักษิณผิด ใครจะผิดด้วยครับ มีแต่ทำผิดอยู่คนเดียวในประเทศนี้ กรณีหุ้นชิน และที่ดินรัชดา ส่วนเรื่องคลอเรสเตอรอล มันต่อเนื่องมาจากการคัดกรองโดยชุมชน แล้วป้าวิวว่าไม่จำเป็นต้องตรวจทุกคน ใช้วัดความดันแทน แต่ผมบอกว่าคนอายุ ๓๕ ควรเริ่มตรวจทุกคน ก่อนจะสายเกินไป คุณไม่ลองออกความเห็นหน่อยหรือ ว่าใครถูกผิด สำหรับผม จะมานั่งชมใครที่คิดเชิงบวก แต่จะลากพาชาติพัง เพราะความเพ้อฝัน ไม่ได้หรอกครับ ๓๐ บาทนี่ถ้ามันล้ม หมอ พยาบาลลาออก จะเลวร้ายกว่าแต่ก่อนเสียอีก จากคุณ : Pom.com - [ 27 พ.ค. 52 00:18:40 A:124.120.225.184 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ : Paview ถ้าป้ามองปัญหาเป็นจุดๆ ขณะที่ผมมองเป็นภาพใหญ่ ก็ต้องใช้เวลาจูนกันหน่อย ผมบอกว่าหมอลาออกคือปัญหา ป้าบอกว่ากำลังแก้โดยใช้ระบบคัดกรอง เช่น ตรวจเบาหวาน ผมบอกว่ามันจะกรองได้สักเท่าไร ตรวจเบาหวานได้ แต่แค่คลอเรสเตอรอลก็ตกม้าตายแล้ว ป้าบอกว่าใช้วัดความดันแทน ผมว่าป้ากับผมต้องมีใครผิดในเชิงวิชาการ เพราะคิดอย่างป้ามันกรองได้  แต่จะมีคนเป็นโรคจากการที่คลอเรสเตอรอลสูงโดยไม่รู้ตัวอีกเท่าไร สุดท้ายก็ต้องไปให้หมอรักษาตอนอาการออก ไม่นับตรวจอะไรอีกเยอะแยะ ที่คนชั้นกลางเขาตรวจกันปกติ ตรวจเลือดที ก็สิบยี่สิบตัว อย่างผมต้องระวังHDLต่ำ ไม่ตรวจไม่รู้หรอก จากคุณ : Pom.com - [ 27 พ.ค. 52 00:31:03 A:124.120.225.184 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 เรียนคุณ Pom.com คห.ที่ 20 ,21 "สำหรับผม จะมานั่งชมใครที่คิดเชิงบวก แต่จะลากพาชาติพัง เพราะความเพ้อฝัน ไม่ได้หรอกครับ ๓๐ บาทนี่ถ้ามันล้ม หมอ พยาบาลลาออก จะเลวร้ายกว่าแต่ก่อนเสียอีก" ================================================= รู้สึกว่าคุณจะดูถูกภูมิปัญญาและตั้งข้อกล่าวหาให้ป้า รุนแรงไปหน่อยแล้วนะ คำพูดอย่างนี้ ไม่น่าจะมาจากครอบครัวของแพทย์ที่คุณกล่าวอ้างว่า ต้องลงไปทำงานในชุมชน การคิดเชิงบวกกับโครงการดีๆ ที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศ มีหลักประกันยามเจ็บป่วย และวิธีการแก้ปัญหาที่ดีนี้  ก็ไม่ใช่การเพ้อฝันของป้า แต่เป็นนโยบายระดับชาติ และเป็นนโยบายคุณภาพ    ที่มาจากการระดมสมองของบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิใน กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย แพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาเภสัข สภาการพยาบาล ชมรมแพทย์ชนบท   คณะกรรมการจากสปสช. ร่วมกับกับกรรมการภาคประชาชนอย่างเช่น สสส. และชมรมผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย และระดับปฏิบัติภาคสนาม อย่างชมรมหมออนามัย จนได้แนวทางดีๆ มาวางเป็นรากฐานของการสร้างสุขภาพในชุมชน ดังทุกวันนี้ เขามีทีมนักวิชาการทำวิจัยในแต่ละพื้นที่ หาข้อสรุปความเป็นไปได้ มีทีมผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ลงตรวจงานประเมินผลงานในพื้นที่ มีสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พรพ.) ให้การรับรอง เมื่อมีการปฏิบัติได้ครบกระบวนการ อย่างมีมาตรฐาน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นที่มาของภาคปฏิบัติการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน จนได้กลุ่มเป้าหมาย มา 3 ประเภทอย่างที่อธิบายในคห.ที่ 19 ที่ลงทุนอธิบายอย่างละเอียด ทั้งๆที่ง่วงนอนตาแทบปิด พิมพ์ผิดๆถูกๆ แต่มีความหวังว่าคุณ Pom.com จะเข้าใจโครงการนี้ในทางที่ถูกต้อง แต่ก็เปล่าเลย คุณกลับตั้งข้อหา "เป็นผู้ลากพาชาติพัง" ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ ขอให้คุณ Pom.com ผู้ซึ่งบอกว่า ไม่ใช่แพทย์แต่เป็นผู้ที่มีความสนิทสนมกับแพทย์เป็นร้อย เพราะติดตามภรรยาไปประชุมบ่อยๆ ก็คงทำความรู้จัก นพ.อนุวัฒน์ ศุภชุติกุลผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พรพ.) ไม่ยากเท่าไหร่ รบกวนคุณช่วยถามอาจารย์หมอ อนุวัฒน์ ให้หน่อยเถอะค่ะ ว่า ภาคปฏิบัติทั้งหมดที่ป้า ได้เอามาเล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำกันผิดๆ ทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือไม่ คนอย่างป้า เพ้อฝันเอาเองใช่หรือไม่ คุณจะได้รู้ความจริงเสียทีว่า ในโลกของวงการสาธารณสุขเขาไปถึงไหนกันแล้ว ในทุกวันนี้อะไรคือหน่วยน้ำหนักที่ผู้ใหญ่ในกระทรวงเขาหวังผลสัมฤทธิ์กันมาก อะไรที่เขามุ่งแก้ปัญหา เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงยั่งยืน ให้กับชาติบ้านเมือง  คุณรู้จักคำว่า "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาน้ำแข็ง" มั้ยค่ะ เคยได้ยินมั้ย คุณอย่าเพิ่งด่วนสรุป ในสิ่งที่คุณไม่รู้ ว่ามันเป็นไปไม่ได้สิคะ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่คุณไม่รู้ ยังไม่เคยรู้ และแถมตอนนี้ คุณก็ยังไม่ยอมรับรู้อีก ไม่รู้ไม่ว่า แต่คุณยังดูถูกดูแคลนคนที่รู้ และสัมผัสกับ มันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า "ผิดในเชิงวิชาการ"  ซึ่งป้าก็ขอยืนยันว่า ถ้าป้าคิดผิดทำผิดแ ล้วหล่ะก็ เหล่าผู้ทรง คุณวุฒิทั้งหมดที่ป้ากล่าวอ้างมาข้างบนนี้ ต้องผิดกว่าป้ามาก เพราะเป็นผู้กำหนดแผนนโยบาย ให้ผู้ปฏิบัติรับไปปฏิบัติกันทั้งประเทศ ไม่ได้มานั่งเทียนเขียน และมาเล่านิทานโกหก ให้ใครฟัง แต่นี่มันเรื่อง ของจริง หาพยานหลักฐานได้ไม่ยากหรอก จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 27 พ.ค. 52 19:32:44 A:118.173.205.195 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 เรียนคุณ Pom.com คห.ที่ 21 "ผมบอกว่าหมอลาออกคือปัญหา ป้าบอกว่ากำลังแก้โดยใช้ระบบคัดกรอง เช่น ตรวจเบาหวาน" Comment/ ทำไมคุณจึงเขียนอย่างนี้ ตรงกลางระหว่างคุณบอก กับป้าบอก มันมีอะไร ทำไมคุณไม่บอกให้หมดหล่ะค่ะ คุณเล่นเว้นไว้ ตัดหัวกับหางมาวาง แล้วคุณก้สรุปว่า ป้าซื่อบื้อ ไม่รู้เรื่อง ถ้าตัวป้าเองมาอ่านข้อความอย่างนี้ โดยไม่รู้ที่ไปที่มา ป้าก็จะบอกว่า ตอบอย่างไม่มีสมองเลย แต่จริงๆแล้วมันเป็นอย่างนี้มิใช่หรือ.....> ความคิดเห็นที่ 30 คุณ : Paview นี่มันผ่านมาหลายปีแล้วนะครับ จะมานั่งวิเคราะห์อะไร ดูข้อเท็จจริงได้เลย ๑. งบประมาณแผ่นดินสำหรับสาธารณสุข เป็นสัดส่วนมากขึ้นทุกปี ต่างจากที่คาดว่าจะคุมอยู่ โดยใช้กลไกบริหาร คลุก ๓๐ บาท เข้ากับประกันสังคม และข้าราชการ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะมาตรฐานการรักษายังไม่เท่ากัน ๒. คนที่ได้สิทธิ์ ส่วนใหญ่ชื่นชม ยกเว้นคนไข้อนาถาบางคนที่มีศักยภาพในการเข้าถึงโรงเรียนแพทย์ แล้วได้ยาแย่ลง ๓. หมอยังทยอยลาออก ด้วยอัตราที่สูงกว่าก่อนมีโครงการ ๔. โรงพยาบาลเอกชน ส่วนหนึ่งถอนตัวจากโครงการ ตอนนี้ก็นั่งภาวนาเถอะครับ ว่าจะหยุดหมอลาออกได้ยังไง เห็นป้าว่าจะให้พยาบาลไปช่วยคัดกรองคนไข้ ผมฟันธงว่าต่อไปพยาบาลจะทยอยลาออกตามหมอ โครงการนี้ถ้าจะอยู่รอด หมอต้องเสียสละอย่างสูง งานหนัก รายได้ลด ซึ่งอาจเป็นไปได้ ถ้าผู้นำตอนนั้นทำเป็นตัวอย่าง แต่เจอผู้นำที่มีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ยากที่จะเป็นแรงใจให้หมอส่วนหนึ่งทนต่อไปได้ จากคุณ : Pom.com - [ 24 พ.ค. 52 01:16:55 A:124.120.219.98 X: ] ป้าก็ตอบไปว่า.......