ความคิดเห็นที่ 1 ส่วนตัวแล้ว แรกๆ เป็นข้อ 1. แต่ทำอะไรไม่ได้ (และไม่ได้ทำ) เลยเป็นตย. ข้อ 1 ก่อนค่ะ เริ่มที่ ครอบครัว เพื่อน และตอนนี้ ห้อง รดน. แห่งนี้ค่ะ ------------------------------------------------------------------ แก้เพิ่มเติม V V V หุบอยู่แล้วอ่ะจ้า ...... V V V แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 52 21:33:19 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 1 มิ.ย. 52 21:01:23 A:58.9.63.3 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่รู้อ่ะ รู้แต่ว่า อมยิ้มไหงหุบปากซะแล้วง่ะ จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ - [ 1 มิ.ย. 52 21:05:44 A:124.121.202.130 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 รู้แต่ว่าเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ สมัยคุณทักษิณเป็นนายก มีความรู้สึกพาวว์ในตัวเองมาก ช่วงนี้ต้องหลีกเลี่ยงคำตอบถ้ามีใครถามเรื่องซิสจูเอชั่นในไทย จากคุณ : สุขชัย - [ 1 มิ.ย. 52 21:56:27 A:125.27.38.187 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 วันนี้ขอนอนฉลองเฟดเดอเรอชนะแบบต้องลุ้นก่อนครับ เช้า ๆ พรุ่งนี้จะเข้ามาให้ความเห็น ฝันดีนะครับคุณ จขกท. จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 1 มิ.ย. 52 22:04:55 A:125.26.235.86 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอตอบน้องพรผู้น่ารักนะคะ ขอเลือก1ถึง5 ได้ใหมจ๊ะ แบบว่าโลภมากคะ เอ...พึ่งสักเกตุเห็นอมยิ้มเราเหมือนคุณเฉิมอะอมยิ้มหุบปากอะ แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 52 22:06:23 จากคุณ : พิงค์นคร49 - [ 1 มิ.ย. 52 22:05:24 A:118.172.54.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 555 วันนี้สมาชิกยิ้มไม่ออกไปตามกัน เมื่อตอนบ่ายอมยิ้มเรายังเห็นฟันขาวอยู่เลย คริคริ กดเหมือนคุณพิงค์เลยได้มั้ย จขกท จากคุณ : cuti3b - [ 1 มิ.ย. 52 22:09:20 A:124.121.174.136 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณcuti3b ลอกข้อสอบของเราเหรอ เลียนแบบมาร์คไม่ดีน๊าอิอิ คุณcuti3b ตอนแรกเราก็ไม่ทันเห็นเอะมันหุบปากตั้งแต่เมื่อไหร่ งงจ๊ะคริๆๆ จากคุณ : พิงค์นคร49 - [ 1 มิ.ย. 52 22:16:23 A:118.172.54.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขี้โกง... ขอคำตอบทั้ง1 และ 2 นะค้าเพื่อนๆ นี่อุตส่าห์คิดตั้งนานนะเนี่ยย.... ช่วยกันคิดหน่อยๆๆ เดี๋ยวเค้าหาว่าไร้สาระ.. อ่ะ หุบยิ้มกันหมด เพราะไม่มีใครมาตอบเราหรือเปล่า ??? (สวรรค์ยังเศร้าแทนเลย) --------------------------------------------- แก้ 1 คุณสุขชัย... ช่วยคิดลึกๆ ให้หน่อยสิ อยากรู้ แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 52 22:32:58 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 1 มิ.ย. 52 22:19:44 A:58.9.63.3 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 1. คุณสู้เพื่ออะไร? ต้องท้าวความสักนิดก่อนที่ผมจะลงมาสู้นี่ ผมไม่เคยเลือกพรรค ทรท เลย เกลียดทักษิณมาก เลือกแต่พรรค ปชป มาตลอด แล้วทำไมผมถึงเปลี่ยนน่ะหรือ ก็เพราะ ผมเห็นกระบวนการกลั่นแกล้งทุกอย่าง เพื่อที่จะเอาคนๆนึง พรรคๆนึงลง เพื่อที่จะให้พรรคที่ตนเองเชียร์ชนะ โดยไม่สนผู้ถูกกระทำ หรือคนที่เลือกเค้ามา ผมเห็นความไม่เป็นธรรมหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี การตีความแบบเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น การพยายามดิสเครดิตทุกๆอย่าง พยายามยัดเยียดว่า เค้าเป็นรากหญ้าที่ไร้การศึกษา พยายามยัดเยียดว่า เป็นพวกใช้เงินซื้อได้ พยายามยัดเยียดว่า เค้าเป็นพวกฝักใฝ่บุคคลมากกว่าสถาบัน พยายามยัดเยียดว่า เค้าเป็นพวกที่เห็นแก่เงิน มากกว่าคุณธรรมจริยธรรม คนที่อยู่ตรงข้ามมักจะไม่เข้าใจว่า ทำไมเค้าถึงยังยก ทักษิณ เข้ามาในกลุ่มเค้าอยู่เสมอ   การเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนๆนึง ไม่ใช่ว่าเค้าทำเพื่อคนๆนั้น   จริงๆเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก ก็เพราะทักษิณ คือ คนที่มอบความหวังให้กับเค้าทุกๆอย่าง สร้างสิ่งดีๆให้กับพวกเค้า ทำคุณงามความดีให้เค้า เช่นเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายตรงข้ามก็พร้อมที่จะปกป้องอภิสิทธิ์เช่นกัน เพราะเค้าเห็นว่าอภิสิทธิ์สามารถฝากความหวังได้ และเป็นคนที่เค้าเลือก หากจะโดนปลด โดยกลุ่มคนที่มาเคลื่อนไหวโดยวิธีที่ไม่ใช่ปชต. ก็คงจะไม่ยอมรับเช่นกัน ดังนั้นเมื่อทักษิณ และพรรค ทรท นั้นถูกตัดออกไปโดยวิธีการกลั่นแกล้งที่ไม่ได้เป็นไปตามระบบ ระบอบ กฎหมาย หรือวิธีการที่ไม่โปร่งใสชัดเจน มันก็คือทำให้เค้าเหมือนถูกกลั่นแกล้งไปด้วยเช่นกัน เพราะพรรคนั้นและคนๆนั้น คือคนที่เค้าเลือกตั้งมากับมือพวกเค้าเอง นอกจากนั้นผมก็เห็นสิ่งดีๆในทักษิณมากขึ้น การไม่ให้พวกที่สนับสนุนตนออกมาต่อสู้กับ พวกที่ต่อต้านตน ซึ่งมันจะเกิดความรุนแรง(ตั้งแต่ปี 48-49) เห็นความจริงใจที่เค้าเปิดรับประชาชนจากทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ในทางตรงกันข้าม ผมกับเห็นฝ่ายตรงข้ามทักษิณกลับทำสิ่งที่กลับกัน พยายามใช้ความรุนแรง พยายามก่อหวอดให้มันรุนแรงขึ้น(ปชป นักวิชาการ และข้าราชการบางกลุ่ม) ผมเห็นความสกปรก การพยายามทำลายล้างคู่แข่งแบบไม่เลือกวิธีการ เพื่อให้นำมาซึ่งอำนาจที่ตัวเองต้องการ ของกลุ่มคนเหล่านี้ จึงได้กลับข้างมาเป็นสนับสนุน กลุ่มคนเสื้อแดง ตอบ  "ผมต่อสู้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกๆคน" (กว่าจะตอบได้ร่ายซะยาว) ------------------------------------------------------------- 2. เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร ตอบ - ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย - การไม่มีความขัดแย้งในเรื่องของความเข้าใจ ทุกคนรู้จักการใช้เหตุและผล รู้จักที่จะค้นหาความจริงก่อนที่จะเชื่ออะไร หรือเชื่อจากบุคคลที่ตัวเองนับถือเท่านั้น โดยไม่ฟังจากคนที่เห็นต่างเลย - การยอมรับ กฏ กติกา และความเท่าเทียมในความเป็นปชชไทยเหมือนกัน - การพัฒนาที่ยั่งยืน มั่นคง - ขจัดกลุ่มและขบวนการผู้ใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยวิธีการและกม. ปล. ทักษิณ ไม่ใช่ที่สุดของผม จากคุณ : KhongLen` - [ 1 มิ.ย. 52 23:45:53 A:58.9.177.115 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ....................................... จากคุณ : jazzcat - [ 2 มิ.ย. 52 01:36:20 A:112.142.56.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาแอบตอบตอนดึกๆ เวลาคุณน้องพรผู้น่ารักกำลังฝันดี ต่อสู้เพื่ออะไร  ............    น่าจะมีข้อนี้ให้เลือกนะ ..... 7. ต่อสู้เพื่อสังคมไทยที่ดีกว่า ลองตอบตามโจทย์ดูก่อน  เดี๋ยวสอบตก อิอิ 1. เพื่อทักษิณ   อืมมมม  คิดว่าทักษิณคงได้ประโยชน์ไปด้วย  อันนี้ช่วยไม่ได้แฮะ เพราะไม่ได้เกลียดเค้า จนต้องกำอึไปปาใส่เค้า แต่มือตัวเองก็เปื้อนอึไปด้วย (กรุณาอย่านึกตาม)   ก็ยอมรับกับความคิดทักษิณในหลายเรื่อง เช่น หลักคิดแบบบูรณาการ  แนวคิดแบบคู่ขนาน-อุ้มส่วนล่าง/แข่งขันเสรีส่วนบน  ความรับผิดชอบของผู้นำ   การจำกัดบทบาทของนักอาชีพการเมืองเน่าๆ (ขังไว้ในคอก)     และไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง เช่นซุกหุ้น  ขายหุ้นในระหว่างดำรงตำแหน่ง  ซื้อที่ดินรัชดา 2. ไม่เอา รัฐประหาร    ถ้ารัฐประหารแล้วกล้าทำสิ่งดีๆ  ก็อาจไม่ต้านนะ  แต่ที่ผ่านๆมา ไม่เคยเห็นสักครั้งว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม   เพราะฉะนั้น  ไม่เชื่อว่ารัฐประหารจะดี  ขอแบบ เป็นไปตาม กฎ กติกา ดีกว่า 3. ไม่ชอบ ป.ช.ป.    ไม่ได้อคติ แต่  ไม่ชอบวิธีเล่นการเมืองของนักการเมืองพรรคนี้ ชอบใช้ความรู้ ความสามารถ อวดอ้างความดีเพื่อทำลายคู่ต่อสู้  แต่พอเป็นรัฐบาลทีไร กลืนน้ำลายทุกที       นักการเมืองพรรคอื่นๆ ดีกว่า ป.