ความคิดเห็นที่ 1 แต่ทำไม? จึงมีแพทย์และพยาบาลบางท่าน(เข้าใจว่าจำนวนมาก) ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้?? ------------------------------------ ประโยคนี้คิดเองหรือไปฟังใครพูดมาครับ เท่าที่ผมรู้ เท่าที่ผมสัมผัส เท่าที่ผมได้เจอกับตัวเองโดยตรง ไม่มีหมอหรือพยาบาลสายปฎิบัติงานคนไหนบอกว่าไม่ดีเลยนะครับ ถ้าจะบ่นก็คงจะเป็นหมอแก่ๆที่นั่งในห้องแอร์ คอยเซ็นส์ชื่ออย่างเดียวมากกว่า จากคุณ : ไกด์เถื่อน - [ 25 พ.ค. 52 21:23:58 A:112.143.42.22 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ชอบหลักการมากๆครับ แต่เริ่มต้นไม่ค่อยสวย เลยซวยทั้งบุคคลากร ทั้งคนไข้ จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 21:27:10 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แย่ ! แบบนี้คลินิคผมก็เจ้งซิ จากคุณ : สุขชัย - [ 25 พ.ค. 52 21:28:13 A:125.27.29.232 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 มันที่ทั้ังข้อดีข้อเสียครับ โดนหลักการแล้วเป็นโครงการที่ดี ไปลอกเอามาจากต่างประเทศ แต่ต้องดูด้วยว่าประเทศเราพร้อมหรือเปล่า สถานะการเงินของประเทศ หน่วยให้บริการ/อุปกรณ์ทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และที่สำคัญสุดคือคุณภาพของประชากร คุณคิดว่าประเทศไทยมีอันไหนพร้อมสำหรับโครงการนี้บ้างหรือเปล่า? จากคุณ : MagicMyth - [ 25 พ.ค. 52 21:32:47 A:58.9.120.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ชอบหลักการมากๆครับ แต่เริ่มต้นไม่ค่อยสวย เลยซวยทั้งบุคคลากร ทั้งคนไข้ ================================ เรียนคุณ Mdiic~* ครับ เริ่มต้นไม่สวยอย่างไรครับ? และบุคลากรกับคนไข้ซวยอย่างไรครับ? ขอบคุณที่กรุณาเข้ามาตอบครับ จากคุณ : ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย (ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย) - [ 25 พ.ค. 52 21:33:06 A:61.90.16.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ มีรายได้จากการเปิดคลีนิคครับ ดังนั้นนโยบายดงกล่าวทำให้แพทย์เสียรายได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงหากเปิดคลีนิด ก็จะไม่ได้เงินชดเชยอีกคนละหนึ่งหมื่นบาทครับ ผมว่าการลอกจากต่างประเทศเขาก็ต้องนำมาปรับใช้นะครับ ระยะเริ่มต้นโครงการทุกโครงการย่อมเกิดปัญหาทั้งเชิงนโยบายและการปฏิบัติ ต้องใช้เวลาครับ ผมว่าขณะนี้น่าจะเข้าที่แล้ว ส่วนข้อที่ว่าอุปกรณ์ทางการเเพทย์ เครื่องมือไ่ม่น่าเกี่ยวเพราะสถานให้บริการก็คือ รพ.ของรัฐหรือเอกชนที่เข้าโครงการอยู่แล้วครับ รพ.ค่ายทหารต่างจังหวัด มีขีดความสามารถให้การให้บริการไม่แพ้ รพ.ใหญ่ๆเลยครับ รพ.เล็กเขาก็ปรับปรุงเครื่องไม้เครื่องมือให้เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยอยู่แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 21:48:25 แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 21:45:27 จากคุณ : สันติเบ่งบาน - [ 25 พ.ค. 52 21:34:36 A:118.136.240.112 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าเป็นช่วงแรกๆ จะมีปัญหาเรื่องของการบริหารเงิน และค่าใช้จ่ายในการส่งต่อคนไข้ ไปรพ.ขนาดใหญ่ครับ มีเพื่อนหมอบ่นให้ฟังมากๆ แต่ตอนหลังก็ได้รับการปรับปรุงจากทางรัฐ(สมัยทักกี้)โดยยกยอดหนี้ไปรวมกับส่วนกลางแทน(ปกติหนี้จากการส่งต่อคนไข้อาการหนัก หรือต้องรักษาเฉพาะทางจะโยนไปให้รพ.ชุมชน ซึ่งทำให้หนี้สะสมมากเกินกว่าจะบริหารได้) และมีการเน้นทางการแพทย์เชิงป้องกันมากขึ้น (Family med) ก็ลดจำนวนผู้ป่วยและ โหลดลงได้บ้างครับ อันนี้เพื่อนผมที่ไปใช้ทุนเขาเล่าให้ฟัง จากคุณ : ....4จุด - [ 25 พ.ค. 52 21:36:03 A:125.24.197.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรียนคุณสุขชัยครับ ท่านเป็นแพทย์จริงๆ หรือเข้ามาหยอกเย้าครับ? จากคุณ : ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย (ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย) - [ 25 พ.ค. 52 21:36:54 A:61.90.16.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ก่้อนอื่น ผมขอเรียนก่อนนะครับ ว่า มันเป็นเรื่องในอดีต อย่างที่ผมบอกครับ ช่วงแรก อันนี้ กระทู้ก่อนหน้านี้ แรงนิดนึงนะครับ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7895776/P7895776.html อันนี้ คห. จากห้องอื่นๆครับ ข้อเท็จจริง -ระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย มีมาตั้งนานแล้วครับ มีมาก่อนที่คุณทักษิณจะประมูลดาวเทียมได้ซะอีก -สิทธิ ประกันสุขภาพก็เหมือนๆกับตอนนี้ละครับ เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี เด็กนักเรียน ผู้พิการ ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ ประกันสุขภาพครอบครัว (500 บาท) -ในอดีต สิทธิเหล่านี้ เมื่อมีบัตรแล้ว ฟรี! ไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว -นโยบาย 30 บาท ถูกปั้นให้เป็นตัวสินค้าเชิงสัญลักษณ์มากเกินไป -งบ ประมาณรายหัวที่ให้มาบวกเงินเดือนเจ้าหน้าที่เข้าไปในนั้นด้วย ทำให้มีต้นทุนคงที่อยู่ในงบที่ให้มา การให้บริการจึงต้องคำนึงถึง "ต้นทุน" เข้าไป ซึ่งขัดกับหลักการการให้บริการที่ดีที่สุด -พอสรุปได้ว่า ระบบประกันสุขภาพในอดีตกับปัจจุบัน ไม่ได้แตกต่างกันในเชิงหลักการ แทบจะเหมือนกันทุกอย่าง แต่ต่างกันที่ระบบบริหารงบประมาณ จึงไปสรุปว่า มันไม่ดี ต้องยกเลิก ไม่ได้! เพราะถ้ายกเลิกมันก็ยังต้องมีระบบประกันสุขภาพ ไปเอาของเดิมมาใช้ซึ่งเหมือนกับของปัจจุบัน แล้วจะยกเลิกทำแมวน้ำอะไร? -หาก จะเปลี่ยนแปลงจริงๆ จะต้องใช้สิทธิเดียวกับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเด็ก คนทำงาน ข้าราชการ คนแก่ คนพิการ ฯลฯ สิทธิเดียวคือ ประกันสังคมโดยใช้เลข ID เป็นเลขประกันสังคม และการจัดการค่าใช้จ่ายให้เป็นระบบ back office ที่ผู้ประกันตนไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายว่า ฉันต้องทำอะไรเพื่อให้ได้สิทธินั้น เช่นปัจจุบัน เรื่องนี้ยาวครับ สรุปคือ ถ้าไม่ปั้นเรื่องนี้ให้เสมือนว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง ที่ต้องแปะยี่ห้อ สลากลงไป โดยยึดประโยชน์จากมันและสร้างให้เป็นระบบสุขภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ของใคร มันจะไม่เป็นอย่างเช่นปัจจุบัน จากคุณ : Fly boy - [ 24 พ.ค. 52 จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 21:38:16 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มันที่ทั้ังข้อดีข้อเสียครับ โดนหลักการแล้วเป็นโครงการที่ดี ไปลอกเอามาจากต่างประเทศ แต่ต้องดูด้วยว่าประเทศเราพร้อมหรือเปล่า สถานะการเงินของประเทศ หน่วยให้บริการ/อุปกรณ์ทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และที่สำคัญสุดคือคุณภาพของประชากร คุณคิดว่าประเทศไทยมีอันไหนพร้อมสำหรับโครงการนี้บ้างหรือเปล่า? จากคุณ : MagicMyth - [ 25 พ.ค. 52 21:38:39 A:58.9.120.54 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 มีคนรู้จักกันเป็นหมอ พอคุยเรื่อง 30 บาท เขาบอกไม่ดี คุยไปคุยมา เขาบอกโรงพยาบาลจะเจ๊งอยู่แล้วเพราะโครงการ 30 ่บาท ยาที่ให้ก็ไม่ดีเป็นยาราคาถูก ผมถามกลับว่า โรงพยาบาลที่มัีนจะเจ๊งเนี่ย มันเป็นของรัฐบาลไ่ม่ใช่หรือ โรงพยาบาลเจ๊ง = รัฐบาลเจ๊ง ใช่ไหม ยาที่ให้ถึงไม่ดี แต่หมอก็คงไม่ให้ยาที่คนไข้กินไปแล้วตายใช่ไหม มีกินแต่ไม่ดี กับ ไม่มียาจะกินเลย อันไหนมันเลวร้ายกว่า หมอตอบไม่ได้แหะ จากคุณ : bangpuboy - [ 25 พ.