> ความคิดเห็นที่ 32 เรียนคุณ Pom.com ป้าไม่ได้ทำการวิเคราะห์นะคะ อย่าเข้าใจผิด แต่ป้าเอาความจริงมาเล่า ให้ฟังต่างหาก ใช่ค่ะโครงการนี้ล้มลุกคลุกคลานมานาน แต่เชื่อว่าในที่สุดจะต้องถึงจุดหมายปลาย พร้อมกับประชาชนคนไทย ได้ รับสวัสดิการจากรัฐอย่างเท่าเทียม และทั่วถึง อย่างมีมาตรฐานแน่นอน มันคุ้มค่าต่อการฟันฝ่าไปท่ามกลาง ความยากลำบาก ไม่ใช่หรือค่ะ ส่วนเรื่องแพทย์ลาออกไป เรื่องอย่างนี้มันอยูที่จิตสำนึกของแพทย์เอง ใครก็ไปห้ามเขาไม่ได้หรอก ขนาดมีสัญญา เขาก็ยังเอาเงินมาชดใช้กันได้ แต่ป้าก็เชื่อว่ายังมีแพทย์ที่รัก งานรักในอาชีพแพทย์ ที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกเยอะ กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีหรอก เพียงแต่เราต้องมีความรักให้กันทั้งองค์กรทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ต้องยอมรับให้ได้ว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือต้นเหตุ ที่ทำให้อยู่กันไม่ได้ บางรายไม่ใช่เรื่องของเงินทองหรอก แต่เป็นเรื่องของ "คับที่อยู่ได้คับใจ อยู่ยาก" เรื่องพรรค์อย่างนี้ มันต้องหันหน้าเข้าหากันทุกฝ่ายแล้วเปิดอกเคลียร์กันในเชิงบวก ผู้ใหญ่ก็ ไม่ลุแก่อำนาจ ผู้น้อยก็เคารพอาวุโสบ้าง แพทย์และทีมสุขภาพต้องเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของชาวบ้าน ผู้รับบริการ ชาวบ้านก็ต้องมีความพอเพียงและเข้าใจในข้อจำกัดบางอย่างที่เป็นอุปสรรคในการดูแลรักษาพยาบาล หมายความว่า ขอให้อยู่กันประดุจญาติ มีความรักให้กัน ขาดเหลือก็ช่วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข เมื่อบรรยากาศองค์กรเป็นอย่างนี้ ใครจะทิ้งไป ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของเขา มันเรื่องของเขา แต่ป้ามั่นใจอย่างหนึ่งว่าตอนนี้ระบบการดูแลสุขภาพของคนไทย ยังมีค่านิยมในการพึ่งพา้อยู่มาก เพราะโดนปลูกฝังมาอย่างนี้ จากคนที่เป็นแพทย์ที่ไม่เคยไว้ใจให้ผู้ป่วยรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีอะไรก็ต้องให้หาหมอ เจ็บนิดเจ็บหน่อย ก็ต้องกินยา แต่อนาคตข้างหน้าระบบจะเปลี่ยนไป คนยุคใหม่ มีความรู้มากขึ้นสนใจตนเองมากขึ้น และจะถูกปลูกฝังให้พึ่งตนเองให้มาก และมีการดูแลกันเองภาคประชาชน อย่างเช่น อสค. และอสม. จะมุ่งสร้างสุขภาพ มากกว่าซ่อมสุขภาพ เช่นการตรวจความดันโลหิต การเจาะเลือด ตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ก็จะมีการตรวจคัดกรองกันเองโดยอสม. ทำกันในชุมชน และถ้าพบว่ามี ความผิดปกติหรือป่วยก็ไปรับการรักษาที่สถานีอนามัย หรือ PCU ที่อยู่ใกล้บ้าน เมื่อสามารถทำให้ผู้รับบริการ เข้าใจและตกลงบริการ กันได้อย่างนี้ ป้าก็มั่นใจว่า ภาระอันหนักอึ้ง ของแพทย์ ก็จะลดลงได้ เพราะจะเหลือ แต่ผู้ป่วยระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ ที่จะต้องพึ่งการรักษาจากแพทย์โดยตรง แพทย์ก็จะเหลือเวลาในการแทรกการ ส่งเสริมสุขภาพเข้าในงานประจำ จนกลายเป็นวัฒนธรรมของการตรวจรักษา และแพทย์ก็จะสนิทสนมกับ ผู้รับบริการมากขึ้น ความผูกพันก็จะเกิดขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ปัญหาเรื่องการฟ้องร้อง ของผู้ป่วยและญาติก็จะไม่มี แพทย์ก็ไม่ต้องมาเกร็งเหมือนแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนที่เผลอไม่ได้โดนดีแน่ และยังต้ิองเอาอกเอาใจ ผู้รับบริการจนเกินพอดี หรืออย่างดี จึงจะอยู่ได้ ซึ่งแพทย์บางท่านก็ทนสภาพ อย่างนั้นในรพ.เอกชน ไม่ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ รพ.เอกชนถอนตัวจากโครงการนี้ ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะรพ.เอกชน ก็คือธุรกิจที่ต้องการกำไร เมื่อเขาไม่ได้กำไร เขาก็ถอนตัว ก็ถูกต้องแล้วนี่คะ บางโรงก็ทำสัญญา แค่ปีเดียว ก็ถอนตัว ก็ไม่เป็นไร สิทธิ์ของเขา จะเข้าหรือจะออก สปสช.ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ต้องประกาศให้ผู้รับ บริการทราบอย่างทั่วถึงว่า ผู้ขายบริการได้ ถอนตัวไปแล้ว สปสช.ที่เป็นผู้ซื้อบริการ ก็หารพ.ใหม่ให้ผู้รับบริการ โครงการนี้ขึ้นทะเบียนก็เป็นอันว่าเสร็จพิธี ข้อสำคัญก็คือต้องให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพที่มีมาตรฐาน กันอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส ส่วนคนที่เขามีฐานะดี มีเงินมีทองเยอะก็แล้วแต่ จะเลือกไม่ใช้บริการบัตรทอง ก็ไม่เป็นไรแล้วแต่ ศรัทธา จะเน้นการใช้บริการในรพ.เอกชนต่อไปโดยรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายเองก็ได้ สามารถทำได้ตามสบาย ไม่มีใครว่าอยู่แล้ว สิทธิส่วนบุคคล ส่วนเรื่องพยาบาลลาออก ป้าก็มีความเห็นในทำนองเดียวกันกับแพทย์ คือสิทธิส่วนบุคคล มันอยู่ที่คำว่า "จิตสำนึก" มากกว่าค่ะ "อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฝากฟ้าสุราลัย...สู่แดนดิน" แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 21:05:47 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 21:04:49 จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 24 พ.ค. 52 20:24:41 A:118.173.207.100 X: ] ................................................................................................ ป้าตอบอย่างนี้มิใช่หรือ พูดง่ายๆว่า รับห้ามแพทย์ไม่ให้ลาออกไม่ได้ จะเอาเงินมาฉุดไว้ ประเทศไทยก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จึงวางแผนช่วยลดภาระงาน แบ่งเบางานของแผน ที่พอจะดยกไปให้พยาบาลทำแทนได้ ก็โยกออกไป พร้อมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชาวบ้านให้มีการดูแลตนเองมากขึ้น มีภาคประชาชนมาร่วมกันทำงาน ดูแลเพื่อช่วยผู้เจ็บป่วยที่ต้องมารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อจะชวยให้แพทย์ที่ยังอยู่ในระบบของรัฐ ได้มีเวลาว่างมากขึ้น ไม่ทำงานหนักจนเกินไป ป้าตอบแนวนี้มิใช่หรือ ทำไมคุณพยายามบิดเบือนเพื่อลดน้ำหนักหักล้างเสียหล่ะ จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 27 พ.ค. 52 23:43:21 A:118.173.205.195 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ : Paview ที่ป้าพูดมา กับที่ผมย่อ มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ ในประเด็นหลัก และแน่นอนครับ ที่ผมว่าใครเพ้อฝัน ก็ไม่ได้ว่าป้าคนเดียว ผมว่าทุกคนที่ป้ากล่าวมา ถ้าเขามีแนวคิดแบบนี้ หัวใจในแนวคิดของป้า(และคณะ)กับผมมันต่างกัน ป้าจะทำแบบทุกวันนี้ต่อไป ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ภาระมาลงที่โรงพยาบาลรัฐ หมอทำงานหนัก ลาออกมาก ก็จะให้พยาบาลมาแบ่งภาระ ทำไปทำมาพยาบาลจะลาออกตามหมอ ก็จะให้ชุมชนมาแบ่งภาระ ซึ่งผมก็ว่ามาตรฐานการรักษามันจะห่างไกลกับสากลขึ้นทุกวัน แถมไม่รู้ อสม.จะลาออกตามพยาบาลหรือเปล่า ผมเองกลับมองว่าการสาธารณสุขไทย ควรแก้ปัญหาโดยอยู่บนโลกของความเป็นจริง จำนวนหมอเมืองไทยมีไม่น้อย แต่ระบบทำให้มันไม่พอ ซึ่งคนในคณะที่ป้าว่ามาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบมันมีปัญหา ยุคทักษิณ ๓๐ บาท มาพร้อมกับการผลักดันไทยเป็น medical hub รักษาคนต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยในประเทศไทย ตรงนี้ก็ดูดกำลังของหมอออกจากระบบที่จะรักษาคนไทยไม่รู้เท่าไร ๓๐ บาทเอง ก็ผลักดันให้หมอลาออกไปเอกชน ขณะที่เอกชนก็ทยอยถอนตัวออกจาก ๓๐ บาท จะมาแก้ปลายเหตุไม่ได้หรอกครับ ต้องมีเป้าหมายที่จะแก้โดยทำยังไงให้ภาระที่จะรักษาคนไข้ แบ่งกลับไปที่เอกชนมากกว่าทุกวันนี้ ซึ่งวิธีมันมี แต่คณะของป้าบางคนคงไม่เอาด้วยหรอก เช่น ๑. ยกเลิกนโยบาย medical hub ลดคนไข้ต่างชาติ ๒. ให้มีโรงพยาบาล คลีนิคเอกชน ที่เป็นเครือข่ายของรัฐ ให้ข้าราชการเบิกได้ แบบบ้านแพ้วสาขาพร้อมมิตร หรืออาจใช้วิธีตั้งวงเงินก็ได้ เช่น ปีหนึ่งให้สิทธิ์ข้าราชการและครอบครับเบิกเอกชนได้รวมกันห้าหมื่นบาท ใครปวดหัวตัวร้อนเล็กๆน้อยๆก็ไม่ต้องแห่มาเข้าโรงพยาบาลรัฐ ๓. ให้คนที่ถือบัตรทอง อาชีพอิสระ ที่มีรายได้เท่ากับหรือมากกว่าคนงานในโรงงานที่ต้องทำประกันสังคม สมทบประกันสุขภาพตนเอง จะส่งผลให้เงินต่อหัวสูงขึ้นจนจูงใจเอกชนร่วมโครงการ ...