ช.ป หรือไม่   ..... ไม่เลย แต่พวกนี้กลับดูไม่แสแสร้งมากกว่า    ประเภทหน้าตา กับคำพูดไปด้วยกัน ไม่ต้องมองลึกๆหลายชั้นเหมือน พวก ป.ช.ป.     แต่ก็มีชอบ ในระบบบริหารของพรรคนี้  หรือว่ายังไม่รู้อะไรมาก แต่เท่าที่เห็น ก็คิดว่าโครงสร้างเค้าดีกว่าพรรคอื่นๆ ตอนนี้ 4. ไม่ชอบ PAD    ไม่ชอบ วิธีการ ใส่ร้าย บิดเบือน ข่มขู่ผู้ไม่เห็นด้วย(แบบศรรามโดน)  อวดฉลาด ผูกขาดความรักชาติ  ละเมิดสิทธิผู้อื่น    แต่ชอบวิธีการรวมกลุ่มภาคประชาชน 5. ไม่ชอบ ศักดินา    เผอิญ ไม่ชอบ ระบบเส้นสาย  ก็เลย ไม่ชอบ พวกมีแนวคิดแบบศักดินา ไม่ใช่ ไม่ชอบตัวศักดินา  แต่ไม่ชอบ พวกเส้นใหญ่ เส้นเล็กทั้งหลาย 6. ล้มเจ้า    เคยพยายาม อยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ .... หมดตัวเสียก่อน  สุดท้ายก็เลิกเล่นแล้ว     .... ป็อกเด้ง ง่ะ สรุปประเด็นที่ต่อสู้ หลักๆ ก็   1. เรื่องความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะ รวย จน มีสี  มีเส้น  ต้องอยู่ใน กฎ กติกาเดียวกัน   2. การตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ได้   อยากเห็น ระบบยุติธรรม ข้าราชการ องค์กรอิสระ ถูกตรวจสอบ เหมือนนักการเมือง เพราะเชื่อว่าความดีไม่น่าจะกลัวการตรวจสอบ   3. สิทธิในการเป็นผู้ได้เลือก ไม่ใช่ผู้ได้แต่นั่งดู และยอมรับ  ถึงแม้ว่าจะเคยเลือกพลาด แต่ก็ขอให้คนโง่มีสิทธิได้เรียนรู้เอง เพราะไม่มีใครฉลาดตั้งแต่เกิด   นอกนั้นก็มีบ้าง ไปตามอารมณ์ และกระแส   บางทีก็คิดแบบ เล่นพวกเหมือนกัน  ประเภทพวกข้า ทำอะไรก็ดูดี สะใจไปหมด ทำนองนั้น   แต่ถ้าจะต้อง ไปหย่อนบัตรเลือกใครจริงๆ  ก็พยายามมีสติ ก่อนตัดสินใจ ..... ไม่แน่ วันนึง จะรวบรวมความคิด อัดเสื้อแดงสักที  แต่ยังหรอกตอนนี้ สงสารเห็นยังล้มลุกคลุกฝุ่นอยู่ .... (กลัวโดนรุมอัดเสียมากกว่า นิ)      4. เพื่อน้องพรผู้น่ารัก   .... ไม่รู้เป็นไร เห็นความความน่ารักไม่ได้                                 ........... ต้องสู้          ข้อนี้ต้องได้ 10 คะแนน แน่นนอน   ....ฟันธง  confirm จากคุณ : soodton - [ 2 มิ.ย. 52 01:45:13 A:58.9.102.180 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทั้งหกข้อที่คุณเขียนมา ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ต้องเอนเอียงมาทางสีแดง เพราะส่วนตัวแล้ว รักและเคารพ ตลอดจนกตัญญูรู้คุณต่อราชวงค์จักรี ที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ เป็นประเทศไทย จนตราบทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้เอนมาทางสีแดง เพราะไม่ชอบการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตย จะว่ารัฐบาลนั้น รัฐบาลนี้ได้มาจากการโกง การซื้อเสียง ก็ไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหาร มีฝ่ายค้าน ก็ทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล  พอถึงเวลาก็เลือกตั้งใหม่ ถ้ารัฐบาลเก่าทำไม่ดี คนก็เลือกรัฐบาลใหม่เอง นอกจากนั้น ยังไม่ชอบการใส่ร้ายป้ายสี ไม่ชอบความอยุติธรรม  ไม่ต้องการพูดมาก เพราะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้สู้เพื่อใครโดยเฉพาะ  และไม่เชื่อว่า จะมีใครที่สู้เพื่อใครโดยเฉพาะ ทุกคนสู้เพื่อตัวเองทั้งนั้น เห็นกันอยู่ชัดๆ จากคุณ : แสนเบื่อ (แสนเบื่อ) - [ 2 มิ.ย. 52 01:50:48 A:220.245.97.120 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 แหม...ถามอย่างนี้ ต้องตอบแบบเปลือยหัวใจกันเลย นะเนี่ย ! แต่...เพื่อสนับสนุนผู้มีความตั้งใจดี/จริง  จะยอมเปิดใจให้ดังนี้... --------------------------------------------------------------   เป็นส่วนผสมของข้อ 1+2+3+4+5  แต่ไม่ใช่ 6 แน่นอน 1. พวกไม่เอารัฐประหาร (ซ่อนรูปก้อไม่เอา)  = 100 2. พวกรักทักษิณ = 80 3. พวกเหม็นหน้า ปชป = 80 4. พวกเหม็นหน้า เหลือง ANTIPAD = 80 5. พวกที่ "คิดว่า" เหล่าศักดินาคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร = 100 6. ล้มเจ้า = 0 -------------------------------------------------------------------- คำตอบที่ต้องการในกระทู้นี้คือ 1. คุณต่อสู้เพื่ออะไร - ประชาธิปไตยเต็มใบ  (ยอมรับเสียงส่วนใหญ่  รับฟังเสียงส่วนน้อย) - เพื่อปกป้องรัฐบาลของประชาชน  (ไม่ให้โดนอำมาตยามาชี้นำ บ่งการ และโค่นล้ม) - เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ให้คุณทักษิณ และสังคมไทย (ไม่ใช้กฏหมายสองมาตรฐาน) 2. เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร - รัฐบาล ที่มาจากเสียงประชาชนโดยแท้จริง  ไม่ใช่รัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญบงการ - การใช้กฏหมายอย่างเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ไม่สองมาตรฐาน นำมาซึ่งความสงบสุขและสามัคคีภายในชาติ - ให้สังคมไทยน่าอยู่  ไม่มีกฏหมู่ มาอยู่เหนือกฏหมาย  และข่มขู่คุกคามรัฐบาลของประชาชน - เพื่อความมั่นคงของการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม  นำมาซึ่งความเจริญของประเทศชาติไทย. ------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปล.   1. หมู่นี้ ติดนิสัยพิมพ์ยาว  เหมือนใครก็ไม่รู้ .       2. คะแนนนั้นสำคัญไฉน  ให้เท่าไรแจ้งมาด้วยนะ  อิอิ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 02:36:04 จากคุณ : กาแฟดำขม - [ 2 มิ.ย. 52 02:32:42 A:125.27.90.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 เล่นถามมาแบบนี้ ก็อึ้งสิ.... อยุ่ด้วยกันมาตั้งนาน 555+ เอาเถอะ ถามมาก็ตอบไป "ทักษินไม่ใช่พ่อ แต่ทักษินเก่งกว่ามร้าค" ไม่ได้เสียดสี ใครนะ  แค่ตามความคิด 1. เกลียดการรัฐประหาร เมื่อไรจะหมดไปจากแผ่นดินไทยเสียที 2.เรื่องเกี่ยวกับทักษิน บอกตามตรง เป็นผลพลอยได้จริงๆนั่นแระ แต่คิดว่าถ้ามีโอกาสได้กลับมา จริงๆ ยังไง หลังจากเลือกตั้งใหม่ ก็อยากให้ เข้าสู่กระบวนการ ยุติธรรม ที่เป็นกลาง จริงๆ นั่นแระ 3.เกลียด เรื่องความ อยุติธรรมนี่แระ ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ตราบใดการตัดสิน ยังทำให้เกิดคำถามแบบนี้  มันรู้สึก ไม่  "เคลีย" ไง มันไม่จบแบบ "บริบูรณ์" คล้ายๆยังมี  "ปม" ในใจ มันก็คือ ไม่ยุติ นั่นแระ 4.เบื่อ การปกครอง แบบ ประชาธิปไตยที่ยังคงต้องรอฟังความเห็นจากบางคน บางกลุ่ม บางองค์กร ทั้งๆที่น่าจะให้ "ผู้แทน"ที่เราเลือก เป็นผู้ตัดสินใจ มั้ง 5. อะไรดีละ... เพื่อแสดงให้รับรู้ว่า เรา ยังมีตัวตนไง เราไม่ใช่เสียงเงียบ ไม่ใช่พลังสงบ ไม่ใช่งอมืองอเท้า รอ โชคชะตา สักวันนึงประเทศชั้นคงดีขึ้น ตามดวงของโลก นโยบายของเรากับของรัฐบาล ไม่ตรงกันมั้ง 5555+   งงละสิ พิมพ์เองยังงงเองเลย แต่เราเชื่อว่า...ผู้นำที่เราเลือก ที่คนส่วนใหญ่เลือก ย่อมทำให้ประเทศของเราไป "รอด" มากกว่าผู้นำที่ถูก "ยัดเยียด" มอบให้... จะ 6โมงเช้าแล้ว น้องพรจะตื่น มาอ่านไหมนี่  อย่า เพ่งงงละ เดี๋ยวคืนนี้คงต้อง มาอธิบายเพ่มละมั้ง 5555555555   แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 05:41:59 จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 2 มิ.ย. 52 03:07:38 A:203.156.177.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอตอบสั้น ๆ นะคะ เหมือนน้องพิงค์นคร49  คือทั้ง 1-5 ข้อ  แต่สรุปอีกทีว่าเพื่อความถูกต้องค่ะ สังคมต้องมีกฎเกณฑ์ให้ยึดถือด้วย  ถึงจะเกิดความสงบสุขได้ จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 2 มิ.ย. 52 05:25:24 A:58.8.168.70 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 ป่าเถื่อนจริงๆ เอะอะก็จะให้ใช้แต่กำลังเข้าต่อสู้ท่าเดียว จากคุณ : ฤาษีวยาส - [ 2 มิ.