ค. 52 21:40:58 A:115.87.75.107 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 แพทย์ พยาบาลชอบไม่ชอบไม่รู้ แต่นักศึกษา อย่างผมชอบครับ จากคุณ : macsung - [ 25 พ.ค. 52 21:42:20 A:125.25.127.201 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ^ ท่าน MagicMyth ครับ ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นครับ พอไปได้อยู่ ตอนนี้ เราก็ไปได้ โครงการเราไม่ได้ลอกมาครับ เราคิดของเองนี่แหละ แต่ว่า ประกาศใช้เร็วไปหน่อย "หลังเวที"ก็เลยค่อนข้างวุ่นวายครับ มาต่อ นะครับ จขกท. อันนี้ ผมเอารูปมาเสริมคุณ 4 จุดครับ เกี่ยวกับ การแพทย์เชิงป้องกัน (ส่งเสริมสุขภาพ) และยุทธศาสตร์ PCU หรือ ศูนย์สุขภาพชุมชน จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 21:51:57 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 14 % ค่ายาละครับ จากคุณ : komsonton - [ 25 พ.ค. 52 21:54:59 A:125.25.97.159 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 คห. 11 ครับ ไม่ใช่ยาไม่ดี แต่มันออกแนว นั่งรถมล์ กับรถเบนซ์หนะครับ ถึงเหมือนกัน แต่สบายไม่เท่ากันนะครับ ปัจจุบันยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ผมว่ามีมาตรฐานพอสมควรครับ และบัตรทอง ตอนนี้ก็ครอบคลุมถึงการล้างไตทางหน้าท้องแล้วนะครับ แต่ล้างด้วยเครื่องนี่ ยังครับ เนื่องจากต้นทุนยังสูงมาก ตกครั้งละ ราวๆ 2000 บาทมั้ง มาต่อ ระบบยุทธศาสตร์ PCU มาดูเขตรับผิดชอบของ PCU กัน ถ้าใครรู้ว่า แถวไหน ก็เงียบๆไว้นะครับ หุหุ จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 21:56:00 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จำนวนผู้รับบริการ ส่วนใหญ่จะเป็นภาคเช้าครับ ภาคบ่ายจะมีการออกไปเยี่ยมตามบ้านเลยหละ ไปศึกษาสภาพแวดล้อมกับการเกิดโรค อย่างเช่นผู้ป่วยเบาหวาน นี่ เค้าไปเปิดตู้่เย็นดูเลยนะครับ จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 21:58:28 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นี่ระบบ การทำงานคร่าวของ ยุทธศาสตร์ PCU ปัจจุบัน ผมชอบระบบสาธารณสุขตอนนี้ครับ ในระดับชุมชนและปฐมภูมิ ส่วนตัวคิดว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้วครับ ผ่านจุดที่โซเซมาแล้ว แต่ปัญหา การแพทย์ทุนนิยม สมองไหล ความเหลื่อมล้ำ พวกนี้ ยังมีอยู่ครับ จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 22:02:21 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กลับไปดูกระทู้เก่า โอ้!!! แรงจริงๆ ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบอย่างมีเหตุมีผลนะครับ มีประเด็นหนึ่งที่สงสัยก็คือ.... ประเทศของเรามิใช่ประเทศร่ำรวย และไม่ได้เก็บภาษีมากมายอย่างบางประเทศในยุโรป โครงการ30บาทนั้นรักษา "ทุกคน" และ "เกือบทุกโรค" แปลว่าเงินภาษีของคุณและของผม ต้องถูกนำไปรักษาคนไข้ทุกคน....ถ้าเป็นคนยากคนจน  ก็สมเหตุผลดีครับ แต่เท่าที่ทราบ  คนรวยมากมายก็ใช้สิทธินี้เช่นกัน แล้วรัฐจะแบกภาระนี้ไหวหรือครับ? ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ? จากคุณ : ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย (ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย) - [ 25 พ.ค. 52 22:06:23 A:61.90.16.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 การเมือง มันแค่ฉากหน้าครับ นี่ครับ ของจริง มีทีมงาน พัฒนา วางแผน วางระบบยุทธศาสตร์กันเอง ไม่ใช่นโยบายรัฐบาลไหนๆ นี่คือ หนึ่งในขึ้นตอน สำรวจครอบครัวครับ จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 22:13:02 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมทำงานปีแรกก็เป็นปีที่เริ่มนโยบาย30บาทครับ โดยหลักการเห็นด้วยกับโครงการ เพราะทำให้ประชาชนจำนวนมากกล้าที่จะมาใช้บริการรพ. แต่ในช่วงแรกที่มีการต่อต้านจากแพทย์ พยาบาลและจนทต่างๆ เพราะอะไร เพราะว่ารัฐจัดงบประมาณให้จำกัดมากๆ และนำงบที่ได้มานี้ผูกติดกับเงินหลายส่วนที่ต้องจ่ายให้จนท ทำให้ทุกๆฝ่ายต้องเน้นที่การทำทุกอย่างให้ประหยัดที่สุด จนบางครั้งรู้สึกเลยว่ามันคุ้มมั้ยที่เอาชีวิตคนมาแลกกับการประหยัดของรพ. ในปีแรก มีข่าวมากมายที่ออกมาว่ารพ.นั้นงบไม่พอ เงินOTไม่มีพอจ่าย บางรพ.งบติดลบหลายล้าน ตอนนั้นขวัญกำลังใจของรพ.ฝ่อไปเยอะครับ ทำให้บางส่วนมีเสียงต่อต้านโครงการนี้ ทางกระทรวงต้องแก้ไขวิธีการบริหารนโยบายนี้อีกหลายครั้ง ต้องเพิ่มเงินให้แก่รพมากขึ้นทุกๆปี จึงทำให้แต่ละรพ.พอหายใจหายคอได้ แรงต้านก็เริ่มลดลง ถามว่าคุณภาพของการรักษาในโครงการนี้เป็นยังไง พูดตามตรงก็เหมาะกับคนที่มีรายได้น้อย เพราะทุกอย่างที่ใช้ต้องเป็นยาที่ถูกที่สุดที่ยังได้มาตรฐาน(แบบไทยๆ) แต่ถ้าใช้สิทธิอื่นหรือเบิกได้ผมก็จ่ายยาที่ดีกว่านี้ครับ บางแห่งย้ำให้จ่ายยาคนไข้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ซึ่งความจริงค่ารถที่คนไข้เหมามารพครั้งนึงอาจถึง700-800บาท นี่ก็เป็นปัญหาที่รัฐโยนภาระให้คนไข้ ก่อนหน้านี้ชาวบ้านรักษากันยังไง ? ก็เหมือนที่ข้างบนบอก รัฐมีบัตรประกันสุขภาพอยู่แล้ว แต่ระบบการส่งต่ออาจทำได้ยากกว่าปัจจุบัน(ตรงนี้ไม่แน่ใจ เพราะตั้งแต่ทำงานมาก็อยู่ในระบบ30บาทมาตลอด) และไม่ได้มีการโฆษณามากมายแบบ30บาท มาถึงคำถามที่ถามว่า ท่านสมาชิกที่เป็นแพทย์หรือพยาบาลครับ"ท่านชอบโครงการ30บาทหรือไม่? ผมตอบเลยว่าชอบ แต่ตอนเริ่มโครงการบอกเลยว่าอึดอัด เมื่อมีการปรับปรุงหลายๆมา7-8ปี ปัญหาต่างๆก็ดีขึ้น (หวังว่าโครงการเรียนฟรีจะเอาปัญหามาปรับปรุงเรื่อยๆเช่นกัน) อนาคตหวังว่าจะมีการปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการให้ดีกว่านี้ ซึ่งก็ต้องใช้เงินมากขึ้นแน่นอน คนก็ต้องเพิ่มขึ้นมีมากครับ ถ้ามีแค่ปัจจุบันก็ได้แต่ปริมาณเป็นหลัก จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ - [ 25 พ.ค. 52 22:13:05 A:61.19.66.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 มีทั้งข้อดีและเสียครับ จากประสบการณ์ตรงของผมและเพื่อนร่วมงานใน รพ.แห่งหนึ่งในเชียงใหม่          ข้อเสีย (ก่อนละกันครับ) 1. สถานพยาบาลหรือองค์กรที่ให้บริการขาดทุนครับต้องยอมรับจริงๆ เนื่องจากเครื่องมือหรือวิธีการให้บริการบางประเภท เช่น การเอ็กซเรย์ การตรวจแล็ปชิ้นเนื้อหรือสารคัดหลั่ง ฯลฯ หรือการจ่ายยาบางชนิดราคาแพงเกิน 30 บาท แรกๆก็พอไหว แต่นานๆไป สถานพยาบาลขาดทุนแน่นอน 2.  