ทั้งหมดนี้ จะกระจายคนไข้จากรัฐไปสู่เอกชน เอกชนต้องการหมอมากขึ้น หมอรัฐมีงานน้อยลง มีเวลาไปหารายได้เสริมกับเอกชน หมอไม่ลาออก แก้ปัญหาตรงจุด แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 52 00:44:54 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 52 00:41:04 จากคุณ : Pom.com - [ 28 พ.ค. 52 00:38:53 A:124.120.228.183 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 คอเลสเตอรอล เป็นสาเหตุให้คนเป็น โรคอะไรค่ะ คุณ Pom.com ทำไมคุณต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น แล้วป้าก็ถามคุณว่า ในกรณีที่เราสัมภาษณ์อย่างดี ตรวจวัดความดันโลหิต สังเกตุระดับชีพจร เพื่อดูการเต้นของหัวใจ แล้วปกติดีทุกอย่าง ไม่มีพันธุกรรมเรื่องโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจใดๆเลย พฤติกรรมบริโภค ก็ดีทุกอย่าง มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไ ม่มีข้อบ่งชี้อะไร ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีความเ ครียด ไ ม่มีบุคลิกภาพแบบ เอ   จำเป็นต้องตรวจว่า อายุ 35 ปีขึ้นไป ต้องเจาะ เลือดตรวจ คอเลสเตอรอลทุกราย จำเป็นแค่ไหนกัน การตรวจกับไม่ตรวจมันต่างกันขนาดไหน อย่างไร คุณก็ไม่ยอมอธิบาย แต่กลับใช้ตรรกะของตนเองเป็นที่ตั้ง แล้วมาว่าคนอื่นอย่างนี้ "ส่วนเรื่องคลอเรสเตอรอล มันต่อเนื่องมาจากการคัดกรองโดยชุมชน แล้วป้าวิวว่าไม่จำเป็นต้องตรวจทุกคน ใช้วัดความดันแทน แต่ผมบอกว่าคนอายุ ๓๕ ควรเริ่มตรวจทุกคน ก่อนจะสายเกินไป" "ผมไม่ใช่หมอ แต่ด้วยประสบการณ์ของผม เห็นว่าคนที่อายุเกิน ๓๕ ปีทุกคน ควรตรวจคลอเรสเตอรอล ครั้งแรก ก่อนที่จะสายเกินไป ในระบบที่เบิกได้ ๓๐ ปีก็ตรวจได้แล้ว ป้าจะฝ่าฟันอะไร ถ้ามันไม่กระทบกับคนอื่น ผมก็จะไม่ขัดข้อง แต่ถ้าป้ายิ่งฝ่าฟัน ลากระบบให้เกิดความเสี่ยง ก็ต้องออกมาติง" คุณ Pom.com ลืมไปแล้วหรือว่าเรากำลังถกกันเรื่อง หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค) เพราะฉะนั้นทำไมคุณต้องโยงไปเรื่องการตรวจสุขภาพประจำปีของข้าราชการหรือผู้ที่ทำเบิก เพราะป้าก็รู้เหตุผลว่าทำไมในชุดตรวจสุขภาพประจำปี ต้องจัด Lab ชุดใหญ่ให้ ชุดเล็กกับชุดใหญ่มันต่างกันที่ไหน ต่างกันที่ ค่าตรวจ การตรวจสุขภาพประจำปีข้าราชการ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณบานตะไท ทั้งๆที่จริงแล้ว คัดกรองแบบ 30 บาทก็ได้ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง ค่อยเจาะตรวจดูก็ยังไม่สาย เพราะถามว่า ตรวจแล้วคอเลสเตอรอล อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีปัจจัยอย่างอื่นมาแทน ก็ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้เหมือนกัน คุณจะยึด แต่ผลการตรวจเลือด เป็นทางนำตลอดไม่ได้หรอกค่ะ มันมีหลายส่วนประกอบกัน เอาอย่างนี้นะคะ......> คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นไขมันที่มีความสำคัญ เป็นสารต้นกำเนิดของฮอร์โมนหลายชนิด และกรดน้ำดี จึงถึงว่าคอเลสเตอรอลเป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายขาดไม่ได้ แต่ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบแคบ ซึ่งเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ระดับคอเลสเตอรอลที่ตรวจ ภายหลังอดอาหารอย่างน้อย 12 ชม. และมีค่าเกินกว่า 200 มก./ดล. LDL ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ การศึกษาในกลุ่มประชากร และการศึกษาการดำเนินโรคของเส้นเลือดหัวใจตีบ พบปัจจัยเสี่ยง ที่สนับสนุนให้เกิดภาวะนี้ได้ง่าย ได้แก่ ผู้ชายที่อายุเกิน 45 ปี หรือผู้หญิงที่อายุเกิน 55 ปี มีประวัติการเกิดโรคนี้ในครอบครัว การสูบบุหรี่ เบาหวาน ความดันเลือดสูง ระดับของ LDL ในเลือดที่มากกว่า 160 มก./ดล. ระดับของ HDL ในเลือดที่น้อยกว่า 35 มก./ดล. ส่วนปัจจัยที่ป้องกันหรือลดการเกิดภาวะนี้ ได้แก่ ระดับของ HDL ในเลือดที่มากกว่า 60 มก./ดล. กับอันนี้......=*= ข้อมูลใหม่ คอเลสเตอรอลมีประโยชน์ต่อร่างกาย Submitted by molecularck on 10 January, 2008 - 10:22. tags: Health Science ถ้ากังวลว่ามีระดับ คอเลสเตอรอลในเลือดจะสูง แล้วจะเป็นโรคหัวใจ จนไม่กล้ารับประทานอะไรที่มีไขมันแล้วละก็ อ่านข้อมูลวิจัยล่าสุดแล้วอาจเปลี่ยนใจ นักวิจัยจาก Texas A&M University ซึ่งมี ผศ.ดร. Steven Riechman จากภาควิชา Health และ kinesiology กับ Simon Sheather จากภาควิชาสถิติ ตลอดจนทีมนักวิจัยจาก Johns Hopkins Weight Management Center และ the Northern Ontario School of Medicine ได้ค้นพบว่า การที่มี คอเลสเตอรอลน้อยจะ ไปลดการเกิดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลัง ทีมนักวิจัยได้ทดลองกับอาสาสมัคร ชายหญิงจำนวน 55 คน ที่มีสุขภาพดี อายุ 60-69 ปี โดยให้อาสาสมัคร ออกกำลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 12 สัปดาห์ และเมื่อทดลองเสร็จสิ้น ทีมนักวิจัยค้นพบข้อสรุป ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลง คอเลสเตอรอลต่อความแข็งแรง ได้ว่าพวกที่มี คอเลสเตอรอลในเลือดสูง กลับมีการสร้างกล้ามเนื้อที่รวดเร็วและแข็งแรง ซึ่งมีทีมนักวิจัยได้อธิบายว่าน่าจะเป็นเพราะ คอเลสเตอรอลมีบทบาทสำคัญในกระบวนการอักเสบ โดยเป็นผลดีต่อกล้ามเนื้อทำให้ เซลล์กล้ามเนื้อเกิดการเกิดใหม่แทนเซลล์เดิมซึ่งอักเสบไป อย่างไรก็ตาม หากเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อหัวใจยังคงเป็นผลร้ายต่อไป ซึ่งทีมนักวิจัยจะได้ศึกษาต่อไป ที่มา - Physorg.com หรือข้อมูลพวกนี้"""""""====> สาเหตุ สาเหตุของการเกิดแผ่นไขมันในหลอดเลือดแดงอันจะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดนั้นยังไม่มีผู้ใด ทราบแน่ชัด แต่การสังเกตอัตราการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดในประเทศต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมากนั้น ทำให้พบว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผ่นไขมันอยู่หลายอย่าง และเราเรียกปัจจัยที่เกี่ยวข้องนี้ ว่า risk factor ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่   *==>ความดันโลหิตสูง ทั้งความดันซิสโตลิคและไดแอสโตลิคมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ในภายหลังทั้งสิ้น และยิ่งความดันสูงมาก โอกาสที่จะเกิดโรคนี้ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 160/95 มม.ปรอท *==>การสูบบุหรี่ ปัจจัยนี้ทราบกันมานานแล้วว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดมากและยังขึ้นอยู่ กับระยะเวลาทีสูบและ จำนวนบุหรี่ที่สูบด้วย ตามรายงานองค์การอนามัยโลกพบว่าคนที่สูบบุหรี่จัดจะมี โอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดได้มากกว่า ผู้ที่ไม่สูบถึง 3 เท่า และหากมี risk factor อื่นๆร่วมด้วยอีก โอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดยิ่งมากขึ้น ในทางตรงข้าม ในกรณีของการอดบุหรี่ ผู้ที่เลิกสูบได้นานมากเท่าไร โอกาสของการเกิดโรคนี้ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนเกือบเท่ากับผู้ที่ไม่เคยสูบเลย ไขมันในเลือดสูง การศึกษาเรื่องนี้ ได้มีการทำกันมากและทำกันมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกานั้นพบว่า total cholesterol มีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคหัวใจขาดเลือดทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยศึกษาประชาชนอเมริกัน เป็นเวลา 24 ปี ( Framingham Study) และพบว่าพวกที่มี cholesterol ในเลือดสูงจะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่ากพวกที่มีไขมันต่ำถึง 5 เท่า โดยปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวพบมาก ในผู้ที่มีระดับ cholesterol ในเลือดสูงกว่า 200 