ย. 52 06:36:26 A:10.5.50.50 X:192.168.10.100, 58.8.87.197 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ ^ ^ความคิดเห็นที่ 16   ป่าเถื่อนจริงๆ เอะอะก็จะให้ใช้แต่กำลังเข้าต่อสู้ท่าเดียว จากคุณ : ฤาษีวยาส ++++++++ ยังไม่ตื่นนอนมั้ง..... อารมไหนนี่..ไม่ได้อ่านเลยละสิ ...หรืออ่านไม่ออก...หรือแค่มาป่วน... จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 2 มิ.ย. 52 06:46:22 A:203.156.177.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 1. เพื่ออะไร ตอบว่า  ต่อสู้เพื่อรักษาความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ  แม้จะอธิบายไม่ได้ว่าความเชื่อนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร  แม้จะบอกไม่ได้ว่าความเชื่อนั้นจะให้ในสิ่งที่เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน 2. เป้าหมาย ตอบว่า  เป้าหมายคือชีวิตที่ดีกว่า  เมื่อความเชื่อก่อเกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่า ชีวิตที่เราเป็นอยู่นี้ที่แท้แล้ว  เราเป็นฝ่ายโดนกระทำมาตลอด  เพื่อหลุดพ้นจากการโดนกระทำ  จึงลุกขึ้นมาสู้ .......... สุนัขตัวใดที่หยามเหยียดความเชื่อของเพื่อมนุษย์ว่าด้อยการศึกษา  ชั้นต่ำ  ขาดการพัฒนาการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ  เชื่อเพราะโดนอุปถัมภ์และหรือเชื่อเพราะโดนเงินซื้อ  เชื่อเพราะความชอบ ฯลฯ นั้น  โปรดสำนึกไว้ด้วยว่า สิทธิขึ้นพื้นฐานที่จะเชื่อหรือเลือกที่จะเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเคารพยิ่ง อย่าสะเออะเอาเรื่องตัวบุคคลมาบิดเบี่ยงประเด็นในเรื่องความเชื่อเด็ดขาด ประชาธิปไตยนั้น  คือระบบที่อิงเอื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน  ผู้มีโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาส  แบ่งปันสุขทุกข์  ยอมรับและเข้าใจในความคิดของผู้อื่น   ความย่ำแย่ของตัวบุคคลจะพัฒนาได้  แก้ไขได้  ก็ด้วยระบบที่มีความยั่งยืน  ไม่ใช่ตั้งไข่แล้วล้ม  อยู่กันได้ด้วยความจริงลวงชั่วนาตาปี เมื่อย  จบ จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 2 มิ.ย. 52 07:10:26 A:125.26.232.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 แวะมาแซวแต่เช้า.. คุณ Hang around ตอบด้วย อย่าแจกกิฟอย่างเดียว อิอิ ลุงกาแฟ....ตอบยาวนะ...เก่งขึ้นะตั้งแต่มีทู้ Episode เนี่ย คริคริ soodton โห เด็กวัด ก็เก่งเหมือนกันเน้อ....วัดไหนเนี่ย.... ส่วนเรา...ขอพักเหนื่อยจากมวยรอบที่แล้วก่อน ไว้เดี๋ยวเย็นๆ วันนี้ เลิกงานแล้วจะมาตอบ จากคุณ : SassyKate - [ 2 มิ.ย. 52 07:53:37 A:124.121.114.211 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 แวะมาแซวรอบสอง.... น้องพร เวลาถามน่ะ บอกทุกคนด้วยว่า อย่ามี "Bias" ล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็น กลุ่มตัวอย่าง "Selection Bias" ไป คริคริ จากคุณ : SassyKate - [ 2 มิ.ย. 52 07:55:52 A:124.121.114.211 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ลองเทสสักหน่อยนะคะคุณน้องพรผู้น่ารักกระทู้เราโดนอุ้มหายไปเยยอะ จากคุณ : พิงค์นคร49 - [ 2 มิ.ย. 52 09:39:40 A:202.129.34.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอกำปั้นทุบดิน สู้เพื่อตัวเองครับ..  ถ้ามีครอบครัวดี เพื่อนร่วมงานดี   เพื่อนบ้านดี อำเภอดี จังหวัดดี สังคมดี  เศรษฐกิจดี  ประเทศดี  ผมก็อยู่รอด...คนรุ่นหลังก็ต้องรอด แบบยั่งยืนด้วย..   แต่กระบวนการที่จะได้มาดังกล่าวผมต้องต่อสู้ สรรค์หาเอง  เพราะเข้าใจว่า ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ  เพราะก่อนหน้านั้นมีผู้อยากได้ของคนอื่นแบบง่ายๆ ทำมาก่อนแล้วโดยการฉกชิงวิ่ราว บีบบังคับข่มขู่ ออกกฏหมาย..    ณ  วันนี้ จึงต้องออกมายืนกลางเปลวแดด..กลางสายฝน จากคุณ : Real mind - [ 2 มิ.ย. 52 11:02:22 A:118.173.251.203 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 จุ๊ จุ๊ หนูเคท อย่าเอ็ดไป กำลังแอบลอกการบ้านอยู่ เอ้า เสร็จซะที มาคุยกันเรื่องเป้าหมายหลัก ๆ ที่ยกมาก่อนนะ 1. พวกไม่เอารัฐประหาร (ซ่อนรูปก้อไม่เอา) - อันนี้แน่นอน และขอสาปแช่งพวกที่คิดจะทำ หรือได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม - ส่วนพวกที่สนับสนุน เห็นดีด้วย และคอยเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหารอยู่เนือง ๆ พวกนี้เราขอประนาม (แต่ไม่สาปแช่งนะคะ เพราะพวกนี้สติปัญญาเค้ามีแค่นี้เอง น่าสงสารออก) 2. พวกรักทักษิณ - สำหรับเรา ไม่ได้ถึงขั้นรัก เพราะไม่รู้จักสนิทสนมถึงขั้นนั้น แต่ชอบ เพราะได้เห็น สิ่งดี ๆ หลายอย่างในตัวท่าน ความเป็นผู้นำ ความเด็ดขาด(ซึ่งหลายคนอาจมองไปว่าเป็นเผด็จการ) ความตั้งใจจริงที่จะพยายามทำให้สิ่งที่ได้รับปากประชาชนไว้ และความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไกลไปข้างหน้า และอีกหลาย ๆ อย่าง - ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาต่าง ๆ วันใดที่มีการพิสูจน์และตัดสินอย่างยุติธรรม จะกลับมาพิจารณาอีกที 3. พวกเหม็นหน้า ปชป - ไม่ได้เหม็นหน้า แต่พยายามมองหาสิ่งดี ๆ ความคิดดี ๆ การกระทำดี ๆ แต่พยายามเท่าไร กลับเจอแต่เรื่องแย่ ๆ (ใครที่พอจะบอกความดี หรือสิ่งดี ๆ ที่พรรคนี้เคยทำมาให้เราได้รู้บ้าง จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง) 4. พวกเหม็นหน้า เหลือง ANTIPAD - ไม่ได้เหม็นหน้าอีกเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นเหลืองด้วยความมั่นใจในความคิดของตน ไม่โอ้อวดว่าตนเหนือกว่าคนอื่นที่คิดต่าง คนประเภทนี้เรายินดีคบหาด้วยความสนิทใจ แต่นอกเหนือจากพวกนี้ ขออยู่ห่าง ๆ ดีกว่า ไม่อยากเสียเวลาคุยด้วย - แต่เกลียดการกระทำหลาย ๆ อย่างในขณะที่ชุมนุม 5. พวกที่ "คิดว่า" เหล่าศักดินาคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร - พยายามไม่คิด แต่ว่าหลาย ๆ เหตุการณ์มันฟ้อง ทำให้คิดว่าตกลงเราอยู่ในยุคไหนกันเนี่ย ท่าน ๆ มีอำนาจ มีวาสนา บารมี แต่ก็ควรทำหน้าที่ที่อยู่ขอบเขตของท่าน อย่าเข้ามาก้าวก่าย ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไปมากกว่านี้เลย หากคิดว่าอะไรไม่ถูกต้อง จะออกมาแสดงความเห็นบ้าง ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านมี มาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามใจท่าน เพราะว่าประเทศนี้ ไม่ได้เป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว 6. ล้มเจ้า - ความคิดนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความคิดนี้เท่านั้น(ใครที่ยกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพูด หรือกล่าวหาใคร ให้สันนิษฐานได้เลยว่า เขาเหล่านั้นมีความคิดนี้อยู่ในหัวตัวเองเป็นแน่) เอาล่ะ ถึงเวลาตอบคำถาม 1. คุณต่อสู้เพื่ออะไร - ต่อสู้เพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ 2. เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร - ต้องการให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ให้ระบบมีความยุติธรรม ให้ได้ประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนยอมรับ เมื่อกฎมีว่าให้ทำตามเสียงส่วนใหญ่ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ห้ามอ้างว่าเสียงส่วนน้อยก็ควรมีสิทธิ์ ใช่พวกคุณมีสิทธิ์ แต่ว่าในเมื่อกฎมีไว้ว่าให้ทำตามเสียงส่วนใหญ่ พวกท่านก็ควรต้องทำตามกฎ ห้ามออกมาก่อความวุ่นวายใด ๆ เพียงเพื่อว่าอยากให้ทำตามกฎของตัวเองมากกว่า วันใดที่เสียงของพวกคุณมากกว่า เราก็ยินดีที่จะยอมรับเสียงของคุณเช่นกัน จากคุณ : hang around - [ 2 มิ.ย. 52 14:13:08 A:115.87.81.92 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 555  ไวกว่าหนู Kate แค่เสี้ยววินาที   แหม...คุณ  hang around  นานๆเขียนที  เอาซะคุ้มเลยนะ  อิอิ จากคุณ : กาแฟดำขม - [ 2 มิ.ย. 52 14:42:06 A:125.27.81.