สืบเนื่องมาจากข้อแรก ทำให้ผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขต่างๆ บางท่าน ขอเน้นว่าบางท่าน อาจมีการให้บริการแบบแบ่งแยกเรทราคา ? อธิบายก็คือ เช่น ผู้รับบริการที่จ่ายเต็มราคาก็จะบริการเต็มที่ พูดจาอี๋อ๋อ ให้คำปรึกษาเต็มที่ มีไมตรีมากกว่าผู้รับบริการที่ใช้สิทธิ์ 30 บาท ซึ่งอาจจะต้องรอคิวนาน ใช้น้ำยาหรือเครื่องมือที่ไม่ทันสมัย ให้บริการแบบขอไปที การจ่ายยาก็อาจได้รับยาคุณภาพต่ำ ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะหาย แทนที่จะได้รับยาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่และมีคุณภาพมากกว่า (ข้อนี้ขอเน้นว่าเป็นบางบุคคลเท่านั้นนะครับ บุคคลากรทางการแพทย์ที่ดีมีอีกเยอะมากเพียงแต่เขาทำงานจริงในพื้นที่ชุมชนจนไม่ได้ออกหน้าออกตาเหมือนแพทย์บางคนที่เก่งไปเสียทุกเรื่อง เฮ้อ~) (ขอเหน็บนิดนะครับ ฮา)        ข้อดีบ้าง 1. ตาสีตาสายายมียายมา กล้า (เน้นว่ากล้า) ที่จะมารับบริการในโรงพยาบาลมากขึ้น เพราะ จำนวนเงิน 30 บาทนี่ (ชาวบ้านบางท่าน) อาจจะต้องหา(เก็บ)เงินอยู่ประมาณ 2 วันแล้วขึ้นรถโดยสารมาโรงพยาบาล แทนที่จะเจ็บป่วยแล้วซื้อยาชุดในหมู่บ้านมากินเอง ซึ่งอาจซวยเป็นโรคตับโรคไตจากยาชุดอีก ต้องยอมรับว่า นโยบาย 30 บาทนี่ให้ประโยชน์แก่ประชาชนโดยแท้ ซึ่งเราก็มองได้ทั้ง 2 มุมมคือนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียง กับความจริงใจของนักการเมืองที่มอบให้แก่ประชาชนที่เลือกเขาตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ 2. แน่นอนว่าแนวโน้มอายุประชากร อายุยืนขึ้นจากการได้รับบริการสุขภาพ (อันนี้คงไม่ใช่สาระสำคัญเท่าไหร่) 3. การที่ประชากรมารับบริการในสถานพยาบาลจำนวนมาก ข้อดีที่ยังพอมองได้ก็คือ บรรดานักศึกษาฝึกงาน (โดยเฉพาะสายสุขภาพ) ได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น    จริงๆ ข้อดีแค่ข้อ 1 มันก็ดีหนักหนาแล้ว สำหรับผม ผมมองว่า องค์กรขาดทุนแน่นอน แต่ตัวของนักวิชาชีพเองนี่ไม่ควรจะเดือดร้อนไปด้วยมากนัก เพราะนักวิชาชีพส่วนมาก เงินเดือนก็น่าจะเยอะหรือพอเพียงสำหรับดำเนินชีวิตได้ หนำซ้ำบางท่านยังได้รับเงินค่าตอบแทนสำหรับพนักงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) บางท่านได้ค่าใบประกอบโรคศิลป์ การที่ท่านเลือกมาเรียนและ/หรือประกอบอาชีพในสาขาที่ให้บริการทางสุขภาพ พื้นฐานทางจิตใจของท่านสำคัญที่สุดควรเป็นเรื่องของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์มิใช่หรือ เราจะต้องการเงินทองไปอีกทำไมมากมาย         ขอฝากไว้ให้เพื่อนผู้ช่วยเหลือมนุษย์ทุกท่านช่วยพิจารณา ผิดถูกประการใดช่วยชี้แนะได้ จากคุณ : ken127 - [ 25 พ.ค. 52 22:14:26 A:117.47.44.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบ คห. 18 ครับ ไม่ทุกคนครับ คนที่รวย คนที่มีเงิน ก็ไป รพ.เอกชนกันหมด มันมีทางเลือกครับ เหมือนคนที่มีเบนซ์ขับ เค้าก็ไม่มานั่งรถเมล์ ไม่ต้องมาต่อคิว ไม่ต้องมานอนห้องผู้ป่วยรวม เรื่องเงิน ตอนแรก มันไม่มีพวกมาตราการ ยุทธศาสตร์ ที่ผมโพสๆรูปไปอะครับ เลยขาดทุนกัน รพ. จะเจ๊งกัน ตอนนี้ เรา้เน้นทั้งเชิงป้องกัน เน้นให้มันคุ้มค่ามากที่สุดครับ มีการผลิตยาเองเหนือลิขสิทธิ์ (CL ยา) โดยองค์การเภสัช ด้วยครับ บางรพ. ทำสปา มีสระว่ายน้ำ มีสมุนไพรขาย บางรพ. จ่ายยาเป้นยาสมุนไพรก็มีครับ(แต่ชาวบ้านไม่ค่อยชอบ -*-) จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 22:19:28 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณทุกท่านครับ ตอบได้เยี่ยม! จากคุณ : ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย (ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย) - [ 25 พ.ค. 52 22:21:54 A:61.90.16.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 รัฐให้งบมาจำกัด  + เก็บเงินจากคนไข้ไม่ได้  = ต้องจ่ายยาราคาถูก ยาราคาถูก   =   บริษัทยาได้กำไรน้อย บริษัทยาได้กำไรน้อย  = ผลประโยชน์ที่จะตอบแทนให้หมอน้อย จากคุณ : คุณสะอาด - [ 25 พ.ค. 52 22:22:51 A:124.120.230.121 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 เอาในส่วนของชนบทก่อนนะครับ ผมเองไม่ได้ไปสัมผัสอะไรอะไร ใน รพ.เอกชนเท่าไร นอกจากตอนที่ไปบำรุงราษฎร์ ไปถามราคา แล้วเดินออก -*- ไม่มีตังค์โว้ยยยย อะจอดครับ เยี่ยมบ้าน จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 22:24:01 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 26 บางคนเค้าไม่อยากให้เป็นผลงานไทยรักไทยครับ    เบี่ยงกันสุดฤทธิ์ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ - [ 25 พ.ค. 52 22:27:58 A:112.142.2.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 คห. 24 อย่ามั่วครับ ยาราคาถูก ส่วนใหญ่มันก็ถูกของมันอยู่แล้ว ผมหละคนนึง ที่สนับสนุนให้ GPO ผลิตยาเองเหนือลิขสิทธิ์ (CL ยา) ทำให้ได้ยาที่ถูกลง คุณรู้จักยาต้านไวรัสของ GPO มั้ย GPOVir หนะ สมัยรัฐบาลหมัก มีไอ้ รมว.สธ. ชื่อไชยามันจะยกเลิก มันบอกให้ผู้ป่วยเอดส์ไปกินดอกไม้จันแทนยา แล้วเปลี่ยนบอร์ดบริหาร GPO จนที่ GPO เค้าประท้วงกัน ดีนะ ที่เค้าประท้วง ผมเองก็อยู่ในนั้นด้วย คิดครับ คิด ใครกันแน่ ที่มันละโมบอยากได้เงินบริษัทยาข้ามชาติหนะ GPO = องค์การเภสัชกรรม ปัจจุบัน ยา GPO มีเยอะครับ ยาฆ่าเชื้อ Amoxy+Clav ยาขับเหล็ก สำหรับผู้ป่วย ทาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมเป็นมากในคนอีสาน ยาต้านไวรัสเอดส์ พารา มีเยอะครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 22:34:55 จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 22:29:54 A:10.10.11.1 X:117.47.173.1 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ คห4 เราเห็นด้วยที่คุณว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เราคิดว่าการมีข้อเสีย ไม่ใช่หมายถึงให้เลิกทำ ข้อเสียน่าจะนำมาปรับปรุงและทำให้ดีขึ้นต่างหาก เพื่อนเราบอกว่า ยา ในโครงการ 30 บาท ไม่ดี แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว เราเคยหาหมอทั้งเอกชน และรัฐบาล รักษาอาการเดียวกัน เราเอายาที่หมอรพ.เอกชน ไปให้รพ.รัฐดู หมอบอก รพ.รัฐไม่จ่ายตัวนี้ เอาตัวนี้ไปแหละกัน เราก็ถามต่อว่ามันรักษาได้ผลได้เหมือนกันหรอ หมอบอก เหมือน เราก็ถามต่อ แล้วมันต่างกันยังไง หมอบอก ก็แพงกว่าก็เท่านั้น แต่ผลที่ได้เหมือนกัน คนที่เรารู้จักก็เรียนหมอ เขาก็บอก ยาที่ราคาแพงเพราะยังไม่ปลดลอคลิขสิทธิ์ พอปลดลอคลิขสิทธิ์ ค่ายาก็ถูกทำให้สามารถใช้ในโครงการ 30 บาทได้ ตัวอย่างก็เช่น ยารักษาโรคเอดส์ โครงการนี้เป็นโครงการที่มีแนวคิดเป็นสังคมนิยม จะไปพูดว่าลอกประเทศอื่นมาก็จริง เหมือนกับการที่ลอกระบอบปกครองประชาธิปไตยเขามาไง เราเลยคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะนำสิ่งที่ดีมาใช้ คิดว่าไงล่ะ? ที่สำคัญเราไม่คิดว่า คุณภาพประชากร มาเกี่ยวข้องอะไรกับโครงการนี้เพราะโครงการนี้ในความคิดเราแล้วเป็นโครงการที่ยกระดับความเป็นอยู่คุณภาพชีวิตประชากร สุดท้ายเราก็ไม่ทราบว่าประเทศไทยพร้อมสำหรับโครงการอย่างนี้หรือเปล่า เพราะอเมริกาที่พร้อมกว่าเรา(จากเหตุผลที่คุณยกมา)โครงการแบบนี้เขายังทำไม่ได้ ในขณะที่ประเทศคิวบายังทำได้และทำมาก่อนประเทศไทยด้วยซ้ำ จากคุณ : พาสาน - [ 25 พ.ค. 52 22:32:08 A:125.24.243.248 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 แต่เท่าที่ทราบ  คนรวยมากมายก็ใช้สิทธินี้เช่นกัน แล้วรัฐจะแบกภาระนี้ไหวหรือครับ? ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ? การรอคอยการตรวจรักษา คุณภาพของยา ความหนาแน่นของผู้ใช้บริการ จะเป็นการบีบให้คนรวยไม่อยากมาใช้บริการครับ (ซึ่งก็ถูกนะ) จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ - [ 25 พ.ค. 52 22:40:20 A:61.19.66.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่ชอบดิ ตูรักษามาตั้งนาน ได้แค่30 จะเอาเงินให้มากๆน่ะ จากคุณ : createTshirt - [ 25 พ.ค. 52 22:48:22 A:124.120.68.48 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ ^ ยิ่งแสดงความเห็น ยิ่งประจานตัวจริงๆ คห. พวกนี้ จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 22:53:10 A:10.10.11.19 X:117.47.173.105 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ คุณความคิดเห็นที่ 29 เอาประสบการณ์ส่วนตัวเรานะ เวลาไปรพ.รัฐ คนก็เยอะเป็นปกติอยู่แล้ว คือถ้าไปวันนี้ยังไม่มีประวัติก็ต้องทำประวัติ กินเวลาไปค่อนวัน แนวโน้มไม่ได้ตรวจสูงเพราะคนเยอะมากต้องนัดหมอใหม่วันอื่น แล้วค่อยมาตรวจอีก แต่รพ.