มก./ดล. หรือผู้ที่มี ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150 มก./ดล. *==>อายุ ุ แผ่นไขมันจะเกิดมากขี้นเรี่อยๆตามอายุ ดังนั้นอุบัติการของการเกิดโรคนี้จึงมากขึ้นตามอายุ การพบโรคนี้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 35 ปีมีได้บ้างแต่ไม่บ่อย *==>เพศ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าเพศชายมีโอกาสเป็นโรตนี้มากกว่าเพศหญิงซึ่งอยู่ในระยะยัง ไม่หมดประจำเดือน แต่ภายหลังจากที่หมดประจำเดือนแล้ว โอกาสเป็นจะเท่ากันในทั้งสองเพศ =========================================== เห็นอย่างนี้แล้ว คุณคิดว่าในระบบหลักประกันนี้ฯ จำเป็นที่จะต้องตรวจ คอเลสเตอรอลทุกรายมั้ย ดูถูกคนอื่นอย่างนี้ น่ามีการทดสอบความรู้กันนะว่า คนที่บอกว่าเป็นแฟนอาจารย์แพทย์ ที่มองคนอาชีพอื่น ต่ำต้อยด้อยค่า ยกเว้นแต่แพทย์นั้น เก่งวิชาความรู้ทางการแพทย์ขนาดไหน ถ้าอยู่ใกล้ๆ น่าลงสนามสอบแข่ง กันสักตั้ง ว่าคนต่ำต้อยด้อยค่าอย่างป้า จะทำคะแนนสู้แฟนหมอ อย่างคุณได้มั้ย คำดูถูก สองคำก็ดูแคลน อยากเห็นจังว่าเลิศเลอ Perfect ขนาดไหน จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 28 พ.ค. 52 00:47:32 A:118.173.205.195 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ : Paview ผมเองนะเจอคนที่คลอเรสเตอรอลสูง ขณะที่ความดันปกติ มาไม่น้อยถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ ถ้าป้าไม่เชื่อผม ลองหาข้อมูลตรงนี้มาค้านก็ได้ ว่าความสัมพันธ์ของความดันกับคลอเรสเตอรอลเป็นอย่างไร มันมากพอที่จะใช้แทนกันได้หรือ ถ้าข้าราชการมีสิทธิ์ตรวจ ทำไมคนจนไม่มีสิทธิ์ตรวจ ต้องใช้ระบบคัดกรองแทน ซึ่งมีโอกาสพลาดไม่น้อย แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 52 01:58:21 จากคุณ : Pom.com - [ 28 พ.ค. 52 01:42:10 A:124.120.228.183 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรียนคุณ Pom.com คห.ที่ 26 ว่า ใ นกรณีที่คุณถามว่า "ถ้าข้าราชการมีสิทธิ์ตรวจ ทำไมคนจนไม่มีสิทธิ์ตรวจ ต้องใช้ระบบคัดกรองแทน ซึ่งมีโอกาสพลาดไม่น้อย" Answer : คนจนทำไมจะไม่มีสิทธิ์ตรวจ คนจนก็มีสิทธิ์ตรวจเหมือนคนทั่วไป แต่เป็นการสั่งตรวจที่มีความคุ้มค่าคุ้มทุนที่สุด เหมาะสมที่สุด ต่อไปสิทธิ์การรักษาอื่นๆก็จะต้องให้แนวทางเดียวกันนี้ นอกจากคนที่วิตกจริตที่หลงไปกับบริการ ของธุรกิจเอกชน ที่ไม่มีใครจะไปห้ามท่านได้ เปลี่ยนแปลงท่านได้ เพราะเรื่องของท่าน เงินของท่าน จะว่านเล่นหรือไปแจกใครยังไง ก็เรื่องของท่าน แล้วแต่กิเลส ความหลงของท่าน ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่เรื่องผลการรักษา ที่มีมาตรฐาน ยอมรับกันได้ทั่วโลก คือวิธีของกระทรวงสาธารณสุข ที่ล้อไปกับ WHO เพราะฉะนั้นจะบอกว่า "คนจนไม่มีสิทธิ์ตรวจ" ย่อมไม่ถูกต้องแน่นอน Answer : ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของภาวะไขมันในเลือดสูง กับระดับความดันโลหิตสูง จากผลการศึกษาวิจัย โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตของการเสียชีวิตของประเทศที่เจริญแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการและอาการแสดงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีได้หลายลักษณะได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใขาดเลือดโดยที่ไม่มีอาการเรียก Silent ischemia กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกเมื่อออกกำลังกาย เรียก Stable angina กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบ Unstable angina กลุ่มผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด Myocardial infarction กลุ่มผู้ป่วยที่มาด้วยเรื่องหัวใจวาย Congestive heart failure กลุ่มผู้ป่วยที่เสียชีวิตเฉียบพลัน Sudden cardiac death Acute Coronary Syndrome เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน สาเหตุของ ACS กลไกที่ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเชื่อว่าเป็นจากการที่หัวใจได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงไม่พอ ซึ่งมีสาเหตุหลัก 4 ประการ  คือ ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดหัวใจ(Occlusive or non-occlusive thrombus on pre-existing plaque) : เป็นสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุดของ ACS โดยผู้ป่วยส่วนมากจะมีคราบ (atherosclerosis plaque ) อยู่เดิมแล้ว ต่อมาเกิด ลิ่มเลือด( thrombus formation ) อุดตัน พยาธิกำเนิดของการเกิด thrombus อุดตันอย่าง ฉับพลันนี้ จะกล่าวโดยละเอียดต่อไป Dynamic obstruction (coronary spasm) : เป็นกลไกอธิบายภาวะ โรคPrinzmetal’s angina ซึ่งผู้ป่วยมีหดเกร็งของหลอดเลือดหัวใจ( vasospasm) จากการบีบตัวมากไป( hypercontractility ) ของ กล้ามเนื้อหลอดเลือด (vascular smooth muscle) หรือ endothelial dysfunction ทำให้เกิดอาการ แน่นหน้าอกขึ้นขณะพักโดยที่ไม่ได้เกิดจากหลอดเลือดตีบ Progressive mechanical obstruction : เกิดจาก atherosclerosis ตีบขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดเลือดไป เลี้ยงหัวใจไม่พอ progressive/worsening angina ถึงแม้ไม่มี plaque rupture หรือ vasospasm ก็ตาม กลุ่มนี้ทำให้เกิดโรค Angina pectoris Secondary causes : ในกรณีนี้ ผู้ป่วยมหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่ก่อน (stable coronary artery disease) อยู่แล้ว แต่มีปัจจัยมากระตุ้นบางอย่างที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจต้องการเลือด ไปเลี้ยงมากขึ้น เช่น ไข้ หัวใจเต้นเร็ว โรคติดเชื้อ โรคคอพอกเป็นพิษ หรือ การที่มี myocardial oxygen delivery ลดลง เช่น ความดันต่ำ ภาวะเลือดจาง ลักษณะอาการทางคลินิก อาการเจ็บหน้าอก ลักษณอาการที่สำคัญของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ชนิด Unstable angina/NonQ Myocardial infarction Rest pain หรือเจ็บหน้าอกขณะพัก ผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบมักจะมีอาการเจ็บหน้าอดเวลาทำงานหรือ ออกกำลังกาย หากเจ็บหน้าอกขณะพักและเจ็บนานเกิน 20นาทีก็ให้รีบสงสัยว่าจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดต้องรีบไปโรงพยาบาล New onset angina ผู้ที่ไม่เคยเจ็บหน้าอกมาก่อน หากมีอาการเจ็บหน้าอกครั้งแรก อาการเจ็บหน้าอก แบบ angina ครั้งแรกที่เกิดขึ้นใหม่ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือน โดยมีระดับความรุนแรงของการเจ็บหน้าอกอย่าง น้อยเทียบเท่ากับ Canadian Cardiovascular Society (CCS) class III ก็ให้สงสัยว่าจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด Increasing angina อาการเจ็บหน้าอก แบบ angina ภายในเวลา 2 เดือน ที่มีอาการกำเริบ มากขึ้นทั้งใน แง่ความรุนแรง ความถี่และระยะเวลาของ การแน่น หรืออาการเจ็บหน้าอกถูกกระตุ้นให้เกิดได้ง่ายกว่าเดิม โดยที่ระดับความรุนแรงของการเจ็บหน้าอก อย่างน้อย CCS class III รเะดับความรุนแรงของการเจ็บหน้าอก แบ่งตาม CCS (canadian cardiology society) ตารางแสดงระดับความรุนแรงของอาการเจ็บหน้าอก Angina pectoris ตาม Canadian Cardiovascular Society (CCS) Class อาการเจ็บหน้าอก 1 กิจวัตรประจำวันไม่ทำให้เจ็บหน้าอก เช่นการเดินหรือขึ้นบันได แต่การทำงานหนักหรือเร็วและแรงจะทำให้เกิดเจ็บหน้าอก 2 หากทำกิจวัตรประจำวันอย่งเร็วจะเจ็บหน้าอก เช่นการเดินหรือขึ้นบันไดอย่างเร็ว การเดินขึ้นเขา การเดินอย่างเร็ว หรือขึ้นบันไดหลังอาหาร อากาศหนาวหรือเย็น ความเครียด 3 เดินธรรมดาก็เจ็บหน้าอก 4 ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันเนื่องจากเจ็บหน้าอก