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 ต้องบอกว่า เป้าหมายของผมมีอย่างเดียวคือ... ต้องการประชาธิปไตยที่ปราศจากการชี้นำของอภิชนทั้งปวง หรือก็คือ ประชาธิปไตยแบบสากลที่เขาปฏิบัติกันนั่นเอง เป็นที่ยอมรับกันว่า เหล่าอภิชนมีบทบาทในการกำกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในไทยมาตั้งแต่อดีตแล้ว และก็พึ่งหลุดพ้นจากการครอบงำโดยเหล่าอภิชนมาเมื่อไม่นานนี้เช่นกัน ( คนที่เกิดทันยุคครึ่งใบ ตอนนี้ก็ยังหนุ่มฉกรรจ์กันอยู่เลย ) รัฐสภาที่ถูกครอบงำโดยอภิชน จะเป็นส่วนผสมระหว่างอำนาจหลายขั้ว เช่น ทหาร , เทคโนแครต , นักการเมืองหรือก็คือ สส. ซึ่งมันอาจดีพร้อมสำหรับในอดีต แต่ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า " มันไม่ดีพอเสียแล้ว " เมื่อความเข้าใจในประชาธิปไตยของประชาชนมากขึ้น เขาไม่ต้องการ " สภาอภิชน " อีกแล้วครับ ไม่ต้องการส่วนผสมมากมายออกมาเป็นรัฐสภาจับฉ่ายอีกแล้ว สิ่งที่ประชาชนผู้เข้าใจในประชาธิปไตยต้องการอย่างแท้จริงคือ ผู้แทนที่อยู่ในรัฐสภาจะต้องเป็นตัวแทนที่มาจากประชาชนเพียงเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ผมพูดไปก็เป็นเรื่องที่ " น่าเศร้า " เพราะในเมื่อความเข้าใจในประชาธิปไตยของประชาชนมากขึ้น เหล่าอภิชนก็มีความเข้าใจมากขึ้นเช่นกัน แต่แทนที่จะ ยุติบทบาท ของตนเอง ดั่งที่ประชาชนต้องการ คนเหล่านี้กลับถอยตนเองไปอยู่ หลังฉาก แทน การกระทำแบบนี้เป็นการกระทำที่น่าเกลียด ซึ่งผิดหลักการปกครองใดๆทั้งสิ้น เพราะ คนกำกับ กับ คนรับผิดชอบ มันกลับกลายเป็นคนละคนกัน และน่าเศร้าขึ้นไปอีกว่า เหล่าอภิชนทั้งหลายก็ยังคิดโฆษณาชวนเชื่อว่า " การปกครองในรูปแบบนี้ เหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด " ต้องบอกว่า ประชาชนในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ต้องการ คนดี คนมีจริยธรรมเหลือล้น ตามที่เหล่าอภิชนทั้งหลายชี้นำ มาบริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว... สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ คนที่ตนเอง " ได้เลือก " ต่างหาก ให้เขาได้เลือก ให้เขาได้เรียนรู้ ให้เขาได้รับผิดชอบ ในบริบทของตนเอง เพราะระบอบประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชนไม่ใช่หรือ... จากคุณ : SaVor - [ 2 มิ.ย. 52 15:09:12 A:124.120.9.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 จขกท. คุณน้องพรผู้น่ารัก ขอทักทายเบื้องต้นในฐานะผู้ถูกพาดพิง ส่วนอีกหนึ่งสถานะลุงกะหลานเอาไว้ตอนเป็นน้ำจิ้มปรุงรส คำถาม(ปุจฉา)ในกระทู้ / คำตอบที่ต้องการในกระทู้นี้คือ 1. คุณต่อสู้เพื่ออะไร วิสัชนา: เพื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองที่มีผลเสียน้อยที่สุด 2. เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร วิสัชนา: เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนทุกระดับชั้นบนพื้นฐานของสิทธิและเสรีภาพ อิสรภาพ ภราดรภาพ ที่เท่าเทียมกัน เป็นกระทู้คำถามที่ดูเหมือนจะสั้นๆ ง่ายๆ แต่ตอบยากมาก พอๆกับคำถาม "ทำไมดวงอาทิตย์จึงมีแสงสว่างที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด" ไม่ง่ายเลยที่จะตอบให้ครอบคลุมทั้งหมด ตอบแค่.. Nuclear Fusion คงไม่พอ เดี๋ยวก็ถามอีก : Nuclear Fusion  คืออะไร จริงๆ ลุงชอบนะ ชอบสงสัย ชอบคำถาม ชอบที่จะตอบ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษคือผู้หญิงที่สนใจการบ้านการเมือง อยากจะตอบยาวกว่านี้ ขอเวลาลุงหน่อยนะหนู ยาวหรือสั้น ไม่ว่ากันนะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 17:15:21 แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 17:09:02 จากคุณ : อภิวัฒน์ (Apiwatmnp) - [ 2 มิ.ย. 52 17:08:14 A:124.121.91.90 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถามซะยาวเชียว   แต่ คำตอบสั้นๆก็พอ สู้เพื่อความยุติธรรม เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมา (ประชาธิปไตย แปลว่า อำนาจเป็นของปวงชน) ดูท่าแล้ว ถ้าจะให้ ขจกท. เข้าใจ คงต้องเขียนยาวเป็นปีๆ สำหรับท่านที่อยากรู้ว่า อีกฝ่ายทำอะไรอยู่ อีกฝ่ายกำลังหาทางจะจับฮงกิลดองมาขัง เพราะชาวบ้านรักฮงกิลดอง เหล่าขุนนาง,อำมาต พยายามประกาศใส่ความ ออกประกาศจับ ฮงกิลดองไปทั่ว แต่ก็จับไม่ได้ อะไรๆก็โทษกิลดอง รับเละคนเดียว (ฮงกิลดอง คือ ละครช่อง7 ครับ) จากคุณ : Retire Young - [ 2 มิ.ย. 52 18:39:59 A:124.121.192.26 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 เหอๆๆๆ เอ่อ เพิ่งได้เข้ามาอ่านโจทย์คักๆ ก็ตอนนี้... คุณน้องพรขา...โจทย์ง่ายเกินไปไหมคะ?????????? เห็น คุณ hang around บอกลอกการบ้านอยู่ ...แล้วละอายใจ ไม่ได้ละอายใจที่คุณเธอลอกคนอื่น.... แต่ละอายใจเพราะ...ขนาดจะให้อิชั้นลอกใคร อิชั้นยังไม่รู้จะลอกตรงไหนเลยค่า จะไปติดสินบนด้วยกิฟ คุณเธอก็แซงหน้าเราไปแล้ว... เห็น ข้อมูลของ ลุงๆ หน้าๆ อาๆ และเจ้าเด็กวัด ด้วยแล้ว... ทำไงดีล่ะเนี่ย...พระสงฆ์อย่างเรา ขอเวลาอีก 1 คืน มีการบ้านเมามาส่งแน่นอน คอนเฟิม! คริคริ เข้ามาบ่นกลบเกลื่อนง่ะ....ยังนึกไม่ออกว่า ต่อสู้เพื่อไรหว่าตรู..... จากคุณ : SassyKate - [ 2 มิ.ย. 52 19:18:41 A:202.47.224.130 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ ^ นี่ตะเอง ไม่ต้องอู้เลย รีบตอบมาซะดี ๆ เห็นเขียนลงโพยอยู่ยิก ๆ คุณกาแฟดำขมคะ แหม ลงทุนลอกการบ้านทั้งที จะเขียนสั้น ๆ ได้ไง เดี๋ยวคุณครูจับได้ ให้ 0 ล่ะ แย่เลย สำหรับคุณ Real mind  เกือบทำให้เราโดนจับได้แล้ว ว่าลอกการบ้าน เพราะตอนแรกก็พิมพ์ไปแล้วว่าต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตอนหลังไหวตัวทันนะเนี่ย ไม่งั้นโดนจับได้คาหนังคาเขาเลย จากคุณ : hang around - [ 2 มิ.ย. 52 19:43:38 A:124.120.111.63 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 แน่ะ แอบเห็นป้าวิวเข้ามาแจกกิ๊ฟด้วย ไม่ร่วมแจมสักหน่อยหรือคะ คุณป้า คอยอ่านอยู่นะคะ   แก้ไขสะกดคำผิด แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 19:47:37 จากคุณ : hang around - [ 2 มิ.ย. 52 19:46:35 A:124.120.111.63 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 สรุปก่อนนะ คุณ ~นายเฉิ่มศักดิ์~ ถือว่าเป็นพวกที่ยังไม่ได้ร่วมกับใครเพื่อต่อสู้.. งั้นสำหรับคนกลุ่มนี้ ขอ เปลี่ยนเป็น ถ้าคุณสามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และเหตุการณ์นั้นๆ เป็นจริง อะไรจะเป็นสาเหตุ ที่จะทำให้พวกคุณร่วมกันต่อสู้ได้บ้างคะ คุณสุขชัย.. ไปอยู่กะกลุ่มใหม่นะ คุณ พิงค์นคร49 คิดไม่ออกไปกลุ่มใหม่ด้วย อิอิ คุณ cuti3b จูงมือคุณพิงค์ไปด้วยกันเลย คุณ KhongLen` สรุปว่าอย่างนี้ได้มั้ย 1. เพื่อภราดรภาพ หรือเปล่า (=ความเท่าเทียมกันของปวงชน) 2. ความเสมอภาค Jazzcat คำตอบข้อ 2 ล่ะ soodton 1. เสมอภาค หรือเปล่า? ข้อ 2 ยังไม่ตอบ.. ติด ร. ไว้ก่อนนะ คุณ แสนเบื่อ ไปอยู่กลุ่มใหม่ด้วยเลยละกันนะ ลุง กาแฟดำขม ความจริงอยากให้ตอบสั้นๆ เขียวยาวๆ ทำไม ???? :P 1. สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย (ไม่ใช่ตัวปชตเองนะ) 2. พัฒนาประเทศ คุณ ชายพายเรือ งง ค่ะ ตอบไม่ถืกเลย.... อิอิอิ เอาเป็น 1. สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย เหมือนลุงแฟฯ ไปละกัน 2 สักวันประเทศคงดีขึ้น .. ก้อเหมือนลุงแฟฯ อีกอะแหละ.. (คู่ match ประจำวันนี้ครับ) คุณ sao..เหลือ..noi 1. ความถูกต้อง 2. ความสงบสุข อยากให้ 100 เต็ม(เกิน) เพราะไม่ต้องแปลเลย 55555 คุณ ฤาษีวยาส มาต่อสู้เพื่อความศิวิไลซ์มั้ยคะ ? ตระกองขวัญ สุดหล่อ เถือๆ เอาละกันนะ ตอบแบบนี้ ยากจริงๆ   1. ภราดรภาพเช่นกัน ?? 2. ไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด 5555 (ยากวุ้ย) คุณ Real mind 1. เดาว่า เสรีภาพนะ 2. ชีวิตที่ดีขึ้น คุณ hang around 1. เสมอภาค เน้นๆ 2. ยังไม่แน่ชัด 555 คุณ SaVor 1. ประชาธิปไตยสากล 2. ไม่ชัดเจน ปู่อภิ ขอบคุณค่ะ ที่มานั่งเรียน และขออภัยที่พาดพิง 1. เพื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2. เสรีภาพ อิสรภาพ ภราดรภาพ (มาครบเลย อิอิอิ) อยากตอบยาวกว่านี้ ก้อได้ค่ะ เดี๋ยวลองอ่านอะไรสั้นๆ ก่อนก้อแล้วกันนะ (ขอบคุณที่ร๊ากกก กัน.. อิอิอิอิ) คุณ Retire Young สั้นๆ ได้ใจความดีมาก 1. สู้เพื่อความยุติธรรม 2. เรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมา คุณ SassyKate มั่วล่ะ มั่ว... ตอบมาเร้วๆ ป.ล. เสรีภาพ (Liberté) คือการเน้นในเสรีภาพของบุคคล หรือ ปัจเจกชนนิยม และได้ขยายไปในเรื่องเสรีภาพในด้านความคิด ความเชื่อทางศาสนา การ ศึกษาหาความรู้ การพิมพ์และเผยแพร่ข่าวสาร รวมทั้งเสรีภาพในทางการ เมือง เสมอภาค (Égalité) คือความเท่าเทียมกันตามกฎหมายของปัจเจกชน ความ เสมอภาคขึ้นอยู่กับหลักความเที่ยงธรรม ความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิและ หน้าที่ เช่น ความเท่าเทียมในด้านการเสียภาษี การรับใช้ชาติโดยการเป็น ทหาร และสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง ภราดรภาพ (Fraternité) คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน มนุษย์ทุกคนจะต้องมี ความเท่าเทียมกันและปฏิบัติต่อกันดุจพี่น้อง ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นสิ่งที่ ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ คือ การไม่เน้นผิวพรรณ หรือ เผ่าพันธุ์ (อ้างอิง wikipedia) จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 2 มิ.ย. 52 20:14:41 A:58.9.62.226 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 คุณน้องพรครับ คำตอบผมไม่เห็นยากสักนิด  เพราะผมตอบแบบเดาสุ่มครับ  เดาสุ่มว่าเป็นการต่อสู้ของรากหญ้า  รากหญ้าเขาคิดแบบนี้ และสิ่งที่ไม่ยากขึ้นไปอีกก็คือ  การทำความเข้าใจว่าทำไมรากหญ้าเขาคิดแบบนี้ รากหญ้าเขาต้องการโอกาสครับ  ไม่ใช่ถุงยังชีพประจำฤดูกาลจากนักการเมืองและระบบราชการเห่ย ๆ จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 2 มิ.ย. 52 20:33:09 A:125.26.236.18 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยากมั้ยคะ เพื่อนๆ กระทู้นี้ อาจจะไม่ได้มันส์ ขี้แตก เหมือนกระทู้มหากาพย์ แต่เท่าที่ดูแล้ว เห็นหรือยังคะ.. เห็นวัตถุประสงค์ของการต่อสู้ และเป้าหมายของการต่อสู้ ของกันและกัน บ้างหรือยังคะ.. เห็นหรือไม่ว่า วัตุประสงค์ และเป้าหมายของเรานั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้ต่างกัน มากมาย ที่ต่างนั้น ก้อเป็นไปในทางเดียวกัน สิ่งที่พวกคุณบอกเล่ามาให้ฟังเนี่ย ที่จริงมันสีอะไรคะ.. ความจริงแล้ว สิ่งที่เราต่อสู้กันอยู่ ไม่มีสีเลยค่ะ แค่มีความ "คิด" เห็นที่ไม่ เหมือนกัน (ทั้งๆ จุดมุ่งหมายและเป้าหมายเดียวกัน) ดูสิคะ คุณยังอุตส่าห์ เรียกใครว่า เป็นสีอะไรได้อีกหรือไม่ อย่างไร? กระทู้นี้ ไม่มีคำตอบค่ะ คะแนนของเพื่อนๆ อยู่ตรงที่ว่า หากใครคิดว่า น้องพรสรุปความเห็นของคุณ ได้ถูกต้อง และตรงใจเท่าไหร่ คะแนนเต็มเอาไปเท่านั้นเลยค่ะ หมดมุกอ่ะ.. อิอิอิอิ ป.ล. ถ้าใครเห็นว่ากระทู้นี้ ความเห็นไม่หลากหลาย คงเพราะว่า คนที่คิดถึง วัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่ชัดเจนเท่านั้น ถึงอาจหาญพอ และกล้าที่จะ ตอบ เพื่อเปิดทัศนะให้คนอื่นได้รับรู้.. คนที่ไม่คิดจะต่อสู้ตอนนี้ ก้อมีจริงๆ ค่ะ ไม่จำเป็นว่าเหตุการณ์บ้านเมือง ณ ตอนนี้ บังคับให้ทุกคนต้องร่วมกัน ต่อสู้ แต่ว่า เมื่อเวลาที่คุณคิดจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเป้าหมายแล้วล่ะก้อ อย่า ลืมวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่ชัดเจนด้วย.. วัตุประสงค์ และเป้าหมาย เปลี่ยนแปลงได้ค่ะ ประเด็นอยู่ที่ว่า ตอนนี้ คุณมี มันหรือยัง? เห็นมันคะ คุณ SassyKate Logic Test แท้จริงง่ายนิดเดียว.. ไม่จำเป็นต้อง เปิดศึกมหากาพย์ด้วยซ้ำ เพียงแต่ผู้ที่เข้ามาไม่นำ "อคติ" เข้ามาด้วย ความ เข้าใจก้อเกิด ค่ะ ... ป.ล. คุณ ตระกองขวัญ เราถามถึงวัตุประสงค์ และเป้าหมายของคุณ ค่ะ คุณ ตอบแทนรากหญ้า ไม่นับแต้มนะ หรือ คุณอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ได้คิดต่อสู้ ?? จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 2 มิ.ย. 52 20:37:26 A:58.9.62.226 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ก๊ากกกกกกกกกกกกก   โสนะน่า คห. 32 สอบตก ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก   อุ๊บ....ไปว่าเค้า การบ้านเรายังไม่ทำเลย.. ครูขาขออนุญาตลาป่วย 1 วันเด้อ.... จากคุณ : SassyKate - [ 2 มิ.ย. 52 20:57:12 A:202.47.224.130 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 ก้านคอ คห.34   พวกนี้ชอบรุมจริง ๆ   ไม่แมนเลย คุณน้องพรครับ  ลำเอียงจังครับ  ผมก็คือรากหญ้า  ผมตอบในนามรากหญ้า  ครูดันว่าไม่ให้คะแนน ขนาดม๋า คห.34 เคยยกมาตั้ง 32 ตัวอย่าง ยังโดนว่า Bias  ผมรอบคอบก็เลยยกมาทั้งรากทั้งหญ้า เอาเกรดแปดมาซะดี ๆ จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 2 มิ.ย. 52 21:09:25 A:125.26.236.18 X: ]

ความคิดเห็นที่ 36 ป้่าขอบอกว่า ที่คุณ : KhongLen`ตอบมาทั้งหมด คือหัวใจของป้าเช่นกัน เป็นอย่างนั้นเลย เดี๊ยะเลย ถูกใจใช่เลยค่ะ จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ - [ 2 มิ.ย. 52 21:19:05 A:118.173.206.182 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 โห คู น้องพรฯ  ดุ อ่ะ กัว กัว ความจริงอยากให้ตอบสั้นๆ เขียวยาวๆ ทำไม ???? :P ------------------------------------------------------- คูคับ - เขียวยาวๆ  แปลว่าไรคับ ใช่มะเขือยาวป่าวคับ จากคุณ : กาแฟดำขม - [ 2 มิ.ย. 52 21:29:16 A:125.27.81.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 ด.ช.กาแฟ  เลขที่ 37  ลามกคับคุนคู ให้ผมลงโทษดีดหูให้ป่ะคับ ผมชอบดีดหู จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 2 มิ.ย. 52 21:45:47 A:125.26.236.18 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 38 อนุญาตค่ะ แต่ดีดแค่หูนะ อย่างอื่น เดี๋ยวจัดการเอง :P ป้าวิวววว วี๊ดวิ้ว... ป้าวิว ลอกข้อสอบเป็นด้วยเหรอ ??? อิอิอิอิ จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 2 มิ.ย. 52 22:08:50 A:58.9.62.226 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 ความคิดเห็นที่ 20   แวะมาแซวรอบสอง.... น้องพร เวลาถามน่ะ บอกทุกคนด้วยว่า อย่ามี "Bias" ล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็น กลุ่มตัวอย่าง "Selection Bias" ไป คริคริ จากคุณ : SassyKate ---------------------------------------------------------------- ไม่ต้องห่วงนะคุณเคท.. กระทู้สาระแบบเนี่ย.. ไม่มีอะไรให้แถ... เป็นเรื่องความคิด และการถ่ายทอด ความคิดที่อยู่ในตัวเองล้วนๆ ถ้าจะ bias มันก้อเป็นไปตามพื้นฐานจิตใจคน น่ะค่ะ เป็นคำถามที่ open - open ที่ยากนัก จะแถได้ 555   ไม่เชื่อ ให้คุณขวัญลองแถ สิ..... ให้หล่อสุดยังไง ก้อแถไม่ขึ้นหรอก  อิอิอิอิ อีกอย่าง.. พวกไม่มีจุดยืน ไม่มีคำตอบให้คำถามเหล่านี้หรอก.. จริงๆ นะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 22:21:31 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 2 มิ.ย. 52 22:19:23 A:58.9.62.226 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอสนทนาด้วยนะครับ แต่ผมขอคิดอะไรของผมไปเรื่อยๆ โดยจะเอาข้อเขียนที่เขียนเมื่อวานในกระทู้หนึ่งมาเขียนต่อ ความคิดเห็นที่ 11   ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อความนี้แม้จะเห็นด้วยไม่เต็ม 100 เพราะมีการมองที่แตกต่างออกในจุดเล็กจุดน้อย   การจะบอกว่า ในใจของใครคิดอ่านยังไง เขามีอุดมคติหรือไม่มีอุดมคติ ผมคิดว่า ตรงนั้นอาจสังเกตจากคำพูดคำจาและอาจพอคาดเดาได้ แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ชัวร์เพราะเป็นเรื่องในจิตในใจขา เราจะเข้าไปรู้แน่ชัดก็คงยากครับ คนเรานี่ซับซ้อนนะครับ บางครั้งเราอาจได้ยินคำพูดว่า ... ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ทำอย่างนั้นลงไป หรือพูดอย่างนั้นออกไป ... หรืออาจเคยได้ยินคำว่า "ค้นพบตัวเอง"  แปลว่าก่อนหน้านั้นที่ทำอะไรลงไป ไม่ใช่ตัวเราเองที่ทำ แต่เป็นตัวอื่นที่มาใช้ร่างตัวเรา ? (ขำๆก็ได้ครับ) ดังนั้น เรื่องนี้ทำให้ผมคิดไปถึงตำรับตำราจิตวิทยาที่เคยเรียนระดับเบื้องต้นพื้นฐานมา มันมีทฤษฏีอันหนึ่งชื่อ ทฤษฏีของมาสโลว์ เป็นทฤษฏีที่บอกว่า คนเราโดยมากมีความต้องการรูปแบบต่างๆ เป็นไปตามลำดับขั้น เท่าที่จำได้เค้าบอกว่า แรกสุด คนเราต้องปัจจัย4เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ พอความต้องการอันนนี้ได้แล้ว เขาจะต้องการสิ่งต่อมาคือ ความมั่นคงในชีวิต เช่นการงานการเงินมั่นคง ชีวิตมั่นคงปลอดภัย (เป็นโอกาสของคนขายประกันชีวิตละ) เมื่อได้ความมั่นคงทางชีวิตส่วนตัวแล้ว เขาจะเริ่มเข้าหาสังคมส่วนรวม หาที่สมาคม หาความยอมรับจากคนอื่นๆ ความต้องการถัดมาจะเป็นความต้องการมีชื่อเสียง เป็นคนดัง เป็นที่รู้จักวงกว้าง หรือเป็นที่รู้จักกับคนที่เขาไม่รู้จัก (ในความต้องการทางสังคมอันก่อน เขาจะรู้จักกับทุกคนที่รู้จักเขา แต่อันนี้เขาไม่รู้จักคนจำนวนมาก แต่คนจำนวนมากกลับรู้จักเขา) ทีนี้ ความต้องสุดท้ายตามทฤษฏีมาสโลว์บอกว่า เป็นความต้องการบรรลุความใฝ่ฝันที่สุดยอดที่สำเร็จยาก เช่น ได้รางวัลออสการ์ ได้เป็น ปธน.  เป็นต้นครับ ผมคิดว่า นักการเมืองส่วนมากก็เป็นไปตามกฏนี้ พ่อค้าบางคนทำการค้าประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก ในที่สุดเห็นการเมืองเป็นสิ่งท้ายทายจึงมาเล่นการเมือง ทำให้เกิดความฝันอยากเป็นนายกฯ เพื่อเป็นเกียรติยศของตัวเองและของวงศ์ตระกูล กลายเป็นความใฝ่ฝันสุดยอดตามทฤษฎีมาสโลว์ข้อที่ 5 ซึ่งจะว่าไปแล้วคนจำนวนไม่น้อยเคยมีความฝันอยากเป็นใหญ่เป็นโต เป็นนายกฯ เป็นบุคคลหมายเลข 1 มาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น ผมจึงไม่แปลกที่คนเล่นการเมืองส่วนใหญ่จะ "สนองความต้องการของตัวเอง" สนองความใฝ่ฝันส่วนตัว สนองความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง สนองค่านิยมมุ่งเป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน เดินไปที่ไหนมีแต่คนเข้ามาไหว้ ... ผมเห็นว่า พรรคการเมืองปัจจุบัน ไม่ว่าพรรคที่ "เทพประทาน' ให้เป็นรัฐบาล หรือพรรคที่ "เทพไม่ประทาน" ให้เป็นรัฐบาล ก็คงเป็นไปตามกฏมาสโลว์อยู่ไม่น้อย โดยที่บางคนอาจจะทะเยอทะยานอยากในอำนาจ, เกียรติยศสรรเสริญ, การเป็นที่นับหน้าถือตา แต่ไม่เน้นผลประโยชน์เงินทอง หรือบางคนเอาหมดทั้งเงินทองลาภยศสรรเสิรญบารมีอิทธิพล แต่งานบริหารบ้านเมืองเป็นงานสำคัญรับผิดชอบชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศ ซึ่งตรงข้ามกับที่นักการเมืองเข้ามาเพื่อสนองความต้องการหรือความฝันของตัวเอง เช่น ขอให้ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ หรือ รัฐมนตรีก็พอใจแล้ว บรรลุความฝันแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้ข้าราชการทำงานกันไป ตัวเองนั่งประดับหัวโต๊ะหรือเป็นประธานของงานต่างๆ  ความต้องการที่สวนทางกันนี้จึงควรมี "กลไก" ที่จะทำให้ ความต้องการที่สวนทางกันแคบเข้ามา ซึ่งเห็นได้ว่า สื่อมวลชน ก็เป็นกลไกหนึ่งในการวิจารณ์นักการเมืองให้ตระหนักถึงความรับชอบต่ออำนาจอธิปไตยของปวงชนที่มอบหมายให้มา เป็นต้น ผมจึงคิดว่าไม่ผิดที่นักการเมืองส่วนใหญ่จะสนองความต้องการของตัวเอง เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่กระนั้น สังคมย่อมมีสิทธิที่จะสร้างกลไกต่างๆเพื่อกำกับให้นักการเมืองสนองผลประโยชน์ของสังคมของประชาชนมากขึ้น ซึ่งทั้งนี้แหละทั้งนั้น การนี้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ก็เห็นจะต้องรับสภาพกันตามสมควร เพราะนักการเมืองนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนแต่มาจากประชาชนที่ไปกาบัตรเลือกตั้งมากับมือนั่นเอง ผมเคยสงสัยว่า แล้วพวก "นักอุดมคติ" ล่ะ เป็นคำตอบของการเมืองที่ดีหรือไม่ ? ผมคิดว่า "นักอุดมคติ" นั้น ในที่สุดก็เป็นการสนองความต้องการของตัวเองเหมือนกัน กล่าวคือสนองความรู้สึกทางจิตวิทยาที่ต้องการใช้ชีวิตตัวเองให้ดูมีค่า ให้ชีวิตตนเองไม่ดูไร้ค่าไร้ความหมาย ผมเองก็เคยมีอุดมคติในช่วงเป็นนักศึกษา ซึ่งในภายหลังก็เข้าใจว่า มันเป็นความต้องการมีชีวิตอย่างมีค่ามีความหมาย แล้วการมี "อุดมคติ" ก็เป็นหนทางที่ดีในการบรรลุความต้องการอันนี้ แต่ในภายหลังผมคิดว่า การมีอุดมคติ มันเป็น "ส่วนตัว" มากเหมือนกัน ผมหมายถึงว่า แม้มีอุดมคติอยากเห็นโลกดีขึ้น อยากให้สังคมดีขึ้น แต่คนมีอุดมคติเอาความคิดอ่านของตัวเองเป็นตัวตั้งค่อนข้างมาก ปัญหาอาจเกิดขึ้นจากตัว "ความฝัน" ที่ตั้งไว้ และ "วิธีการ" ไปถึงความฝันนั้น ผมขอยกตัวอย่าง ... คนมีอุดมคติสมัยหนึ่งเชื่อว่า การปกครองตามแนวคิดสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ จะปลดแอก ชาวนากรรมกร จากการถูกกดขี่ขูดรีดและความยากแค้นได้ นักอุดมคติจำนวนไม่น้อยทำสงครามอุดมการณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง เวลาผ่านไปหลายสิบปี มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนเยอะมาก (ราว 80-100 ล้านคน) แต่สุดท้ายความฝันถึงสังคมที่สวยงามแบบสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ล่มสลายไป แทบไม่เคยเกิดขึ้นได้เลย  นี่คือผลลัพธ์น่าสะเทือนใจที่น่าจะเป็นบทเรียนเตือนใจแก่คนที่ทะนงตนว่าเป็น "นักอุดมคติ" ว่า มันมีความผิดพลาดในการมี "อุดมคติอุดมการณ์" ตรงไหน ? ผมคิดว่า ในที่สุดต้องก็ต้องยอมรับว่า "อุดมคติ" เป็น "เรื่องส่วนตัว" เป็นความต้องการที่พอจะเทียบเท่ากับความต้องการลำดับที่ 5 ของทฤษฎีของมาสโลว์ที่ต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสังคมที่ใฝ่ฝัน การบริหารบ้านเมือง เต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายมากๆ ทั้งคนจน คนรวย คนกลาง คนเมือง คนชนบท คนต่างประเทศที่จะถูกคบค้าไม่ว่าเพราะมาท่องเที่ยวหรือเข้ามาลงทุน หรือที่เราออกไปขายสินค้าให้เขา ผมคิดว่า มันเรื่องยากที่คนมีอุดมคติจำนวนหยิบมือหนึ่งจะมาตั้งความฝันแล้วกำหนดว่า คนจำนวนมากหลายสิบล้านคน "จะอยู่กันแบบไหนอย่างไร" ลักษณะแบบนี้จะทำให้คนมีอุดมคติเข้าข่าย "คณาธิปไตย" (การปกครองโดยคนกลุ่มน้อย) หรือ "อภิชนาธิปไตย" (การปกครองโดยคิดว่าตนเป็นผุ้รู้ที่รู้ดีกว่าคนอื่น) นักอุดมคติจึงมีพื้นฐานของ "เผด็จการความคิด" เพราะ จะกำหนดรูปแบบการปกครองและกฎหมายโดยไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งมอบอำนาจของคนส่วนใหญ่ ผมคิดว่าทั้ง นักอุดมคติ และนักการเมือง มีจุดเด่นและจุดอ่อนในตัวเอง การมีแต่นักอุดมคติปกครองก็น่ากลัวจากความเป็นเผด็จการความคิดและใช้ความเข้มงวดสูง เช่น ศีลธรรมสูง อบายมุขน้อย ผู้คนถูกบีบให้อยู่ในกรอบวินัยมาก สร้างความอึดอัดกดดันเมื่อเห็นโลกภายนอกเสรีกว่า ส่วนนักการเมืองก็มักจะปกครองไม่ค่อยมีประสิทธิภาพจากการรั่วไหลต่างๆ และหย่อนยานทางกฎระเบียบวินัย ผู้คนเต็มที่กับการไขว่คว้าแก่งแย่งและกับกิเลสตัณหา โลกที่สมบูรณ์หาได้ยากนัก "วิถีประชาธิปไตย' น่าจะเป็นคำตอบโดยการปล่อยให้ นักอุดมคติทำสงครามกับนักการเมือง แต่สงครามในระบอบประชาธิปไตยมีชนิดเดียว คือ "สงครามทางความคิด" ซึ่งมีชัยชนะ 2 แบบ ได้แก่ การเอาชนะทางความคิดของอีกฝ่าย และ การเอาชนะความคิดของตัวเอง เมื่อทราบรูปแบบสงคราม (ที่สันติ) ในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ทีนี้เราก็จะเห็นว่า ตัวละครที่ไม่เกี่ยวอย่างเช่น บรรดาผู้ถือปืนทั้งหลาย บรรดาผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และ บรรดาผู้ถือค้อนพิพากษา (ที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในการเมือง) เหล่านี้ เป็นส่วนเกินที่ผิดหน้าที่ ผิดวิถีประชาธิปไตย และทำให้สังคมปั่นป่วนยุ่งเหยิง "เรือหาย !" ......... ขอแก้ไขเขียนเพิ่มเติมว่า : การเอาชนะทางความคิดอีกฝ่าย โดยมากมักจะต้องช่วยให้อีกฝ่ายเอาชนะความคิดของเค้าได้ก่อนครับ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 01:39:00 จากคุณ : รองเมือง http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7926965/P7926965.html#11 ......... จากคุณ : รองเมือง - [ 2 มิ.