รัฐที่เราไป เขาจะมีคลินิคพิเศษอ่ะ แบบหลังเวลาราชการ ก็คือจะไม่ใช่ 30 บาท แล้ว...คนก็น้อยลง เราว่าคนที่มีมีฐานะที่ไปรพ.รัฐน่าจะเลือกตัวเลือกนี้มากกว่า ...ค่ารักษาจะถูกกว่ารพ.เอกชน ที่เราชาร์ตค่าหมอ 300 ถ้าเอกชนเราโดนชาร์ต 500 และก็มีอีกทางเลือกหนึ่งด้วยแบบคนเยอะ ให้หมอรพ.รัฐ ดูอาการ เขียนใบสั่งยา แต่ไปซื้อยา+นอนให้ยาที่ รพ.เอกชน คนที่เรารู้จักเขาเคยทำแบบนี้อ่า (ขอเพิ่มเติม) เราว่าที่คนหนาแน่นอีกส่วนน่าจะเป็นเพราะ รพ.รัฐ มีไม่พอกับความต้องการคน เพราะในแต่ละปี กสพท. รับสมัครแพทย์ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนนะจะได้ประมาณ หมอ 2 คน ต่อ จังหวัด...จากการรับแพทย์สองปีในปีที่แล้วนะ(ในปี54หมอที่จบ มีอัตราน่าจะ 1 คน ต่อจังหวัด) สาเหตุที่ผลิตหมอได้น้อยเราก็พอเข้าใจนะ ว่าแบบ ที่ไหนเปิดหมอ ที่นั่นต้องมี รพ รองรับ แล้วถ้ารับหมอเยอะเกิน มันก็สอนไม่ทั่วถึง ...อาจารย์หมอรพ.รัฐนี่ยังไปสอน มหาลัยเอกชนที่มีคณะแพทย์ในบางครั้งเลย.. ปัญหาบุคลากรนี่แหละจะแก้ยังไงดี เปิดรพ.รัฐเพื่อรองรับบุคลกรทางการแพทย์ ?? (คิดดูเล่นอ่ะ แหะๆ) แต่จะว่าไปไม่ใช่แต่ในสาขาหมอหรอที่บุคลากรขาดแคลน สาขาพวก pure science ด้วย สาขานี่ที่คนเลือกเรียนน้อย เพราะอุปกรณ์จะไม่เพียงพอยิ่งกว่าทางการแพทย์เสียอีก(เชื่อหรือไม่ว่า ในประเทศไทย มีกล้องจุลทรรศน์อิเลกตรอนแค่ สอง เครื่อง... อาจารย์ที่เคยสอนชีว เราบอกมาอ่ะ) อีกทั้งยังไม่มีอาชีพที่รองรับสนับสนุนอีกด้วย ถ้ารัฐเน้นให้เด็กในประเทศมาสนใจ pure science ในขนาดพอๆกับ พวกApply Science ได้อ่ะนะ โห สบายโข ก้าวหน้าทั้งทางเทคโนโลยี ไบโอโลยี เพราะตอนนี้สาขาประยุกต์ในประเทศเราเยอะมาก เช่น วิศว ไง -*- ...โทษทีถ้าแอบนอกเรื่อง แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 23:13:12 จากคุณ : พาสาน - [ 25 พ.ค. 52 22:55:44 A:125.24.243.248 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ชอบดิ ตูรักษามาตั้งนาน ได้แค่30 จะเอาเงินให้มากๆน่ะ จากคุณ : createTshirt โพสต์แบบนี้รู้เลยว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สักแต่โพสต์เอามันอย่างเดียว จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ - [ 25 พ.ค. 52 22:58:18 A:61.19.66.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไม่มันส์ครับ เรื่องจริง พูดตรงๆ รับกันได้รึเปล่าล่ะ จากคุณ : createTshirt - [ 25 พ.ค. 52 23:07:52 A:124.120.68.48 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 ท่าน เตียบ่อกี้ ครับ อย่าไปเถียงเค้าครับ ผมเดาผลล่วงหน้าได้ มีเสียถึงจรรยาบรรณแน่นอน 555+ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 23:15:58 จากคุณ : Mdiic~* - [ 25 พ.ค. 52 23:15:31 A:10.10.11.19 X:117.47.173.105 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ชอบมาก  ทำงานง่าย ไม่เครียดเวลาผู้ป่วยจน ไม่มีเงิน (ฉันกู้มาร้อยละ 30 ขาย:-)ไถนาตัวสุดท้าย  เอาบ้านไปจำนองฯลฯ) การรักษามาตรฐานไม่แตกต่างจากผู้ป่วยเสียเงินเอง(คนไข้เชื่อได้) ระบบจะทำให้ผู้ให้บริการคิดถึงหน่วยต้นทุน  ไม่สั่งการรักษาอย่างฟุ่มเฟือย หมอๆจะถูกทำ ให้ฉุกคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ไม่สั่งยาตามที่บริษัทยามา contract (บางทีได้สปอนเซอร์ไปต่างประเทศบ่อยๆจนถูกสอบสวน) สำหรับคนไข้ใ:-)อยากเสียเงินเองในการใช้เครื่องมือวินิจฉัยสุดๆก็ไปรักษาในโรงพยาบาลที่ชอบได้(เช่นบำรุงราษฏร์) เป็นการสอนให้คนไข้ไม่บริโภคเกินจำเป็น แต่ผู้บริหารอาจไม่ชอบเพราะปวดหัว  ต้องทำงานหนักในการบริหารเงินให้เป็น จากคุณ : eye opening - [ 25 พ.ค. 52 23:37:01 A:125.26.148.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 ชอบมาก  ทำงานง่าย ไม่เครียดเวลาผู้ป่วยจน ไม่มีเงิน (ฉันกู้มาร้อยละ 30 ขาย:-)ไถนาตัวสุดท้าย  เอาบ้านไปจำนองฯลฯ) อันนี้เห็นด้วยครับ โดยเฉพาะการผ่าตัดต่างๆ หมอก็ไม่ต้องคิดเรื่องค่าใช้จ่าย ทำอย่างเดียวก็พอ แต่ผู้บริหารปวดหัว555 จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ - [ 25 พ.ค. 52 23:45:44 A:61.19.66.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดเห็นที่ 9   ข้อเท็จจริง -ระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย มีมาตั้งนานแล้วครับ มีมาก่อนที่คุณทักษิณจะประมูลดาวเทียมได้ซะอีก -สิทธิ ประกันสุขภาพก็เหมือนๆกับตอนนี้ละครับ เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี เด็กนักเรียน ผู้พิการ ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ ประกันสุขภาพครอบครัว (500 บาท) -ในอดีต สิทธิเหล่านี้ เมื่อมีบัตรแล้ว ฟรี! ไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว จากคุณ : Mdiic~* ......................... ใช่ครับ มีมาก่อนจริง แต่เสียเงิน 500 บาท ทำบัตร แต่รักษาได้แค่ 5 คนนะครับ  ถ้าครอบครัว(ทะเบียนบ้าน)ใดที่มีคนเกิน 5 คน คนที่เกินก็ต้องเสียเงินค่ารักษาเอาเอง แล้วชาวบ้านในชนบท ส่วนมากจะเป็นครอบครัวใหญ่ที่อยู่ด้วยกันสองหรือสามรุ่น ซึ่งมีจำนวนเกินห้าคนทั้งนั้น  ดังนั้นการได้สิทธิ์แค่ห้าคนจึงไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา  เพราะคนที่มีชื่อในบัตรประกันสุขภาพอาจไม่ป่วย แต่คนที่ไม่มีรายชื่ออาจเจ็บป่วย แล้วต้องเสียเงินรักษาเอง   ดังนั้นบัตรประกันสุขภาพจึงไม่โดนใจพวกเขา อีกอย่างเงิน 500 บาท อาจจะน้อยนิดสำหรับคนที่มีเงิน แต่คนจนจะถือว่ามาก ทำให้บางครอบครัวเกิดความลังเลที่จะทำ เพราะเสียเงินไปก่อน แล้วรักษาภายหลัง เป็นการซื้อสิทธิ์ในอนาคต พวกเขาอาจไม่เจ็บป่วยก็ได้ แล้วก็จะเสียเงินฟรี ซึ่งเป็นภาพและผลประโยชน์ที่เลือนลางเกินไป และช่วงจังหวะที่ทำบัตรประกันสุขภาพ ก็มีระยะเวลากำหนดไว้ ถ้าพ้นกำหนดนั้นไปก็ทำไม่ได้ หากครอบครัวใดไม่มีเงินในช่วงนั้น ปีนั้นก็พลาดโอกาสไป ทำให้ครอบครัวนั้นไม่มีบัตรเลย พวกเขาก็ไม่ได้รับสิทธ์รักษาฟรี ซึ่งแตกต่างจากโครงการ 30 บาท  ที่จะทำบัตรเวลาไหนก็ได้ พอคุณทำคุณก็ได้รับสิทธิ์นั้นเลย ทั้งไม่ต้องเสียเงินล่วงหน้า ทำให้แน่ใจได้เลยว่าไม่เสียเงินฟรี(ต้องเข้าใจความคิดของคนชนบทด้วยนะครับ  เพราะพวกเขาถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆแล้ว พวกเข้าไม่อยากเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย เพราะเสียเวลาทำมาหากิน จะซื้อยาหมอตี๋กินมากกว่า) จะเสียเงินก็ตอนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย และก็แค่เงิน 30 บาท  พวกเขาพอหาได้ง่าย  ซึ่งเป็นภาพที่ชัดเจน เห็นเด่นชัด ดังนั้นจึงเป็นอะไรที่โดนใจพวกเขาสุดๆ เพราะเหตุผลเหล่านี้เอง โครงการ 30 บาท จึงเป็นโครงการต้นๆที่ทำให้"ทักษิณ"เข้าไปอยู่ในใจของประชาชนส่วนมากของประเทศ  เพราะพวกเขาเป็นคนจน เป็นคนที่ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ พวกเขาจึงชอบโครงการนี้ แต่ขณะที่คนส่วนมากชอบโครงการนี้ เพราะเป็นผลดีกับประชาชนส่วนมาก  กลับมีหมอไม่น้อยที่ไม่ชอบโครงการนี้ เพราะพวกเขามีรายได้ลดลง ด้วยคนไข้ตามคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน เปลี่ยนไปใช้โครงการนี้ เป็นธรรมดาครับ  เมื่อคนไข้เยอะขึ้น เวลาว่างก็น้อยลง หมอก็ออกไปรับจ๊อบข้างนอกไม่ได้เหมือนก่อน  คนที่ทนไม่ได้หรือมีทางเลือกอื่นก็ลาออกไป  ดังนั้นหมอส่วนมากจึงไม่พอใจ"ทักษิณ" คนที่เอาโครงการนี้มาทำ  ที่ว่าระบบไม่พร้อม กลัวรักษาผิดพลาด ไม่ได้ตรวจคนไข้ละเอียดถี่ถ้วน กลัวคนไข้ฟ้อง นั้นเป็นข้ออ้างเสียมากกว่า แต่ลึกๆแล้วหมอส่วนมาก สูญเสียผลประโยชน์หรือรายได้น้อยลง ในยุคนี้จะหาหมอที่อุทิศตนเพื่อคนไข้จริงๆหายากครับ ยุคทุนนิยมนี้ หมอเป็นหมอที่มีเงาของนักธุรกิจทับซ้อนอยู่ต่างหาก  อย่าบอกเลยว่าไม่ใช่  คนที่เลือกเรียนหมอยุคนี้ อย่าอ้างเลยว่า เพื่ออุดมการณ์ อยากรักษาคน ช่วยเหลือสังคม ส่วนมากลึกๆเลือกเรียนเพราะเป็นอาชีพที่มีคนยกย่อง หาเงินได้ง่าย จะเห็นได้จากหมอส่วนมากมีคลินิก หรือรับจ๊อบตามโรงพยาบาลเอกชน ถ้าไม่เพื่อเงินจะเพื่ออะไร ดังนั้นหมอส่วนมากจึงไม่พอใจ"ทักษิณ" คนที่เอาโครงการนี้มาทำ จากคุณ : klaeo - [ 26 พ.