หรืออาจจะเจ็บหน้าอกขณะพัก จะเห็นว่าหากคุณมีอาการเจ็บหน้าอกที่รุนแรงระดับ4แสดงว่าหลอดเลือดคุณตีบหรือตันมากขึ้นกว่าระดับ 1 อาการเจ็บหน้าอกนี้เหมือนกับอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือไม่ เมื่อซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วย แล้วก็นำมาประมวลผลว่า อาการเจ็บหน้าอกของผู้ป่วยรายนี้เหมือนกับอาการของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบหรือไม่ โดยประเมินจาก โอกาสที่จะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดสูงHigh likelihood (85-99%) โดยจะมีข้อใดข้อหนึ่ง: ประวัติเคยเจ็บป่วยจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการเหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเป็นชายอายุมากกว่า 60 ปี และมากกว่า 70 ปีในหญิง มีโอกาสเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดปานกลาง(Intermediate likelihood) (15-84%)ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้: อาการเหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเป็นชายอายุน้อยกว่า 60 ปี และน้อยว่า 70 ปีในหญิง อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเป็นชายอายุมากกว่า 60 ปี และมากกว่า 70 ปีในหญิง อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน diabetes mellitus อาการไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด 2 หรือ 3 ข้อ (ปัจจัยเสี่งต่อโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้แก่ เบาหวาน สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงl) มีโรคหลอดเลือดอื่น เช่น อัมพฤต หรือเส้นเลือดขาตีบ กลุ่มที่เสี่ยงต่อการกิดโรค ได้มีการศึกษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกและเป็นชนิด unstable angina ทั้งหมดประมาณ 3000 ครั้ง โรงพยาบาลที่เข้าร่วมในการศึกษา 35 โรงพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยประมาณ 62 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุ65 ปีโดยคิดเป็นร้อยละ 44 ประวัติการเจ็บป่วยของผู้ป่วยมีดังนี้ ความดันโลหิตสูงพบได้ 60% โรคเบาหวานพบได้ 26% ผู้ป่วยที่ยังคงสูบบุหรี่พบได้ 25% ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงพบได้ 43% ประวัติครอบครัวเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดพบได้ 42% เคยเป็นอัมพาต 9% เคยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายจากหลอดเลือดแดงตีบ 36% เคยเจ็บหน้าอกแบบ angina - 66% หัวใจวาย14% เคยทำบอลลูนหัวใจ 23% เคยผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ 25% ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อท่านได้ไปถึงโรงพยาบาล แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะซักประวัติการเจ็บป่วยของท่าน ประวัติการรักษา อาการสำคัญที่ท่านเป็นอยู่ ตรวจร่างกายโดยเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ซึ่งจะต้องตรวจวัดความดันโลหิต ชีพขจร การหายใจ และอุณหภูมิ หากประวัติและการตรวจร่างกายเข้าได้กับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแพทย์จะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที เจาะเลือดตรวจหา cardiac enzyme ว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือไม่ ประเมินว่าอาการป่วยของท่าน การรักษา จุดมุ่งหมายของการรักษา คือ ทำให้อาการ เจ็บ แน่นหน้าอกดีขึ้น ป้องกันการเกิด AMI หรือ reinfarction ป้องกันการเกิด sudden cardiac death การที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ การรักษาเพื่อลดการขาดเลือดของกล้ามเนื้อหัวใจ การให้ยาต้านเกร็ดเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด การประเมินความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต การเลือกการรักษา ขั้นตอนการรักษามีดังนี้ ให้ผู้ป่วยนอนพัก ติดเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจ ให้ออกซิเจน และติดตามระดับออซิเจนให้มากกว่า 90 % ผู้ป่วยที่มีอาการแน่หน้าอกความจะได้อมยาNTG ทุก 5 นาที 3 ครั้ง หากอมยาแล้วไม่หายปวด ก็จะพิจารณาให้ยา NTG ทางหลอดเลือดดำเป็นเวลา 48 ชมเพื่อรักษาภาวะหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง ให้ Beta-blocker ภายใน 24 ชมหากไม่มีข้อห้ามดังต่อไปนี้ หัวใจวาย หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายน้อย low output state มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะช็อคเนื่องจากหัวใจ ความเสี่ยงอื่นๆ เช่น หัวใจเต้นช้า โรคหอบหืด หากไม่สามารถให้ยากลุ่ม Beta-blocker ก็อาจจะพิจารณาให้ยา verapamil หรือ diltiazem แทนให้ยากลุ่ม ACE Inhibitor ภายใน 24 ชมในราย ที่มีหลักฐานว่าหัวใจทำงานน้อยแต่ยังไม่มีภาวะความันโลหิตต่ำ หากผู้ป่วยทนต่อยาใน กลุ่ม ACE Inhibitor ไม่ได้ก็ให้ยากลุ่ม angiotensin blocker แทน การดูแลรักษาทั่วไป: เช่นการพัก, ให้ออกซิเจน, การให้ยานอนหลับ และ ยาแก้ปวด เช่น morphine รวมถึงการแก้ไขปัจจัยส่งเสริม เช่น เช่น ภาวะโลหิตจาง, ติดเชื้อ, หัวใจเต้นผิดปกติ, คอพอกเป็นพิษ เป็ นต้น ยาที่ใช้ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบซ้ำก็จะเหมือนกับการรักษาโรคหลอดเลือดตีบ กล่าวคือจะต้องมียาที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ได้แก่ ยาลดความดันโลหิตสูง ยาลดไขมัน ยาต้านเกร็ดเลือด ยารักษาโรคเบาหวาน สิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องเรียนรู้ก่อนที่จะกลับบ้าน การรักษาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะไขมัน Cholesterol LDL สูงจากการศึกษาพบว่าการให้ยา Statin เพื่อลดไขมันจะลดการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด การรักษาโรคความดันโลหิตสูงไว้ไม่ให้เกิน 130/80 mmHg สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่แนะนำให้เลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด การควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินต้องลดน้ำหนักลงให้ใกล้เคียงน้ำหนักที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS and COX-2–selective inhibitors เพราะจะทำให้เกิดโรคหัวใจ สำหรับยาที่นิยมให้เช่น Folic acid/B-vitamin vitamins C, E, beta carotene ที่เคยเชื่อว่าป้องกันโรคหัวใจได้ แต่จากการศึกษาพบว่าไม่ได้ลด โอกาสเกิดโรคหัวใจจึงไม่แนะนำ การอกกำลังกาย การออกกำลังกานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น น้ำหนักลดลง และลดปัจจัยเสี่งอื่นๆอีก การออกกำลังควรจะเริ่มหลังจากอาการดีขึ้นแล้วหนึ่งสัปดาห์ โดยจะออกกำลังให้หัวใจเต้นประมาณ 60-70% สำหรับการออกกำลังกายแบบ aerobic และยกน้ำหนักควรจะทำหลังจากอาการดีขึ้นแล้ว4 สัปดาห์ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ที่คุณ Pom.com บอกว่า "ผมเองนะเจอคนที่คลอเรสเตอรอลสูง ขณะที่ความดันปกติ มาไม่น้อยถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์"   ช่วยเล่ากรณีตัวอย่าง ให้ฟังบ้างนะคะ ว่า Cholesterol สูงเท่าไหร่ ผลการตรวจวัด BP เป็นยังไง ทำไมจึงบอกว่า คลอเรสเตอรอลสูง ขณะที่ความดันปกติ มันเกิดในกรณีไหน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาว่ากันเรื่อง Cholesterol ตัวร้าย จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 29 พ.