ค. 52 00:45:43 A:114.128.217.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 ในยุคนี้จะหาหมอที่อุทิศตนเพื่อคนไข้จริงๆหายากครับ ยุคทุนนิยมนี้ หมอเป็นหมอที่มีเงาของนักธุรกิจทับซ้อนอยู่ต่างหาก  อย่าบอกเลยว่าไม่ใช่  คนที่เลือกเรียนหมอยุคนี้ อย่าอ้างเลยว่า เพื่ออุดมการณ์ อยากรักษาคน ช่วยเหลือสังคม ส่วนมากลึกๆเลือกเรียนเพราะเป็นอาชีพที่มีคนยกย่อง หาเงินได้ง่าย จะเห็นได้จากหมอส่วนมากมีคลินิก หรือรับจ๊อบตามโรงพยาบาลเอกชน ถ้าไม่เพื่อเงินจะเพื่ออะไร ดังนั้นหมอส่วนมากจึงไม่พอใจ"ทักษิณ" คนที่เอาโครงการนี้มาทำ จากคุณ : klaeo แล้วในยุคนี้อาชีพไหนที่มีแต่คนอุทิศตนเพื่อส่วนรวมครับ ในเมื่อคนในสังคมโตมาพร้อมระบบทุนนิยม จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ - [ 26 พ.ค. 52 00:58:55 A:61.19.66.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 ทำไมต้องไปสนใจด้วยหมอกับพยาบาลมันจะชอบหรือไม่ชอบ มันเป็นข้าราชการก็ต้องควรบริการประชาชน จากคุณ : aradabic - [ 26 พ.ค. 52 01:11:48 A:125.26.251.137 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 ชีวิตคน กับผลประโยชน์ เลือกอะไรดีหนอ?? จากคุณ : thoncha - [ 26 พ.ค. 52 01:48:28 A:112.143.15.39 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ทำไมต้องไปสนใจด้วยหมอกับพยาบาลมันจะชอบหรือไม่ชอบ มันเป็นข้าราชการก็ต้องควรบริการประชาชน จากคุณ : aradabic ===================================== โอ้โห!! เรียก"มัน"เลยหรือครับ? คุณทราบหรือไม่ครับว่าความคิดแบบคุณทำให้แพทย์และพยาบาล ลาออกจากระบบของรัฐไปเท่าไหร่แล้ว ถ้าคุณคิดว่า "ก็ให้มันออกไปดิ คนอื่นที่เขาอยากทำเยอะแยะ เดี๋ยวก็มีคนสมัครเข้ามาใหม่" คุณเข้าใจผิดครับ ทุกวันนี้แพทย์และพยาบาลไหลออกจากระบบของรัฐมากมายอย่างน่าตกใจ คุณไม่รู้สึกเพราะไป ร.พ. ก็เจอหมอเจอพยาบาลตลอด แต่คนที่รับผลกรรมนั้นก็คือคนที่ยังทำงานอยู่ในระบบครับ เพราะพวกเขาต้องแบกงานหนักขึ้นๆ จนบางคนทนไม่ไหว ก็ลาออกๆๆ ตามกันไปเป็นหางว่าว จนเคยมีข่าวว่าบางโรงพยาบาลต้องขอปิดเพราะไม่มีคนทำงานแล้ว จากคุณ : ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย (ไร้สีไร้กลิ่นถูกหลักอนามัย) - [ 26 พ.ค. 52 06:10:26 A:58.8.123.110 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 ดีกับคนไข้ เหนื่อยในระยะแรก สำหรับหมอกับพยาบาลที่ปรับตัวไม่ทัน แต่มีข้อดีมากกว่าข้อเสียแน่นอน ปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มต้นก็ต้องถูกแก้ไปเรื่อยจนกว่าจะเบาบางลง ถ้าบุคคลากรทางการแพทย์ยึดจรรยาบรรณเป็นหลัก นั่นคือ ให้ยึดคนไข้เป็นศูนย์กลาง .....โครงการนี้จะทำให้พวกเขาทำงานง่ายขึ้น สบายใจขึ้น ไม่ใช่เมื่อก่อนที่ หมออยากผ่าตัดให้คนไข้แทบตาย แต่คนไข้ไม่มีเงิน ทำให้ผ่าไม่ได้ ส่วนเรื่องมันจะคุ้มไหมเมื่อค่ายา ค่าผ่าตัดแพงกว่า 30 บาทหลายร้อยเท่า ถ้ามองแต่ละเคสที่เข้ามามันไม่คุ้มแน่นอน แต่อย่าลืมนะว่าคนที่ขึ้นทะเบียนบัตรทองทุกคนทั้งที่ป่วยและไม่ป่วย รัฐจ่ายให้ คนละ 2000 กว่าบาทอยู่ เฉลี่ยทั้งปีอาจไม่พอในระยะแรก แต่รัฐก็มีแนวทางยืดหยุ่นให้ ส่วนคนรวยที่มีสิทธิ์นี้ ถ้าเขามีเงินขนาดนั้นเขาไม่มารอที่ รพ.รัฐเป็นวันๆ หรอกค่ะ และโรงพยาบาลก็ยังได้ค่าหัว 2000 กว่าจากรัฐตามสิทธิ์ที่เขาไปขึ้นทะเบียนเอาไว้อีกด้วย ประเด็นที่ว่า เดิมก็ฟรีอยู่แล้วในคนแก่ เด็ก พระ อะไรเช่นนั้นก็เป็นเรื่องจริง ก็อย่างที่ คห. บนๆ อธิบายไว้แล้ว นอกนั้น กว่าคุณจะได้ปั๊มฟรี (ผู้มีรายได้น้อย) แบบฉุกเฉิน ก็โดนซักประวัติถกทั้งต้นตระกูลว่าทำไมไม่มีเงินรักษา (ทำไมไม่ทำมาหากินให้มีเงิน) เป็นวันๆ จนต้องมีการหนีออกจากโรงพยาบาล เพื่อไม่จ่ายค่ารักษานั่นแหละ (พอมีบัตร 30 บาท ปัญหานี้ก็หมดไปเลย) ดิฉันสรุปว่าโครงการนี้ดี ถึงมีปัญหาในระยะแรกบ้าง แต่ถ้าไม่เริ่มสักที ก็ไม่มีทางได้เกิดโครงการดีๆ อย่างนี้หรอกค่ะ รอเมื่อพร้อม เมื่อไหร่ก็ไม่มีวันพร้อม.... จากคุณ : พิณทองเทียมๆ - [ 26 พ.ค. 52 06:58:54 A:118.173.218.70 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 เคยดูรายการ TV ที่ทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของแพทย์  เขาไปสัมภาษณ์ อาจารย์แพทย์คนหนึ่ง เขาบอกว่า " ถ้ารักสบาย อย่ามาเป็นหมอ " ผู้ที่ตั้งใจเป็นแพทย์ ผมเข้าใจว่าตอนเด็ก ๆ คนเหล่านี้อยากจะเป็นหมอ - พยาบาล เพื่อ " ช่วยเหลือผู้คน " แต่ทำไม หลังจากเรียนจบแล้ว แพทย์บางส่วนกลับไปอยู่ที่ ที่พวกเขาสามารถ " ทำเงินให้กับตัวเองมากกว่า " ผมไม่ได้คิดดูถูกแพทย์ทั้งหมดเพราะเท่าที่เจอหมอ "ส่วนใหญ่" ลำบากลำบนทำงานเพื่อผู้ึคนซึ่งเห็นแล้วน่ายกย่องมาก   แต่บางคนที่ตัดพ้อว่าเพราะโครงการบางโครงการทำให้  " รายได้ของเราลดลง " ผมจึงสงสัยบ้างว่า ท่านต้องการมาเป็นแพทย์เพราัะ " อยากช่วยเหลือมนุษย์ หรืออยากมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทอง " Edit แ้ก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 08:00:20 จากคุณ : Autumn2reason - [ 26 พ.ค. 52 07:59:55 A:118.172.135.157 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าหมอกระเป๋าเขียวบ่น ก็แปลว่าแย่มากๆแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเป็นหมอในเมือง บ่น ก็คงเป็นเรื่องปรกติ เพิ่มงาน เพิ่มภาระให้ ใครจะไม่บ่น ? เหมือนข้าราชการไง... จริงๆ หมอ กินเงินเดือนรัฐ กินภาษีประชาชน ฐานเงินเดือนสูงที่สุดในระดับข้าราชการด้วยกันแล้ว ชาวบ้านก็กราบไหว้หมอ ,ไหว้ครู แต่ครูหนี้บาน , หมอมีรถขับ คงไม่มีใครเถียงว่าหมอรายได้น้อยงานหนัก ผมว่า เป็นงานขึ้นหิ้งมากกว่า....เพราะคนจะเรียนมาทางนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกคนมีเงิน มีฐานะทั้งนั้น งานหนัก งานลำบาก ไม่เคยแตะหรอกครับ พอมาเป็นหมอ ต้องมาทำงานหนัก วันหนึ่งหลายชั่วโมง ตรวจคนไข้สามสิบ สี่สิบคน ก็เหนื่อย เบื่อ เงินเดือนหลักหมื่นต้นๆ ก็ไม่พอใช้ ต้องไปรับจ๊อบ รพ.เอกชน ชม.ละ 2 พัน มีเงินหน่อยก็เปิดคลีนิคตอนเย็น ได้เงินค่ารักษาอีก 4 - 5 พัน/วัน พอสามสิบบาทออก คลีนิค คนหาย รพ.ประจำคนเยอะ รพ.เอกชนคนน้อย ก็มีเว้นว่างบ้างแล้ว ผมว่า เรื่องงานหนัก ถ้าเทียบกับ ครู , ตำรวจ แล้ว ได้แค่ 30% เองมั้ง.....แต่รายได้ต่างกันหลายเท่าตัว ไม่แปลกที่ หมอ พยาบาล หลายคน ไม่ชอบทักษิณ จากคุณ : น้ำปลาเดือนห้า - [ 26 พ.ค. 52 09:35:22 A:124.120.171.111 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 กระทบต่อรายได้พวกเขานี่ครับ  ย่อมโกรธเกลียดเป็นธรรมดา จากคุณ : เผ่นพันลี้ - [ 26 พ.ค. 52 09:43:32 A:203.150.232.78 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่พอใจก็อย่ามาเปนหมอเปนพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐเลย ใช้ทุนกันหมดแล้วก็ไสหัวไปซะไอ้พวก  หวังรํารวย ไอ้ที่บอกว่าจบออกมาหวังช่วยคนนะมัน:-)ทั้งเพ  เกือบ99 %หวังมีเงินเดือนสูงมี โบนัสเยอะๆ   พอมีสามสิบบาท  กําไรลดมันเลยโวยเพราะจะขูดรีดกับประชาชนแบบเดิมอีกไม่ได้ และ30บาทรักษาทุกโรคนี้เค้าไม่ใช่แค่รักษาด้วยยา  เค้ามีการผ่าตัด  อีกด้วย  ยาไม่ดีแต่ถ้ารับการผ่าตัดมันก้รอดได้เเล้วเช่น  กระดูกหัก   หรือว่าเปน  ฝีในปปอด  เปนเนื้อหงอกในมดลูก ล้วนแล้วที่ต้องได้รับการผ่าตัด  ยาดีไม่ดีค่อยว่ากันยังไงก็ไม่ตายแน่   ทํามาเปนโวยวายไอ้พวกหมอหัวหมอ  เห้นวันๆคลุกอยู่แต่คลีนิค หากินกับคนป่วย  ตอนอยู่โรงบาล  กว่าจะมาหาคนไข้ได้  ปาเข้าไป 10-11โมง จากคุณ : กระดาษห่อไฟ - [ 26 พ.ค. 52 09:46:28 A:118.173.207.226 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณหมอ minimalist  หายไปไหนหนอ จากคุณ : ทิวหญ้าเหนือยอดภู - [ 26 พ.ค. 52 10:20:13 A:118.174.144.217 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 หมอดีๆ ก็มีเยอะ ที่ทำงานอุทิศตัวเพื่อคนไข้จริงๆ หมอเหล่านี้จะสบายใจกับโครงการ 30 บาท ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนไปถามคนคนไข้ว่า ....ลุง..ลุงมีซักสองหมื่นไหม ขอยืมใครมาก็ได้ หมออยากผ่าให้ลุง จะได้หายขขาด.... เมื่อมีโครงการนี้ หมอจะยืดอกส่งคนไข้ไปผ่าตัดได้เลย โดยไม่ต้องถามเรื่องเงิน หรือหมอยืดอกตอบได้เลย เมื่อคนไข้ถามว่า ผ่าตัดต้องใช้เงินเท่าไหร่ ความปลื้มปิติของคนไข้ย่อมอยู่ในใจของหมอทุกคน เมื่อตอบว่า 30 บาทเท่านั้น แน่นอน... หมอ พยาบาลงานหนักขึ้นกับโครงการนี้ แต่รายได้ก็เพิ่มขึ้นด้วยนะ จากขั้น จากโอที จากโบนัส ค่าเวร ค่าผ่าตัดนอกเวลา ค่าไม่เปิดคลีนิค (เดือนละตั้งสองหมื่น) และจากเงินประจำตำแหน่ง เหนื่อยมาก ไม่ต้องการเงิน ก็โยกเวรไปให้หมอคนอื่นได้ รายได้ที่คลีนิคก็ไม่น่าห่วงอะไร เพราะมีคนไข้อีกมากที่ไม่ต้องการรอ ไปคลีนิคดีกว่า เสียเงินสีซ้าห้าร้อย ดีกว่าไปรอเป็นวันๆ ถ้าต้องนอนโรงพยาบาล แต่ไปคลีนิคก่อน จะได้ใบออร์เดอร์พิเศษ ให้ไปนอนที่ รพ. ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านระบบอันยืดยาวของโรงพยาบาล ลองคิดดูให้ดี ระบบนี้มีผลดีกับทุกฝ่าย ไม่ว่า จะเป็นบุคคลากรทางการแพทย์เอง และกับคนไข้หลายๆ ประเภทด้วย ยังไงก็ไม่อยากให้โครงการเลิกไปเลย เห็นรัฐบาลเล็งๆ ไว้อยู่ว่างบค่าหัวไม่พอจ่าย บอกตรงๆ ว่าเสียวแทน สงสารประชาชน... ถ้าต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จากคุณ : พิณทองเทียมๆ - [ 26 พ.ค. 52 11:08:23 A:118.173.218.70 X: ]

ความคิดเห็นที่ 50 แนวคิดนี้น่าจะดี แต่รายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับวงการน่าจะมีหลายอย่างที่ทำให้บุคคลากรไม่ค่อยชอบใจ เห็นในเวบบอร์ดหนึ่งที่ไม่ชอบตอนคุณทักษิณบริหาร เพราะว่าทำงานเหนื่อยหนัก แถมทำแล้ว พลาดมาโดนตรวจสอบ โดนบี้ (เหมือนอาชีพอื่นๆ) คนทำงานก็เลยท้อใจ เรื่องเล่าเล็กๆเรียกน้ำย่อย ในวิชาชีพที่คาดหวังในเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม พอๆกับนักการเมือง ในดีมีเลวในเลวมีดี มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ต้องการนำเข้าอุปกรณ์เครื่องมือทำมาหากินด้วยการหลีกเลี่ยงภาษี หวังว่ากลุ่มคนกลุ่มนี้คงไม่ใช่พวกเดียวกับที่ออกมาต่อต้านคุณทักษิณก็แล้วกัน เหอเหอ จากคุณ : hidepod - [ 26 พ.ค. 52 11:22:46 A:124.121.108.244 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 นโยบายสามสิบบาทไม่มีผลกระทบอะไรกับพวกผมหรอก พวกผมก็จะผลิตพวกผมให้จำนวนน้อย ๆ ให้มันขาดแคลนเข้าไว้ รัฐบาลและสังคมจะได้เห็นความสำคัญและง้อพวกผม ให้ค่าจ้างเงินเดือนสูง ๆ ค่า OT ค่าตรวจรายหัว ค่าหัตถการ ค่าไม่เปิดคลินิค เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย พตส. ค่าใบประกอบวิชาชีพ จบใหม่ ๆ ตอนนี้ก็ร่วม ๆ แสนบาทต้น ๆ ต่อเดือน เอกชน ก็จะแข่งเพิ่มค่าจ้างเป็นสองแสนแล้วสำหรับพวกผมที่จบบอร์ด แต่เชื่อเถอะว่าภาวะขาดแคลนพวกผมและภาวะสมองไหลมันก็ยังมีอยู่เท่าเดิม เพราะพวกผมก็จะจำกัดการผลิตพวกผมให้มีจำนวนน้อย ๆ ต่อไป โดยข้ออ้างเรื่องคุณภาพ คุณภาพ และคุณภาพ รัฐบาลก็จะต้องเพิ่มอัตราค่าตอบแทนให้กับพวกผมให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อจูงใจให้พวกผมทำงานภาคราชการ เพื่อไม่ให้โครงการสามสิบบาทล้มหายตายจากไป พวกผมเรียกค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ รัฐบาลก็ไม่เคยกล้าขัด เพราะภาวะขาดแคลนพวกผมมันมีอยู่จริง โดยเฉพาะเมื่อพวกผมที่อยู่ชนบทเป็นหน่วยกล้าตายเป็นแกนนำในการเรียกร้องค่าตอบแทนเพิ่ม เอกชนก็จะต้องเพิ่มอัตราค่าจ้างพวกผมให้สูงกว่ารัฐบาลไปเรื่อย ๆ เพื่อล่อใจ จูงใจดึงให้พวกผมมาทำงานภาคเอกชน หากรัฐบาลยังเชื่อพวกผมอยู่ ด้วยการจำกัดการผลิตพวกผมให้น้อย ๆ อย่างที่พวกผมเสนอ อีกไม่เกินสิบปีค่าตอบแทนพวกผมก็น่าจะเป็นอัตราคนละกว่าล้านบาทต่อเดือนแน่ ๆ เงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็ดึงมาจากเงินโครงการสาบสิบบาททั้งนั้น โครงการสามสิบบาทนี่ดีจริง ๆ เห็นไหมครับว่าพวกผมไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ จากโครงการสามสิบบาทจริง ๆ ไม่ได้โม้ จากคุณ : เขียว หางไหม้ - [ 26 พ.ค. 52 11:40:01 A:118.173.43.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 เห็นด้วยครับ  เนี่ยถ้าเพิ่มงบรายหัวอีกหน่อยรับรอง  ไร้เทียมทานครับ จากคุณ : ลูกซองผู้ใหญ่บ้าน - [ 26 พ.ค. 52 12:13:04 A:222.123.61.90 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 ก่อนตอบคำถาม ผมนั่งอึ้งไปพักใหญ่ ถ้าจะแสดงความเห็นกันเต็มๆ คงได้ความยาวขนาดน้องๆสามก๊ก ขอตอบสั้นๆ เป็นโครงการที่ดีมาก อยากให้ดำรงอยู่ตลอดไป อยากให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสจริงๆ เรื่องงบประมาณ แก้ไม่ยากหรอก โอนงบรักษาพยาบาลของข้าราชการไปเข้ากองทุนประกันสังคมให้หมด ไม่ทราบว่าทำเสร็จแล้วหรือยัง ผมแปลกใจน้อยคนจะรู้ รัฐบาลยังไม่จ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในส่วนที่รัฐต้องจ่าย ไม่ทราบไปถึงไหนแล้ว หรือเบี้ยวไปแล้ว ในอนาคต ให้หารายได้จากการเป็น Medical Hub ของบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยหลังจากออกจากรพ.แล้ว ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะการบำบัดฟื้นฟู ผมหมายถึงผู้ป่วย คนไข้ชาวต่างประเทศนะครับ รายได้มหาศาล ประชาชนมีงานทำ มีสุขภาพพลานามัยที่ดี ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ก็โน่น รพ.บ้านตาก โน่น เขาทำสำเร็จแล้ว เคยออกทีวี ภูมิใจที่จะขยายเตียงรพ.ระดับอำเภอให้เป็นพันเตียงหมื่นเตียง นั่นละครับ ใช่เลย ที่เราต้องช่วยกันทำ ส่วนเรื่องขาดแคลนบุคลากร ก็ให้พยาบาลเวชปฏิบัติมาช่วยแพทย์คัดกรองคนไข้ และ ฯลฯ แพทย์ดีๆก็มีเยอะ แต่ไม่อยากแสดงตน กลัวพวกสาวก AssTV บ้าๆบวมๆรุมกระทื-บ เปลืองตัวครับ ส่วนหมอที่เห็นแก่ตัวนั้น ควรส่งตัวไปทัศนศึกษาปรากฏการณ์ Killing Field ที่เขมร ได้ข่าวว่าที่นั่นเขาเนี๊ยบ อย่าให้พูดมากกว่านี้เลย กัวอ่ะ ข้อสุดท้ายคือปัญหาเรื่องคุณภาพบุคลากร สถานพยาบาลหลายๆแห่งทำได้สำเร็จ เห็นแล้วชื่นใจ สมควรได้รับคำชม ได้รับกำลังใจ คุณทักษิณยังไม่ทันจะทำ โดนขับไล่ไปซะก่อน จะเริ่มใหม่ก็ยังไม่สายนะครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 12:38:41 จากคุณ : อภิวัฒน์ (Apiwatmnp) - [ 26 พ.ค. 52 12:37:08 A:124.121.93.166 X: ]