ค. 52 00:23:03 A:118.173.202.50 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ : Paview ป้าคิดว่าคลอเรสเตอรอลสูง มันทำให้เกิดโรคอะไรตามมาได้บ้าง ผมอ่านคร่าวๆป้าจะไปเน้นเรื่องหัวใจ แต่ผมกลัวเรื่องเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองมากกว่า ผมเองและเพื่อนๆ ตอนราว ๓๐ กว่าๆ ความดันปกติตามวัย แต่คลอเรสเตอรอลสูง หมอให้พยายามลดด้วยการคุมอาหาร ออกกำลัง ๓ เดือนมาตรวจใหม่ มีผลลดลงไม่ถึงเกณฑ์เหมาะสม โดนให้ยาทันที ป้าก็คงว่าเป็นการตรวจ และรักษาเกินความจำเป็นอีกตามเคย ญาติผมอายุ ๓๕ เจอเคสคล้ายกันตอนตรวจประจำปี แต่หมออีกคนบอกให้ลองลดเอง แต่ให้เวลา ๑ ปี ไม่มีโอกาสมาตรวจตามนัด เส้นเลือดแตกตายก่อน เรื่องแบบนี้เถียงกันไม่จบในเชิงวิชาการ หมอเองก็ไม่ใช่เทวดา แฟนผมดีกรีระดับ FRCP เคยทดลองให้ยาลดความดันตัวใหม่ผม จนหน้ามืด อาศัยเป็นนักกีฬาเก่ารีบทิ้งตัวนอน ก่อนล้มหัวฟาดพื้นตาย แต่ที่ผมเถียงในเชิงหลักการ ว่าอะไรเป็นการรักษาที่มากเกินไป ยาเอง ก็มีการพิจารณาเป็นบัญชียาหลักตลอดเวลา เมื่อวานเบิกไม่ได้ วันนี้เบิกได้ เมื่อวานไม่จำเป็น วันนี้จำเป็น อะไรที่ว่าตรวจมากไป รักษามากไป มันเป็นพลวัตร ไม่ตายตัว ทำไมป้าไม่พยายามยกระดับการตรวจคนจนมาเท่าเทียมข้าราชการ แต่คิดจะลดระดับข้าราชการไปเท่าคนจน เพียงเพื่อให้ได้ว่า ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งยากดีมีจน ใครมันมีปัญญาประกันสุขภาพตัวเองได้ ทำไมไม่ให้เขามาแบ่งเบาภาระ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 08:56:42 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 08:55:51 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 08:49:39 จากคุณ : Pom.com - [ 29 พ.ค. 52 08:48:34 A:124.121.210.131 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 เรียนคุณ Pom.com คห.ที่ 28 ที่คุณถามว่าคอเลสเตอรอล  จะทำให้เป็นอะไรได้บ้าง คอเลสเตอรอล ก็คือไขมันในเลือด ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดการตีบและอุดตันของเส้นเลือด ถ้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดตีบและอุดตัน ก็จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ถ้ากับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ก็จะเกิดภาวะ Stroke คือ ภาวะที่ เส้นเลือดสมองตีบตันและแตก ทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตครึ่งซีกได้ แต่ที่ป้าไม่กล่าวถึง Stroke ให้ละเอียดเพราะ การคัดกรองด้วยการวัดความดันโลหิต หรือ โครงการ “วัดความดันต้านภัยมืด” ของกระทรวงสาธารณสุข ก็คือการเฝ้าระวังและคัดกรองผู้ป่วยเพื่อป้องกันโรคเส้นเลือดสมองอยู่แล้ว มันชัดเจน จนคุณ Pom.com ไม่น่าเอาเรื่องคอเลสเตอรอล มาเป็นข้อหักล้าง ว่าถ้าเฝ้าระวัง เรื่องเส้นเลือดสมอง ทำไมไม่เจาะเลือดตรวจ Cholesterol ทุกราย ซึ่งในทางปฏิบัติ นโยบายของโครงการนี้ ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองที่ไม่คุ้มค่า คุ้มทุนอันใดเลย   เพราะเพียงแต่ให้กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ทำการชั่งน้ำหนัก วัดรอบเอว หาค่า BMI วัดระดับความดันโลหิต เจาะเลือดปลายนิ้วเพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมทั้งซักประวัติอย่างละเอียด ในเรื่องกรรมพันธุ์ความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้ พฤติกรรมบริโภค การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และระดับความเครียด เพียงเท่านี้ ก็สามารถแยกกลุ่มเป้าหมาย ออกเป็น 3 กลุ่มที่กล่าวมาแล้ว และสามารถป้องกันกลุ่มเสี่ยงไม่ให้กลายเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สามารถระวังกลุ่มปกติ ไม่ให้เป็นกลุ่มเสี่ยง และสามารถส่งกลุ่มป่วยไปรับการรักษาที่ถูกต้องตามขั้นตอนได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเหวี่ยงแห เจาะเลือดตรวจคอเลสเตอรอลทุกคน เพราะผู้ที่เป็นกลุ่มป่วยเมื่อถึงมือแพทย์ ก็จะได้รับการตรวจเลือดชุดใหญ่ และหนึ่งในนั้น ก็จะเป็นเรื่องของคอเลสเตอรอล อยู่แล้ว ส่วนคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก็เน้นเรื่องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นเวลา 1 เดือนแล้วนัดติดตามผลใหม่ ถ้ายังลดไม่ได้ ระดับความดันโลหิตไม่ลด และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ ก็ต้องส่งเข้าคลินิกเพื่อการปรับอีกขั้นตอนหนึ่ง หมายความว่า มีการวางแผนบริหารจัดการเป็นขั้นตอน ไม่เหวี่ยงแห แบบสะเปะสะปะ สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ส่วนที่คุณกล่าว่า “ผมเองและเพื่อนๆ ตอนราว ๓๐ กว่าๆ ความดันปกติตามวัย แต่คลอเรสเตอรอลสูง หมอให้พยายามลดด้วยการคุมอาหาร ออกกำลัง ๓ เดือนมาตรวจใหม่ มีผลลดลงไม่ถึงเกณฑ์เหมาะสม โดยให้ยาทันที” นั้น ป้าก็คงไม่เหมารวมแล้วบอกว่า “เป็นการตรวจและรักษาเกินความจำเป็น” ทันทีหรอก ป้าก็จะดูความสัมพันธ์ความเป็นไปได้ อย่างมีเหตุมีผลเช่นกัน ไม่ใช่ซี้ซั้ว บอกอย่างนั้นหรอกจ้า รับรอง มาดูความเป็นไปได้กันก่อนนะว่ามันสมเหตุสมผลแค่ไหน "ผู้ชายวัยฉกรรจ์ อายุ 30 กว่าๆ ระดับคอเลสเตอรอลสูงผิดปกติ  คุมอาหารแล้ว และชอบออกกำลังกายเป็นประจำ ทำมา 3 เดือน แต่ปรากฏว่า ระดับคอเลสเตอรอล ไม่ลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ มันก็ต้องดูว่า คุมอาหารแบบไหน ไม่ใช่งดรับประทานข้าวขาหมู แต่ไปรับประทาน ไก่เคเอฟซี แทน หรือ ออกกำลังกาย แต่เป็นการออกกำลังกายรำพัดในร่ม   ก็คง ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อให้ตรวจโคเลสเตอรอล  ด้วยบริการแพงหูฉี่ยังไงก็ช่วยไม่รอดหรอก เพราะการช่วยให้ปลอดภัยไม่ใช่การที่จะตรวจหรือไม่ตรวจCholesterol แต่มันอยู่ที่ความตั้งใจในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมต่างหาก ดังนั้น ถ้าจะให้ได้ผลดีจริงๆก็ควรจับพวกคุณ เข้าคอร์ทปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายใต้การดูแล ของทีมสุขภาพเป็นเวลา 1 เดือน ดีกว่าการที่จะคิดจะลดด้วยยาลดไขมันในเลือด เพราะวัยขนาดนี้ เส้นเลือดยังไม่เสื่อม จนแก้กันไม่ได้กันหรอก และที่แน่ๆผลข้างเคียงของยาซึ่งเป็นภัยเงียบทำลายชีวิตพวกคุณทีละน้อย โดยไม่รู้ตัว และการใช้ยาไม่ใช่ใช้เพียงครั้งสองครั้งแล้ว จะหยุด มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันต้องใช้เป็นเวลาค่อนข้างนาน ซึ่งผลก็จะยิ่งทำให้ตับและไตเสื่อมลงในเวลารวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นลองคิดดูสิค่ะ มันจะคุ้มกันมั้ย กับการตั้งหน้าตั้งตากินยาลดไขมันในเลือด เพราะกลัวระดับคอเลสเตอรอลสูง แต่ไปเสี่ยงกับไตวาย ตับวายแทน อย่างนี้ ป้าก็ว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าหรอก ต่อให้ความรู้สูงยังไง มันก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก สู้มาใช้ชีวิตด้วยธรรมชาติ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย งดเหล้าบุหรี่ ลดชากาแฟ หลีกเลี่ยงภาวะเครียด ปฏิบัติธรรมบ้างอะไรบ้าง   หันมาบริโภคข้าวเป็นหลักผักเป็นรอง หลีกเลี่ยงพวกแป้งและน้ำตาล ใช้เนื้อสัตว์ด้วยปัญญา คิดไว้เสมอว่า "อร่อยปากลำบากกาย" แค่นี้พวกคุณ ก็ปลอดภัยจาก เส้นเลือดในสมองแตก และยังปลอดภัยจาก AMI โดยไม่ต้องเจ็บตัวและ เปลืองเงินเปลืองทองอีกด้วย  แต่ถ้าตั้งใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันอย่างดี เป็นเวลา 1 เดือน แต่ไม่เป็นผล ป้าก็จะบอกว่า พวกคุณมีความผิดปกติในเรื่องการเผาผลาญอาหารของร่างกาย หรือมีความผิดปกติ ของระบบ Metabolism ต้องรนีบส่งพวกคุณไปพบแพทย์ระบบต่อมไร้ท่อแล้ว จะมานั่งกินยาลดไขมันในเลือด อยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ต้องส่งแพทย์เแพาะทางระดับตติยภูมิแล้วด้วย เห็นมั้ยค่ะว่า==> แค่นี้ก็เห็นชัดๆแล้ว ไม่ต้องเถียงอะไรกันมาก ถ้าคุณ Pom.com ลองนั่งนึกดูดีๆ คุณก็จะเข้าใจว่า ทำไมกระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายอย่างนี้       ส่วนเรื่อง ญาติของคุณ ที่บอกว่า “ญาติผมอายุ ๓๕ เจอเคสคล้ายกันตอนตรวจประจำปี แต่หมออีกคนบอกให้ลองลดเอง แต่ให้เวลา ๑ ปี ไม่มีโอกาสมาตรวจตามนัด เส้นเลือดแตกตายก่อน” บอกตรงๆว่า ป้าไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เรื่องที่ หมอให้เวลา 1 ปี แล้วมาตามนัด ขอโทษเถอะ  มันเป็นไปไม่ได้จริง  ป้าเชื่อว่าไม่มีคุณหมอที่ไหนจะทำอย่างนั้น นอกจากหมอเถื่อน ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะของแพทยสภา ถ้าเป็นหมอของแพทยสภา ไม่ทำอย่างนี้แน่ๆ กล้าการันตี ไม่เชื่อคุณก็ลองถามคุณหมอใกล้ตัวคุณดูสิค่ะ ว่าแพทย์ของเมืองไทย ภายใต้การรับรองของแพทยสภา จะห่วย.....