ความคิดเห็นที่ 54 เห็นด้วยกับโครงการณ์นี้เช่นกันค่ะ คนไหนไม่เห็นด้วย ก็ไม่ได้แช่งนะคะ ลองให้ตัวคุณเองหรือญาติพี่น้องของคุณป่วยหนัก ชนิดที่ใช้เงินหมดบ้านก็รักษาแทบไม่หาย แล้วคงจะเข้าใจเองค่ะ จากคุณ : ItchyScratchy - [ 26 พ.ค. 52 13:40:00 A:75.36.223.244 X: ]

ความคิดเห็นที่ 55 โครงการรักษาพยาบาลฟรี ทำได้หลายแบบ หากจะทำเพื่อหาเสียงได้อย่างรวดเร็วเหวี่ยงแหไปทั่วประเทศ โดยไม่ต้องสนใจศักยภาพ ความสามารถในการให้บริการ คุณภาพและมาตรฐานสักเท่าไหร่ ศักยภาพ คุณภาพและมาตรฐานใกล้เคียงกับโรงพยาบาลอนาถา รักษาคนไข้ไปตามมีตามเกิด งบประมาณรายหัวสูง ประสิทธิภาพต่ำ ก็ทำอย่างที่โครงการสามสิบบาท ของ สปสช. ของรัฐบาลคุณทักษิณ แต่หากจะต้องการใช้งบประมาณในในอัตราจำนวนที่เท่ากันให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำระบบโรงพยาบาลของรัฐให้มีศักยภาพ ความสามารถ มีคุณภาพและมาตรฐานให้ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งก็สามารถดำเนินการได้ ในรูบแบบของโรงพยาบาลองค์การมหาชน มีตัวอย่างที่ปรากฎเป็นหลักฐานชัดเจนสามารถยืนยันได้ ก็คือโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลการปฏิรูประบบราชการ สมัยรัฐบาลคุณชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการนำร่องเอาไว้แล้ว ปรากฎผลงานชัดเจนสามารถไปดูได้ทุกเวลา เพียงแต่รูปแบบของโรงพยาบาลองค์การมหาชนนั้นใช้หาเสียงได้ไม่ดีนัก เลยไม่เป็นที่นิยมของนักการเมือง ข้าราชการระดับสูงใน สป.สช. ในกระทรวงสาธารณสุขและสาธารณสุขจังหวัด ไม่สามารถหักหัวคิวงบประมาณไว้ก่อนได้ ระบบโรงพยาบาลองค์การมหาชนจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมของข้าราชการประจำ จึงอยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศว่าต้องการบริการแบบไหน แบบโรงพยาบาลองค์การมหาชนที่มีคุณภาพมาตรฐานใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลระบบราชการที่บริการใกล้เคียง กับโรงพยาบาลอนาถา ในระบบหลักประกันสุขภาพสามสิบบาท ของ สปสช. ก็เลือกเอา และต้องช่วยกันผลักดันให้นัการเมืองกำหนดเป็นนโยบายให้ชัดเจน จากคุณ : เขียว หางไหม้ - [ 26 พ.ค. 52 14:03:22 A:118.173.33.128 X: ]

ความคิดเห็นที่ 56 ความคิดเห็นที่ 55 มีตัวอย่างที่ปรากฎเป็นหลักฐานชัดเจนสามารถยืนยันได้ ก็คือโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลการปฏิรูประบบราชการ สมัยรัฐบาลคุณชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการนำร่องเอาไว้แล้ว ปรากฎผลงานชัดเจนสามารถไปดูได้ทุกเวลา จากคุณ เขียว หางไหม้ ................................... 5555 เชียร์กันเข้าไป  เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปจัดระเบียบงานในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงและรัฐมนตรีช่วยว่าการดูแลอยู่แล้ว  5555 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 15:47:09 จากคุณ : klaeo - [ 26 พ.ค. 52 15:45:18 A:117.47.13.120 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 ผมว่าคนที่รวยมาก ย้ำว่าเข้าขั้นรวย ไม่ใช้หรอกครับ 30 บาท กลุ่มนี้จะใช้ทุนประกันมากกว่า คนนึงต้องมีไม่น้อยกว่าสามเล่มแน่ ๆ ถ้ากลุ่มปานกลางนี้ก็ใช้บ้างเหมือนกัน 30 บาท เพราะเพื่อนผมก็ใช้อยู่ แต่กลุ่มคนรายได้น้อยนี่ไช้แน่ ๆ ได้ใช้กันเกือบจะแทบทุกครัวเรือน จากคุณ : เด็กฝึกหัด - [ 26 พ.ค. 52 15:51:58 A:10.0.0.200 X:118.172.39.236 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ความคิดเห็นที่ 56   ความคิดเห็นที่ 55 มีตัวอย่างที่ปรากฎเป็นหลักฐานชัดเจนสามารถยืนยันได้ ก็คือโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลการปฏิรูประบบราชการ สมัยรัฐบาลคุณชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการนำร่องเอาไว้แล้ว ปรากฎผลงานชัดเจนสามารถไปดูได้ทุกเวลา จากคุณ เขียว หางไหม้ ................................... 5555 เชียร์กันเข้าไป  เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปจัดระเบียบงานในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงและรัฐมนตรีช่วยว่าการดูแลอยู่แล้ว  5555 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 15:47:09 จากคุณ : klaeo  - [ 26 พ.ค. 52 15:45:18 A:117.47.13.120 X: ] ------ มีหลักฐานครับ http://www.moph.go.th/other/inform/hcrp/page7.htm กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ได้ดำเนินการปรับรูปแบบการบริหารงานของโรงพยาบาลรัฐ ในรูปขององค์การมหาชนและได้เลือกโรงพยาบาลบ้านแพ้วเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อปรับระบบการบริหารจัดการโรงพยาบาลของรัฐให้มีประสิทธิภาพ โดยสามารถตอบสนองนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ในการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน และแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 การดำเนินการด้านการบริหารงานอยู่ในความดูแลของ คณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้วชุดชั่วคราว ตามมาตรา 43 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว พ.ศ.2543 ซึ่งคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้วได้ประชุม เพื่อกำหนดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้วแล้ว จำนวน 4 ครั้ง นอกจากนี้ ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเพื่อสรรหาคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้วชุดใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเสนอรายชื่อคณะกรรมการสรรหาต่อคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว เพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไป สำหรับการจัดบริการแก่ประชาชนในพื้นที่อำเภอบ้านแพ้ว โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลในลักษณะเหมาจ่ายรายหัวประชากร ในอัตรา 782 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งมีเงื่อนไขบริหารสำหรับประชาชนที่มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพต่าง ๆ ยังคงได้รับสิทธิตามเดิม ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไปใช้บริการจะต้องมีการร่วมจ่ายในอัตรา 20 บาทต่อครั้ง สำหรับผู้ป่วยนอกที่สถานีอนามัย และ 40 บาทต่อครั้ง สำหรับผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว และ 100 บาทต่อรายผู้ป่วยใน สำหรับตึกสามัญ ส่วนประชาชนที่ไปรับบริการที่สถานีอนามัยในเครือข่ายโรงพยาบาลบ้านแพ้ว โรงพยาบาลบ้านแพ้วจะเป็นผู้จ่ายค่าบริการให้กับสถานีอนามัยในอัตรา 60 บาทต่อราย นอกจากนี้ ได้เตรียมการด้านการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกำลังประสานเพื่อให้มีการใช้กรอบการประเมินผลร่วมกัน --------- มันเป็นหลักฐานเป็น Objetive Evidence ที่มีอยู่จริง  ๆ  นำมาบอกกล่าวให้ทุกท่านได้รับทราบและพิจารณา ไม่ได้เชียร์ใคร และผมเชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์คงไม่กล้าใช้นโยบายเรื่องนี้มาหาเสียง หรือชูเป็นนโยบายหลัก เพราะกรณีโรงพยาบาลองค์การมหาชนนั้น ได้ให้อำนาจตัวแทนประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีมีส่วนร่วมบริหารจัดการโรงพยาบาลกันเอง มันไปตัดอำนาจอิทธิพลผลประโยชน์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มาเฟียหัวคะแนนตัวจริงของประเทศไทย รัฐบาลอภิสิทธิ์คงไม่กล้าหักด้ามพร้าด้วยเข่ากับระบบราชการไทย ขืนทำไปก็คงมีสภาพไม่ต่างไปจากคุณทักษิณ สมัยนั้นรัฐบาลคุณชวนได้มอบหมายให้คุณอภิสิทธิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ทำหน้าที่เป็นเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการปรับรูปแบบการบริหารงานของโรงพยาบาลรัฐ ในรูปขององค์การมหาชนและได้เลือกโรงพยาบาลบ้านแพ้วเป็นจุดเริ่มต้น แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 16:28:43 จากคุณ : เขียว หางไหม้ - [ 26 พ.ค. 52 16:24:52 A:118.173.39.249 X: ]

ความคิดเห็นที่ 59 ยุคชวนที่อ้างว่าเริ่มอะไรไว้น่ะ เป็นเรื่องที่ ขรก คิดทำให้ทั้งหมด และเดินไม่ไคร่ได้เนื่องจากขาดแรงกระตุ้น มีการลดเงินเดือน 2 ครั้ง การบริหารงานห่วยเท่าเดิม การนำ 30 บาท มาทำสิ่งที่หมอรับยากแต่ไม่พูดหรือพูดไม่ออกเพราะงานหนัก ผลประโยชน์ทางตรงลด ถูกตรวจสอบย้อนหลังได้ จึงอ้างคุณภาพ ตอนนี้แพทย์ชนบทก็ส่งทีมไปงานที่ สปสช เปรมไป ฮา... จากคุณ : นาย ก - [ 26 พ.ค. 52 17:28:38 A:119.42.76.178 X: ]

ความคิดเห็นที่ 60 แนวทางการพัฒนาการคลังสาธารณสุข เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 1.การพัฒนาระบบย่อย เพื่อสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า   1.1 การพัฒนาฐานข้อมูลระดับบุคคล   1.2 การพัฒนาระบบปฐมภูมิและการส่งต่อ      1.2.1 การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานหน่วยบริการประจำและการตรวจประเมินเพื่อรักษาหน่วยบริการตามเกณฑ์      1.2.2 การสนับสนุนนวัตกรรมและการพัฒนาของสถานพยาบาลปฐมภูมิ      1.2.3  การพัฒนารูปแบบการพัฒนาและรับรองคุณภาพบริการปฐมภูมิ      1.2.4 การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน   1.3. การประสานระหว่างระบบสุขภาพ      1.3.1 การพัฒนามาตรฐานกลางของกองทุนประกันสุขภาพ  ในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วยมาตรฐานชุดข้อมูลในการบริหารระบบประกันสุขภาพและรหัส (Standard Data Set and Coding System) มาตรฐานราคาเรียกเก็บค่าบริการ (Standard  fee  Schedule) การใช้ระบบการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล      1.3.2 การพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน      1.3.3 การประสานการดำเนินงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน   2. การปรับระบบสุขภาพให้มีความเป็นธรรมมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ    2.1 การปรับระบบและเงื่อนไขทางการคลังสุขภาพ      2.2 สนับสนุนให้มีการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค    2.3 ส่งเสริมภาคประชาสังคมให้เข้มแข็ง  เพื่อมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและดูแลสุขภาพในชุมชน   ทั้งเรื่อง วิถีชีวิต สังคมรายได้ชุมชนและสิ่งแวดล้อม จากคุณ : ยุทธ12 - [ 26 พ.ค. 52 23:24:47 A:127.0.0.1 X:58.147.39.178 ]

ความคิดเห็นที่ 61 โครงการนี้เป็นโครงการที่มีแนวคิดเป็นสังคมนิยม จะไปพูดว่าลอกประเทศอื่นมาก็จริง เหมือนกับการที่ลอกระบอบปกครองประชาธิปไตยเขามาไง เราเลยคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะนำสิ่งที่ดีมาใช้ คิดว่าไงล่ะ? สุดท้ายเราก็ไม่ทราบว่าประเทศไทยพร้อมสำหรับโครงการอย่างนี้หรือเปล่า เพราะอเมริกาที่พร้อมกว่าเรา(จากเหตุผลที่คุณยกมา)โครงการแบบนี้เขายังทำไม่ได้ ในขณะที่ประเทศคิวบายังทำได้และทำมาก่อนประเทศไทยด้วยซ้ำ จากคุณ : พาสาน ลักษณะของระบบบริการสุขภาพแบบต่าง 1.ระบบสุขภาพแบบเสรีนิยม  ระบบนี้ถือว่าสุขภาพเป็นสิทธิและความรับผิดชอบของประชาชนที่จะดูแลตนเองให้เข้าถึงบริการ องค์ประกอบของระบบสุขภาพจัดอยู่ในรูปแบบเอกชนภายใต้กลไกลการตลาดและการแข่งขันเสรี ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมาจากเอกชน รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงน้อย เป็นผลให้ประชาชนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพรวมทั้งประเทศสูง เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น 2.ระบบสุขภาพแบบสวัสดิการ  เป็นระบบที่รัฐเข้ามาแทรกแซงในการจัดบริการหลายๆด้าน ทั้งด้านการจัดบริการ การสร้างสถานบริการ ให้สวัสดิการค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นแบบรวมกลุ่ม  มีกองทุนการประกันสุขภาพมากมาย ซึ่งรัฐมีส่วนในการบริหารจัดการ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่ำกว่าระบบเสรีนิยมประเทศที่ใช้ เช่น แคนาดา มาเลเชีย 3.ระบบสุขภาพแบบครอบคลุม เป็นระบบที่รัฐเข้าไปแทรกแซงมากกว่าระบบ สวัสดิการ จัดให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการอย่างครอบคลุมและเท่าเทียมกัน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลหรือเสียน้อยมาก รัฐเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด สถานพยาบาลส่วนใหญ่อยู่ในการควบคุมของรัฐ รายได้ของรัฐส่วนใหญ่มาจากการเก็บภาษี ระบบนี้มีค่าใช้จ่ายรวมด้านสุขภาพต่ำที่สุด ประเทศที่ใช้ เช่น อังกฤษ ศรีลังกา เป็นต้น 4.ระบบสุขภาพแบบสังคมนิยม รัฐเข้าไปจัดการการบริการสุขภาพโดยสิ้นเชิง ไม่มีกลไกลการตลาดและการแข่งขัน ประชาชนทุกคนได้รับบริการจากรัฐโดยไม่คิดมูลค่า แพทย์และพยาบาลเป็นลูกจ้างของรัฐ ประเทศที่ใช้ระบบนี้ได้แก่ รัฐเชีย คิวบา เป็นต้น จากคุณ : ยุทธ12 - [ 26 พ.ค. 52 23:46:10 A:127.0.0.1 X:58.147.39.178 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ความคิดเห็นที่ 27   คห. 24 อย่ามั่วครับ ยาราคาถูก ส่วนใหญ่มันก็ถูกของมันอยู่แล้ว ผมหละคนนึง ที่สนับสนุนให้ GPO ผลิตยาเองเหนือลิขสิทธิ์ (CL ยา) ทำให้ได้ยาที่ถูกลง คุณรู้จักยาต้านไวรัสของ GPO มั้ย GPOVir หนะ สมัยรัฐบาลหมัก มีไอ้ รมว.สธ. ชื่อไชยามันจะยกเลิก มันบอกให้ผู้ป่วยเอดส์ไปกินดอกไม้จันแทนยา แล้วเปลี่ยนบอร์ดบริหาร GPO จนที่ GPO เค้าประท้วงกัน ดีนะ ที่เค้าประท้วง ผมเองก็อยู่ในนั้นด้วย คิดครับ คิด ใครกันแน่ ที่มันละโมบอยากได้เงินบริษัทยาข้ามชาติหนะ GPO = องค์การเภสัชกรรม ปัจจุบัน ยา GPO มีเยอะครับ ยาฆ่าเชื้อ Amoxy+Clav ยาขับเหล็ก สำหรับผู้ป่วย ทาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมเป็นมากในคนอีสาน ยาต้านไวรัสเอดส์ พารา มีเยอะครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 22:34:55 จากคุณ : Mdiic~* ********************** ขอเรียนตามตรงว่า  ผมไม่ได้ดูจากการผลิตยาหรือลิขสิทธิ์ (CL ยา) อะไรหรอครับ ผมดูจากเพื่อนผมที่เป็นหมอนี่แหล่ะ   ก่อนจะมี 30 บาท  ก็มีโครงการณ์จะไปดูงานที่ ยุโรป โดยบริษัทยาออก คชจ ให้ แต่พอมี 30 บาท ขึ้นมา  โครงการณ์ต้องเปลี่ยนจาก ยุโรปมาเป็น จีนแทน ไม่ทราบว่าอย่างนี้  พอจะเรียกว่า  ผลประโยชน์ที่ทางหมอได้รับจากบริษัทยาลดลงได้หรือไม่ครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 27 พ.ค. 52 12:10:09 A:203.188.44.40 X: ]

ความคิดเห็นที่ 63 ^ ^ ถ้าจะคิดแค่นี้ ก็ดูแค่นั้นก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน จากคุณ : Mdiic~* - [ 27 พ.ค. 52 19:42:45 A:10.10.11.116 X:222.123.52.147 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คงเป็นธรรมดาที่มีคนชอบคนเกลียด เอาข้อเท็จจริงมาคุยกันนะครับ  ทำประชามติด้วยจะดีมาก  แต่ผมขอบบอกว่าชอบโครงการนี้ครับ ไม่เข้าใจ  ปชป.ที่อ้างว่าเป็นผลงานตน ทั้งที่โครงการนี้เกิดจาก รธญ 40  ปชป แถว่าไงครับ จากคุณ : ลูกซองผู้ใหญ่บ้าน - [ 31 พ.ค. 52 12:00:33 A:222.123.57.38 X: ]