แตก  ขนาดนั้นเลยหรือ มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 29 พ.ค. 52 20:12:20 A:118.173.203.85 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ Paview มาถึงตรงนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่าวิธีคิดของป้า กับหมอของผม ต่างกันพอควร อย่างที่ผมบอก ข้อมูลเท่าทีเคยผ่าน ของตัวเองกับเพื่อน ซึ่งมีโอกาสตรวจเลือดละเอียด ตั้งแต่ ๓๐ กว่าๆ พบว่าคลอเรสเตอรอลสูง ขณะที่ความดันปกติ น้ำหนักตอนนั้นก็ไม่น่าจะเรียกว่าคนอ้วน ถ้าวันนั้นผมเจอป้า ก็คงได้กลับบ้าน เป็นคนแข็งแรง แต่เพราะผมตรวจเลือด และเจอหมอที่มีแนวคิดตะวันตก ก็เลยได้ทานยามาตั้งแต่ตอนนั้น (ตรวจเลือดครั้งที่ ๒ ห่างจากครั้งแรกราว ๑ ถึง ๓ เดือน จำไม่ได้ชัด) พยายามลดไม่สำเร็จ จนอายุสัก ๔๕ ถึงเริ่มมีความดันสูง ส่วนเรื่องออกกำลัง คุมอาหาร หมอเขาก็สั่ง แต่ของยังงี้มันก็ทำได้ระดับหนึ่ง ข้อจำกัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างผมเวลาออกกำลังหายาก ไปเลี้ยงข้าวแขก จะมานั่งอดอาหารก็ทำงานกร่อย ยาไม่จำเป็นก็ไม่มีใครอยากกินหรอก แต่ขืนไม่กินผมก็คงตายไปนานแล้ว ส่วนผลข้างเคียงของยา เขาก็ตรวจเลือดที่ดูผลต่อตับ หลายตัว เช่น เรียกว่า SGOT หรืออะไรทำนองนี้ ส่วนเรื่องญาติผมที่ตาย เคสแบบนี้ก็โดนกันปกติ(แต่ไม่ตาย) หน่วยราชการจัดตรวจร่างกายประจำปี คลอเรสเตอรอลสูง ความดันปกติ หมอที่มาตรวจเฉพาะกิจก็ไม่ได้ย้ำให้ไปพบหมออื่นที่หลัง บอกแค่ให้คุมอาหาร ออกกำลัง ปีหน้าว่ากันใหม่  ผมรู้ก็บอกให้เขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล สุดท้ายก็ได้ยามาทาน ผมว่ากระทู้นี้ประเด็นมันชักเปลี่ยน และไม่มีจุดจบ ความพอดีในการรักษาผมว่าเถียงไปไม่มีทางจบ เอากันง่ายๆ แค่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ สำหรับเด็กและคนแก่ป้าว่าจำเป็นไหม รู้สึกว่าตอนนี้ข้าราชการยังเบิกไม่ได้ ผมว่าสุดท้ายแล้ว ความจำเป็นกับฐานะมันก็ไปด้วยกัน แอร์แบ็คเป็นอุปกรณ์ที่ป้องกันคนขับอัดกับพวงมาลัย แต่รถถูกๆไม่มี ถามว่ามันไม่จำเป็นหรือ อย่างคลอเรสเตอรอล ถ้ารัฐมีเงินพอ ผมว่าจะตรวจทุกคนก็น่าจะดีกว่าตรวจเฉพาะคนที่มีโอกาส ซึ่งมันก็วนมาที่ประเด็นที่ผมเสนอมาตลอด ว่าไม่จำเป็นต้องประกันสุขภาพคนทุกคนด้วยภาษีของรัฐ ใครทำอาชีพอิสระ มีปัญญาก็ต้องผลักดันให้ประกันสุขภาพตนเอง หรือจ่ายร่วม ซึ่งจะแก้ปัญหาหมอลาออก การรักษาทำได้ดีกว่านี้ ได้มาก ป้าว่าอย่างไร แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 52 00:04:48 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 23:44:45 จากคุณ : Pom.com - [ 29 พ.ค. 52 23:42:27 A:124.120.218.173 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรียนคุณ Pom.com คห.ที่ 30 ก่อนอื่นขอให้คุณ Pom เข้าใจวัตถุประสงค์ที่ป้า พยายามเอากระบวนการ ทำงานของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาตีแผ่ให้คุณ Pom ดู ก็เพราะจะให้ เห็นการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ของเจ้าของโครงการ ว่าการเฉลี่ย ทุกข์เฉลี่ยสุขนั้นสามารถทำกันได้ ไม่ใช่ต้องยอมปล่อยแล้วแต่เวรแต่กรรม ยกตัวอย่างว่า คนไข้ไตวายเรื้อรัง สมัยก่อน ถ้าเป็นกับคนรวยก็สามารถมี ชีวิตต่อไปได้ ด้วยการฟอกไต เปลี่ยนถ่ายไต หรือถ้าเป็นกับข้าราชการก็ ดิ้นรนหาที่ฟอกไตกันได้ โดยรัฐยินดีให้เบิกได้ในกรณีเป็นผู้ป่วยใน แต่ถ้า ชาวบ้านตาดำๆ หมาน้อยธรรมดาเกิดเป็นขึ้นมา ก็มีทางเดียวคือนอนนิ่งๆ รอ วันสิ้นลมหายใจ ไปต่อหน้าต่อตาลูกหลานญาติมิตร เพราะไม่มีทางจะทำ อย่างอื่นได้เลย เพราะถ้าขืนคิดฟอกไต ก็ต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 16,000 บาท ต่อเดือน ถ้ายอมขายนาขายสวน คนข้างหลังจะเอาอะไรทำมาหากิน ก็ต้อง ยอมตามเวรตามกรรม แต่เมื่อมีโครงการนี้เข้ามาประชาชนคนไทยที่ป่วย ด้วยโรคไตวายเรื้อรังก็สามารถ เข้ารับการฟอกไตได้ฟรี ถ้าใช้วิธีการฟอก ทางผนังหน้าท้อง(Peritoneal Dialysis) หรือในรายที่ต้องฟอกทางหลอด เลือด (Hemodialysis) ก็ช่วยรัฐจ่ายเพียงครั้งละ 500 บาท ซึ่งก็เป็นค่าใช้ จ่ายที่ไม่แพงเกินไป ชาวบ้านก็สู้ได้ เป็นอะไรที่น่ายินดีมากๆ เพราะฉะนั้นจึง ขอบอกว่า โครงการนี้ไม่ได้คิดแต่จะให้ใช้บริการที่ถูกๆ ราคาต่ำๆ แต่เขา เลือกที่ให้บริการที่จำเป็น ภายใต้ภาวะขาดแคลน แต่ครอบคลุม ไม่ PAY เฉพาะกลุ่มอย่างแต่ก่อน เขามีใจที่จะช่วยเหลือเจือจานคนยากไร้ ให้ได้รับ โอกาสดีๆ แม้ขาดแคลน แต่ช่วยยกระดับให้มนุษย์ทุกคนมีเกียรติและ ศักดิ์ศรีเท่ากัน เพราะฉะนั้น อะไรที่ตัดออกได้ ก็ควรตัด จะได้ไม่เป็นภาระ สิ้นเปลืองมากนัก แต่อะไรที่เป็นแก่นสาร เป็นหลักการสำคัญเขาก็ไม่เคย ละทิ้ง เพราะฉะนั้น จะมาเรียกร้องให้รัฐต้องสิ้นเปลืองกับเรื่องไม่เปลือง ทำไม สู้เอาเงินที่คิดจะละลายทิ้ง ไปทำประโยชน์อย่างอื่นที่คุ้มค่า ไม่ดีกว่า หรือ ถ้าคุณ Pom จะเถียงว่า การตรวจคอเลสเตอรอล สำคัญ ป้าก็ไม่เถียงว่า สำคัญ แต่ป้าขอเถียงว่า สำคัญแต่การตัดสินใจส่งตรวจควรมีข้อบ่งชี้ที่ ชัดเจน มีเค้ามูล ไม่ใช่เหวี่ยงแห โดยเอาประโยชน์ไม่ได้เลย บุคลาการ ทางการแพทย์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยผล Lab ในการวินิจฉัยโรค เสมอไปคุณ หมอเก่งๆหลายท่านอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ก็จะ กล้าฟันธงเลยว่า เป็นโรคอะไร อย่างเช่น โรคฝีในตับ ถ้าเป็นแพทย์สมัยนี้จะ ต้องอัลตราซาวน์ดูว่า ใช่หรือเปล่า กี่เซ็นต์ ตำแหน่งไหน แต่อาจารย์หมอ สมัยก่อน รพ.แถวบ้านป้า ยังไม่มีเครื่องอัลตราซาวน์ แต่อาจารย์หมอฟันธง ไม่เคยพลาดเลยสักเคส เพราะท่านเจาะเอาหนองออกมาโชว์เป็นถ้วยๆ สามารถการันตีการ Diagnosis ของตนเองได้อีกด้วย เพราะการฝึกฝนที่ไม่ เคยคิดจะหวังพึ่งแต่ใบ Lab นอกจากบางกรณีที่จำเป็นเท่านั้น หรือคุณคิด ว่าการแพทย์ของไทยมีมาพร้อมกับผล Lab อย่างนั้นหรือ อีกตัวอย่างนะ อาจารย์หมอ 2 ท่านเป็นกุมารแพทย์ทั้งคู่ แต่คนละรุ่น คนละยุค รุ่นพี่รักษา โรคปอดบวมในเด็กเล็ก มีการเจาะเลือดตรวจ Lab ครั้งเดียว เด็กหาย ปลอดภัย กลับบ้านได้มีแต่รอยแทงน้ำเกลือ เป็นหลักฐานเท่านั้น และไม่ ค่อยมีเด็ก Dead เพราะปอดบวมเลย แต่รุ่นน้องจบบอร์ดเด็กมาใหม่ๆ เด็ก ปอดบวมเหมือนกัน พี่แกสั่งเจาะเลือดทุกวันตรวจดู E'lyte บ้าง arterial blood gas บ้าง ป้าลองเก็บข้อมูลเปรียบเทียบดู อัตรารอดชีวิตของการักษา น้อยกว่าวิธีแรกมาก เพราะเด็กอ่อน น้ำหนักไม่ถึง 4 Kgs ดี เจาะเลือดทุกวัน เด็กบอบช้ำมาก มีรอยเจาะเลือดทั้งแขน หลังมือ หลังเท้า ข้อเท้า น่าสงสาร มาก แถมยังช่วยเด็กไม่ได้อีกต่างหาก เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ควรให้มัน สมเหตุสมผล อาการดีขึ้นหรือแย่ลง ไม่ใช่ดูแต่ตัวเลขในผล Lab เป็นเกณฑ์ อย่างเดียว มันมีปัจจัยอื่นๆอีกหลายๆด้าน มนุษย์มีส่วนประกอบต่างจาก เครื่องจักร ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเลขมานำทางตลอดไปหรอก                                 +++++++++++++ ส่วนเรื่อง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ส่วนตัวป้าเห็นด้วยนะ ในเมื่อสถานการณ์ ประเทศเราอยู่ในภาวะขัดสน อัตคัตเงินทอง จะทำอะไรก็ต้อง เจือๆเกลี่ยๆ กันไป เขาให้เด็กและคนแก่ก่อน ก็เหมาะสมดี เพราะคนสองวัยนี้ ร่างกาย ค่อนข้างอ่อนแอ ติดโรคง่าย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ส่วนเรื่องที่เขาจัดให้ บุคลากรที่เสี่ยงต่อการสัมผัสโรคนั้น ป้ามีความเห็นว่า ควรจัดให้บุคลากรที่ อยู่ในเขตกรุงเทพฯก่อน เพราะว่ามีโอกาสสัมผัสโรคได้มากกว่าเขตชนบท อย่างแถวบ้านป้า เพราะคนในกรุงเทพฯหนาแน่นกว่า คนหลากหลายสาย พันธุ์ มาจากต่างประเทศก็เยอะ ถ้าคิดกันดีๆ ส่วนที่จะเอามาให้บุคลากรทั่ว ประเทศตอนนี้ น่าจะเอาให้คนเขตเมืองที่หนาแน่นหรือเมืองท่องเที่ยวดีกว่า เพราะเสี่ยงมากกว่าบ้านเมืองที่ยังมีสภาพอากาศดีๆ ไม่แออัด                                   ++++++++++++++++++ เรายังถกกันอยู่ในประเด็น ไม่ได้เปลี่ยนประเด็นไปไหนหรอกค่ะ เพียงแต่เรา ลงลึกไปหน่อย จริงๆแล้วก็คือพูดกันเรื่อง แพทย์ลาออก คุณบอกว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นสาเหตุให้แพทย์ ลาออกกันมาก ป้าจึง บอกจึงบอกถึงเรื่อง การแบ่งเบาภาระงานของแพทย์ ในกรณีที่แพทย์ต้องลา ออกเพราะ ต้องทำงานหนัก ด้วยการผลิตพยาบาลเวชปฏิบัติมาช่วยงานการ รักษาโรคเบื้องต้น เพื่อช่วย Screen เ อาผู้ป่วยที่มีความจำเป็นเท่านั้น เข้า ตรวจกับแพทย์ และยังมีการวางรากฐานให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง มีทีม สุขภาพภาคประชาชน ช่วยในการตรวจคัดกรอง เจาะเลือดตรวจเบาหวาน วัด ความดัน คุณ Pom ก็ทำท่าไม่ไว้ใจการตรวจรักษาโรคเบื้องตนของพยาบาล และไม่เชื่อว่ามีการเจาะเลือดตรวจเบาหวานกันในชุมชน ยังบอกว่าป่านนี้ยัง ตกลงกันไม่เสร็จว่า จะตรวจอะไรได้บ้าง ป้าก็ยืนยันว่า ในชุมชนมีการเจาะ เลือดตรวจเบาหวาน วัดความดัน ซักประวัติตรวจคัดกรอง แยกกลุ่มเป้า หมายเป็น 3 กลุ่ม คุณ Pom ว่าไม่มีการตรวจคอเลสเตอรอล ป้าก็ให้เหตุผล เรื่องการตรวจ หรือไม่ตรวจแบบเหวี่ยง ว่าเพราะอะไร ก็ยังยืนยันว่า ขนาด คุณและเพื่อน เจาะเลือดแล้ว คุมอาหารแล้ว ออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ยัง ไม่ลด ถ้าไม่ตรวจคอเลสเตอรอล ก็คงมีเส้นเลือดสมองแตกตายไปแล้ว ป้า ก็แย้งอีกว่า เส้นเลือดสมองจะแตกหรือไม่แตก ไม่อยู่ที่ เจาะเลือดตรวจแต่ อยู่ที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะความจำเป็นในการตรวจทุกราย ก็ไม่ ควรทำให้สิ้นเปลือง อย่างไร้สาระ เราคุญกันมาอย่างนี้มิใช่หรือ มันก็อยู่ใน ประเด็นทุกอย่าง ไม่ได้เบี่ยงหายไปไหนเลย เพียงแต่ต้องลึก เพื่อให้คุณ เข้าใจ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ดีขึ้น ว่าไม่ได้เป็นโครงการที่ มุ่งทำลาย หรือหาประโยชน์ใส่ตัวแต่อย่างใด กลับเป็นโครงการที่ช่วย ประชาชนทุกคน ทุกผู้ทุกวัย ทุกชนชั้น วรรณะ ที่เปิดใจรับบริการ ทั้งที่ เต็มใจและไม่เต็มใจ อย่างเท่าเทียม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นคนมีความรู้สูงๆ อย่างพวกคุณ ก็ควรเปิดใจยอมรับความจริงได้แล้ว ว่าโครงการนี้ดีจริงๆ เพียงแต่มันต้องใช้เวลา อย่างน้อยๆก็ 10 ปี เพื่อวางรากฐาน สร้างความเข้ม แข็งให้โครงการ ไม่สั่นคลอนง่ายๆ แม้จะถูกเขย่า ด้วยแรงริษยา ตาร้อน ก็ตาม เปิดใจยอมรับได้แล้ว อย่ามานั่งตั้งท่ารังเกียจรังงอน เพียงเพราะ โครงการนี้เกิดจากการผลักดันของนายกทักษิณ ที่พวกคุณรุมเกลียด แค่นั้น เอง ป้าคิดว่าไม่เป็นการดีเลย ที่ปัญญาชนอย่างพวกคุณจะมาแสดงความ รู้สึกต่อต้าน เรื่องที่เขาสร้างบุญสร้างกุศล ช่วยเหลือเกื้อกูล เพื่อนผู้ยากไร้ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน เผ่าพันธุ์เดียวกัน ต่างกันที่การสืบสันดาน เพราะเรื่อง อย่างนี้มันเลือดเกิดไม่ได้ ถ้าเรามีเหนือเขา ก็จงยินดีที่จะแบ่งปันให้เขากัน บ้างเถิด อย่าให้ถึงกับสำลักความสุขสบายตายกันเลย แชร์ๆกันบ้าง อะไรกัน บ้าง แล้วพวกคุณจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่แค่ไหน ถ้าหันไปทางไหนมีแต่รอยยิ้ม ไม่ใช่นั่งรถเบ๊นซ์ แหวกไปท่ามกลางคราบน้ำตา พวกคุณจะสุขอยู่ได้ อย่างไร ถ้าพวกคุณยังเป็นคนที่หัวจิตหัวใจกันอยู่ จริงมั้ยค่ะ เปลี่ยนใจเสีย เถอะค่ะ อย่างน้อยๆ คุณก็เป็นคนในครอบครัวของคนที่เป็นคุณหมอ จึงควรมี ชีวิตอยู่อย่างผู้มีเมตตากรุณา คนเป็นหมอไม่ควรอยู่อย่างเสียงนกเขาขัน คือมีแต่..กรู เห็นแต่..กรู ...ยินดีก็แต่...กรู จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 30 พ.ค. 52 20:49:48 A:118.173.202.3 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ : Paview ผมจะเขียนเป็นข้อ เพราะยิ่งพูดป้ายิ่งสับสน ๑. ผมเชื่อว่า ผมและป้า ไม่ต่างกันตรงต้องการรักษาคนจน แฟนผมอยู่ศิริราช เรื่องแบบนี้อยู่ในจิตใจของหมอศิริราชทุกคน ด้วยกลไกและวัฒนธรรมของศิริราชเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องอธิบาย แม้ว่าหมอส่วนใหญ่จะมีฐานะที่ดีก็ตาม (แต่นั่งเบนซ์สัก ๑๐ เปอร์เซนต์มัง ไม่ถึงกับรวยมาก) ๒. จะมีกระบวนการอะไร ให้คนจนได้รับการรักษาถ้วนหน้า ไม่ต้องแห่มาพึ่งพาศิริราชเหมือนแต่ก่อน (เพราะมีเงินที่ได้รับบริจาคให้ช่วยคนจนมากกว่าที่อื่น) ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ๓. ใครที่คิดว่าจะมีหมอหรือใครก็ตามที่ค้านเรื่องนี้ เพียงเพราะเป็นนโยบายทักษิณ ผมว่ามีความคิดที่ค่อนข้างจะดูถูกน้ำใจกันเกินไป ใครที่คิดว่าหมอหรือใครที่รวยจะไม่เห็นหัวจน ก็เป็นความคิดที่ค่อนข้างดูถูกน้ำใจเช่นกัน และถ้ายังจมยึดอยู่ตรงนี้ เพราะหลงไหลทักษิณจนไม่ลืมหูลืมตา ก็ไม่น่าจะเสียเวลามาระดมสมองเรื่อง ๓๐ บาท ๔. ปัญหาที่คนที่เขาค้านเรื่องนี้ก็เพราะปัญหาของหมอลาออก ซึ่งถ้าหยุดไม่ได้ อนาคตจะแย่กว่าก่อนมีโครงการ ๓๐ บาทแน่นอน ซึ่งเวลาผ่านมา ข้อเท็จจริงนี้ก็ยังมีอยู่ การแก้ไขเริ่มลำบากขึ้น ล่าสุดถึงกับลดโควต้าการลาเรียนแพทย์เฉพาะทางระหว่างใช้ทุน ๕. ทางแก้ไขของคนที่พยายามจะยืนนโยบายสุขภาพถ้วนหน้า ก็คือวิธีที่ป้าอธิบายมา ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วจะระงับการไหลออกของหมอได้หรือไม่ หรือกลับจะทำให้ปัญหาหนักขึ้นโดยทำให้พยาบาลไหลออกไปอีก ๖. ข้อเสนอของผม และหลายๆคน มีวิธีแก้ที่ไม่ยาก คือผลักดันคนกลุ่มหนึ่ง (ใช้บัตรทอง แต่มีรายได้ไม่น้อยกว่าคนงานในโรงงาน) ประกันสุขภาพตนเอง เพื่อสมทบงบต่อหัวให้สูง จูงใจให้เอกชนมาร่วมเข้าโครงการ พอเอกชนเข้าร่วมโครงการ งานของหมอในโรงพยาบาลรัฐจะลดลง และโอกาสหารายได้นอกเวลากับเอกชนจะมากขึ้น หมอก็จะลาออกลดลง ๗. ถ้าป้าไม่เฉไฉ ก็ลองตอบว่าทำไมไม่เห็นด้วยกับวิธีที่ผมว่ามา ซึ่งว่าไปแล้วเป็นแผนก่อนจะมี ๓๐ บาท ที่ยังไม่ได้มีโอกาสปฏิบัติ ป้าว่าคนอื่นมีอคติกับโครงการนี้ เพราะเกลียดทักษิณ ผมก็ว่าป้ากลับบ้าง ว่าหน้ามืดตามัวกับโครงการนี้ เพราะหลงทักษิณเช่นกัน อะไรที่มันผิดพลาดก็ควรยอมรับ และแก้ไขได้ จากคุณ : Pom.com - [ 31 พ.ค. 52 01:06:04 A:124.120.225.191 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 กระทู้ตกแล้ว ป้าจะตอบผม น่าจะแตกประเด็นตั้งกระทู้ใหม่นะ ตั้งกระทู้ว่า "ทำไมถึงต้องยืนกรานประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ว่าจนหรือรวย" ก็ได้ จากคุณ : Pom.com - [ 31 พ.ค. 52 01:15:45 A:124.120.223.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไปต่อกัน ที่นี้จ้า จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 31 พ.ค. 52 03:10:42 A:118.173.202.3 X: ]