ย. 52 23:20:00 A:58.8.195.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 41 คุณ รองเมือง เรากลับคิดว่า สงครามในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เพียงแค่สงครามความ คิด แต่มันหมายรวมไปถึงทัศนคติ และ "อุดมคติ" จริงๆ นั่นแหละ การที่เรา อยู่ภายใต้ปชต แต่ไม่รู้ถึงความเท่าเทียม และ/หรือ ความเท่าเทียม หรือ สิทธิเสรีภาพของทุกคนยังเป็นคนละความหมายกัน นั่นจะไม่มีทางทำให้เกิด ปชต เต็มใบได้เด็ดขาด การทำสงคราม ปชต นั้นต้องเริ่มจากการ "ปลูกฝัง" จิตสำนึกของ ปชต ซึ่งไม่ใช่ความหมายเดียวกับคำว่า "เสรี" เสียก่อน ความเสมอภาค สิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ เป็นสิ่งที่สำคัญ หากประชาชน ยังไม่สำนึกถึง 3 สิ่งนี้ ก้อยากที่จะได้เห็นถึงความต้องการในภาพรวม และยังคงคิดว่า เป็นเรา เป็นเขา ก็ยังคงแตกแยกกันอยู่นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 52 00:12:39 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 3 มิ.ย. 52 00:07:10 A:58.9.62.226 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 เสรีภาพ ภราดรภาพ ..... เอ่อ....คุงครูน้องพร  แล้ว นาตาลีภาพ ไปไหนเสียล่ะ ??? เกี่ยวกันไหมนี่...... สงสัยเมากาแฟ ลุงกาแฟ.... คริๆ จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 3 มิ.ย. 52 03:15:26 A:203.156.177.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอตอบสั้น ๆ นะคะ เหมือนน้องพิงค์นคร49  คือทั้ง 1-5 ข้อ  แต่สรุปอีกทีว่าเพื่อความถูกต้องค่ะ สังคมต้องมีกฎเกณฑ์ให้ยึดถือด้วย  ถึงจะเกิดความสงบสุขได้ จากคุณ : sao..เหลือ..noi เพิ่มเติม สู้เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย และลูกหลานของตัวเอง หากไม่มีความเสมอภาค โอกาสของประชาชนที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไฝ่ฝันก็ไม่มีทางสำเร็จ คนจนไม่มีวันได้ผุดได้เกิด สิ่งที่ทักษิณทำคือ เปิดโอกาสให้ทุกคนที่ตั้งใจและมีความขยัน ที่จะทำมาหากินให้หลุดพ้นจากความยากจน จากคุณ : SPFC - [ 3 มิ.ย. 52 07:00:46 A:124.120.132.250 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 ไม่เชื่อ ให้คุณขวัญลองแถ สิ..... ให้หล่อสุดยังไง ก้อแถไม่ขึ้นหรอก  อิอิอิอิ อีกอย่าง.. พวกไม่มีจุดยืน ไม่มีคำตอบให้คำถามเหล่านี้หรอก.. จริงๆ นะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 22:21:31 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก    - [ 2 มิ.ย. 52 22:19:23 A:58.9.62.226 X: ]   ................................................................................................. ขอใช้สิทธิ์พาดพิงครับผม ผมไม่ได้มาจากเมืองนอกเมืองนา  ผมแค่ กศน. ม.6 ไม่รู้จักคำว่าแถ แถนี่ภาษาฝรั่งเศสหรือโปรตุเกตครับ  งง ..................... มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากเอ่ย  เมื่อมีการกล่าวถึงสิทธิ  เสรีภาพ  เสมอภาค  ภราดรภาพ  ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่มั่นใจว่าตัวเองนั้น "รู้"  ออกมาพูดเสมอว่า  คนไทยยังไม่พร้อม  ยังไม่ถึงเวลา ผมก็ได้แต่แปลกใจทุกครั้งว่า  เขาเอาอะไรวัด   รบกวนท่านปู่อภิช่วยอธิบายเรื่องนี้ด้วยนะครับ  หากพอมีเวลา ส่วนผม  ขออนุญาตลาคุณครูไปปัสสาวะครับ ปล. ก็ปู่เล่นตีขิมเงียบ ๆ  ผมก็ขอฝากการบ้านซะเลย เผื่อจะได้ลอก แหะ ๆ จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 3 มิ.ย. 52 07:34:58 A:125.26.233.108 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 คคห.34 SassyKate ...ลาป่วย  หรือลาป่วน ...มัวแต่โม้อยู่นั่นแหละ  ลอกการบ้าน ช้าๆๆๆๆๆ  รอไปเที่ยวอยู่นะ ความคิดเห็นที่ 38   ตระกองขวัญ ...ขี้ฟ้อง ...แน่จริงพบกันหลัง รร.เลิกนะ...........................................(จาไปวัด ) ความคิดเห็นที่ 45   ชายพายเรือ ...โทษเราเฉยเลย  มั่วจริง ...เมาความสวยของคูน้องพร  ก็บอกไปตรงๆเถอะ จากคุณ : กาแฟดำขม - [ 3 มิ.ย. 52 08:24:08 A:125.27.89.212 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 คูคาบ  เห็ง คห.42&43 หมายคาบ ผงตบไปเหลียวคับ เหลียวมันก็ปลิวหายไปเองงงงงงคาบบบ........ อย่าปับผงตกนา คาบบบบบบบบบบ จากคุณ : soodton - [ 3 มิ.ย. 52 11:07:06 A:61.90.64.201 X: ]

ความคิดเห็นที่ 50 ความคิดเห็นที่ 44   เรากลับคิดว่า สงครามในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เพียงแค่สงครามความคิด แต่มันหมายรวมไปถึงทัศนคติ และ "อุดมคติ" จริงๆ นั่นแหละ จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก ........ "การเอาชนะความคิดตัวเอง" ความหมายก็คือ ตรงนี้แหละครับ ความคิดตัวเองอาจได้แก่ ความเชื่อ ความชัง ตรรกะเหตุผลเดิมที่เรามีอยู่ แล้วเมื่อมีผู้แสดงตรรกะเหตุผลที่น่ารับฟัง เราคิดว่านั่นเป็นตรรกะเหตุผลที่กว่าเดิมที่เรามีอยู่ เราก็เปลี่ยนความคิดเองโดยสมัครใจ ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเพราะมีผู้ใดมาบังคับ การไม่เอาอคติความชอบความชังหรือเรื่องส่วนตัว/ผลประโยชน์ส่วนตัวมาเป็นตัดสินเรื่องราวต่างๆ แต่ตัดสินตามหลักต่างๆที่เหมาะสม ก็คือการเอาชนะอคติต่างๆ ในใจของตัวเราเองครับ การที่เราจะเปลี่ยนความคิดผู้อื่น ผมคิดว่า ... ยากมาก แต่หากผู้ใดผู้หนึ่งเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้ ผมคิดว่า นั่นเพราะเขาเอาชนะความคิดเดิมของตัวเองได้ แล้วเป็นไปอย่างสมัครใจ ......... จากคุณ : รองเมือง - [ 3 มิ.ย. 52 12:01:45 A:58.8.195.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 ความคิดเห็นที่ 50 แต่หากผู้ใดผู้หนึ่งเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้ ผมคิดว่า นั่นเพราะเขาเอาชนะ ความคิดเดิมของตัวเองได้ แล้วเป็นไปอย่างสมัครใจ ......... จากคุณ : รองเมือง --------------------------------------------------------------------------------- แปลว่า ความเห็นตรงกันนะ คิดเห็นต่างกันคุยกันไม่เลิก เรียกว่า เถียง คิดเห็นตรงกันคุยกันไม่เลิกเรียกว่า ถก  :) บอกไว้ก่อน กลัวพวก "อ่านเข้ามาผ่านๆ" จะนึกว่า เถียงกัน เช่นนั้นแล้ว การเอาชนะความคิดเดิมของตัวเองได้ ต้องทำอย่างไรคะ ปกติแล้ว อุดมการณ์คนจะเปลี่ยนไปเมื่อ คนผู้นั้น สำนึก และตระหนักว่า สิ่งที่เราได้คิด และทำลงไปนั้น "มันไม่ถูก" แต่ความคิดที่ว่า เรา "ไม่ถูก" ยังไม่เพียงพอสำหรับคน อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องรู้สึกก่อนว่า เรา "พลาดไป" ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เราจะรู้ว่า เราทำไม่ถูก หรือ พลาดไปแล้วนั้น จะเกิดขึ้นหลังจากการ สูญเสียเท่านั้นค่ะ ทำอย่างไร คนเราจึงจะรู้ และตระหนักถีงความไม่ถูกนั้น โดยที่ไม่มี การสูญเสีย ? อนึ่ง เราควรจะปล่อยให้เกิด "การรู้" ด้วยตัวเองของแต่ละคนให้เกิดขึ้นเอง หรือควรมีการ ร่วมมือกันอย่างไร เพื่อเพิ่มทัศนะ และประสิทธิภาพของ "ขบวนการเรียนรู้" คะ ?? เคยคุยกับเพื่อนเมกันว่า คนเมกันเอง เป็นพวกที่มีความคิดเห็นตรงกัน หรือไปในทางเดียว กันซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วก้อพาลไปคิดถึงหนังสือ best seller ต่างๆ ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา ทำให้คนเมกัน คิดและเห็นไปในทางเดียวกัน กลับมาคิดถึงสื่อเมืองไทยแล้วเศร้า.. ไม่มีคนที่มีความรู้เพื่อพัฒนาประเทศมาดูแลสื่อของ ตัวเองกันซะบ้างเลย มีแต่พวกทำเพื่อความสะใจของตัวเองทั้งนั้น.. อีกนิดนึงเรื่อง self extreme เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นจากแรงดันภายใน คนที่จะ สามารถมีแรงผลักดันเกิดขึ้นจากภายในได้นั้น ตามหลักการคือผู้ที่มีความเพียงพอในความ ต้องการด้านอื่นๆ หมดแล้ว (ระดับล่างๆ คือ ความต้องการด้าน กายภาพ หรือ เศรษฐกิจ หรือ การยอมรับต่างๆ) แต่ดูแล้ว ถ้าประชาชน ยังมีความต้องการด้านอื่นๆ (ซึ่งเป็นแรงขับ จากภายนอก) อยู่ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยตัวเอง เพื่อตัวเองนั้น เป็นไปได้ยากมาก ฉะนั้น เราจึงสนับสนุนให้สังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก่อน หลายๆ อย่าง จะตามมาหลัง จากนั้น จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 3 มิ.ย. 52 15:32:31 A:58.9.70.96 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 ความคิดเห็นที่ 47 ขอใช้สิทธิ์พาดพิงครับผม ผมไม่ได้มาจากเมืองนอกเมืองนา  ผมแค่ กศน. ม.6 ไม่รู้จักคำว่าแถ แถนี่ภาษาฝรั่งเศสหรือโปรตุเกตครับ  งง ----------------------------------------------------------------------- จะแถเนี่ย.. ใช้แค่ปัญญา ค่ะ ไม่ต้องเอาการศึกษาเข้ามาช่วย.. พวกมีปัญญา สามารถแถได้ เหมือนภูมิปัญญาชาวบ้านไงคะ ผมว่ารักษาได้ มันก้อรักษาได้จริงๆ เรื่องมันจะเข้าประเด็นการศึกษาหรือไม่นั้น อยู่ที่ผู้มี "องค" ความรู้ จะไปศึกษาต่อว่า จะเอาเข้าระบบศึกษาได้หรือไม่ (ทำไมต้องตอบยาวฟระ เรื่องแบบนี้ อิอิอิ :P) ----------------------------------------------------------------------------------------------- มี สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเอ่ย  เมื่อมีการกล่าวถึงสิทธิ  เสรีภาพ  เสมอภาค  ภราดรภาพ   ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่มั่นใจว่าตัวเองนั้น "รู้"  ออกมาพูดเสมอว่า  คนไทยยังไม่พร้อม   ยังไม่ถึงเวลา ขอใช้สิทธิในการเป็นประธานตอบค่ะ การที่จะรู้หรือไม่รู้ สามารถรู้สึกได้นะ หากตัวเอง รู้สึกไม่เข้าพวกกับใครแล้ว แสดงว่า ยังไม่เจอ ภราดรภาพที่แท้จริง หากตัวเองยังรู้สึกถูกกดขี่ข่มเหง ก้อไม่มีเสรีภาพที่แท้จริง หรือถ้ายังแบ่งพรรค แบ่งฝ่าย ก้อยังไม่มีความเสมอภาคที่แท้จริง สำหรับพวกที่บอกว่า คนอื่นไม่พร้อม แต่ตัวเองมีพร้อมอยู่จริงๆ แล้ว ไม่มีหรอกค่ะ "โม้" ซะมากกว่า ไม่ก้อ พยายามทำตัวให้ดูดี เพื่อให้อีกฝ่ายดูแย่ วุตถุประสงค์ก้อ.. ต้องการให้ 3 สิ่งนี้ ไม่เกิดขึ้นเร็วจนเกินไป เพราะพลังมวลชนแห่ง ภราดรภาพเนี่ย ไม่มีอะไรสู้ได้ ค่ะ (ได้สาระมั้ยเนี่ย เหอเหอ) ---------------------------------------------------------------- เห็นด้วยกับ SPFC ค่ะ ความต้องการพื้นฐานต้องมาก่อน อยู่ที่ผู้นำคนไหนจะสามารถ สร้างมันให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง ---------------------------------------------------------------- เฮ้ยยยย 42-43 หายไปจริงๆ ด้วยอ่า... ไหนๆ อบใหม่จิ เอาเป็นภาษา คาราโอเกะ ก้อได้ เด่อ รีบตอบๆมาๆๆๆๆๆ ติดกรองคำอะดิ ทู้นี้ ใครจะบังอาจมาลบอะไรได้ไง น้องพรไม่ได้สั่ง!!  :P ---------------------------------------------------------------- คุณชาย.. คุงครูน้องพร  แล้ว นาตาลีภาพ ไปไหนเสียล่ะ ??? <-- มั่วเชียวนะ เดี๋ยวถูกทำโทษ !! ---------------------------------------------------------------- ลุงแฟฯ กรุณา อย่านำข้อมูลส่วนตัวมาเปิดเผยค่ะ   หุหุ (เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิด) จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 3 มิ.ย. 52 16:52:56 A:58.9.70.96 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 แปลว่า ความเห็นตรงกันนะ คิดเห็นต่างกันคุยกันไม่เลิก เรียกว่า เถียง คิดเห็นตรงกันคุยกันไม่เลิกเรียกว่า ถก  :) บอกไว้ก่อน กลัวพวก "อ่านเข้ามาผ่านๆ" จะนึกว่า เถียงกัน - - - ถ้าเปลี่ยนแปลงความคิดกันได้ง่าย อะไรๆก็สบายครับ แต่ถ้าเปลี่ยนความคิดกันไม่ได้ ทุกฝ่ายต่างยืนกรานความคิดเดิม ลองนึกดูสิครับว่า ทุกอย่างยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยวิธีการอะไร ? เช่นนั้นแล้ว การเอาชนะความคิดเดิมของตัวเองได้ ต้องทำอย่างไรคะ - - - ก็คงไม่ง่ายครับ อย่างที่ผมเขียนไปแล้วว่า อีกฝ่ายต้องช่วยอีกฝ่ายให้เอาชนะความคิดตัวเองได้ อีกฝ่ายอาจพยายาม "เข้าใจ" อีกฝ่ายหนึ่ง เข้าใจว่าอุปสรรคในการเอาชนะความเดิมอยู่ตรงไหน แต่ทั้งนี้แหละทั้งนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองครับว่า เราจะเอาชนะความคิดเราได้หรือไม่ คนอื่นช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อุปสรรคสำคัญๆ ในตัวเองผมว่าน่าจะได้แก่ ความยึดมั่นถือมั่น - มีความคิดความเชื่อที่คิดว่าได้ตริตรองไว้ดีแล้ว, อีโก้ (การให้ความสำคัญในตนเองอย่างสูง) , อารมณ์ความรู้สึก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นกำแพงในใจที่ขวางตัวเราเองในการคิดต่างไปจากเดิม ปกติแล้ว อุดมการณ์คนจะเปลี่ยนไปเมื่อ คนผู้นั้น สำนึก และตระหนักว่า สิ่งที่เราได้คิดและทำลงไปนั้น "มันไม่ถูก" แต่ความคิดที่ว่า เรา "ไม่ถูก" ยังไม่เพียงพอสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องรู้สึกก่อนว่า เรา "พลาดไป" ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เราจะรู้ว่า เราทำไม่ถูก หรือ พลาดไปแล้วนั้น จะเกิดขึ้นหลังจากการสูญเสียเท่านั้นค่ะ ทำอย่างไร คนเราจึงจะรู้ และตระหนักถีงความไม่ถูกนั้น โดยที่ไม่มีการสูญเสีย ? อนึ่ง เราควรจะปล่อยให้เกิด "การรู้" ด้วยตัวเองของแต่ละคนให้เกิดขึ้นเอง หรือควรมีการร่วมมือกันอย่างไร เพื่อเพิ่มทัศนะ และประสิทธิภาพของ "ขบวนการเรียนรู้" คะ ?? - - - นี่ก็คงเป็นการเรียนรู้อย่างปกติของคนเรากระมังครับ ตอนเด็กๆผู้ใหญ่เตือนไว้อย่างไร เด็กๆไม่ค่อยฟัง จะว่าไปแล้วถ้าเรามีโลกที่ผู้ใหญ่เขียนแผนผังไว้อย่างดี เด็กๆไม่ต้องเรียนรู้จากการลองด้วยตนเอง โลกมันก็คงจะง่าย แต่ก็คงเป็นโลกที่มีแบบแผนตายตัว สืบทอดกันเป็นร้อยเป็นพันปีในรูปแบบประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่เคยเรียนรู้มา แต่โลกแบบนี้มันจะสอดคล้องกับกฎแห่งความอนิจจังหรือครับที่ความแน่นอนที่สุดคือความไม่นอนหรือการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  คนรุ่นหลังมีสิทธิเรียนรู้ด้วยตัวเองดังเช่นที่คนรุ่นก่อนเรียนรู้จากประสบการณ์ มนุษย์ไม่ใช่แอนดรอย์ (หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างโดยเลียนแบบมุนษย์) ที่สามารถโปรแกรมประสบการณ์ของคนสร้างเพื่อให้แอนดรอย์ทำทุกๆอย่างอย่างมีเหตุผลและอย่างถูกต้องตามที่ผู้สร้างกำหนด มนุษย์เป็นอะไรที่มีความคิดอิสระโดยธรรมชาติ (ไม่ได้หมายถึงเสรีภาพ แต่หมายถึง มีความนึกคิดที่จะคิดหรือจิตนาการไปทางไหนอย่างไรก็ได้) มันก็จึงไม่ง่ายที่จะจัดการมนุษย์ด้วยกันให้เป็นตามกฎ กรอบ แบบแผน หรือสิ่งที่สังคมกำหนด หมอจำนวนมากรู้ว่าการสูบบุหรีทำลายสุขภาพ เป็นสิ่งไม่ดี และเตือนเสมอๆ แต่ก็ยังมีคนสูบบุหรีจำนวนมหาศาล นี่แหละครับมนุษย์ อีกนิดนึงเรื่อง self extreme เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นจากแรงดันภายใน คนที่จะสามารถมีแรงผลักดันเกิดขึ้นจากภายในได้นั้น ตามหลักการคือผู้ที่มีความเพียงพอในความต้องการด้านอื่นๆ หมดแล้ว (ระดับล่างๆ คือ ความต้องการด้าน กายภาพ หรือ เศรษฐกิจ หรือ การยอมรับต่างๆ) แต่ดูแล้ว ถ้าประชาชน ยังมีความต้องการด้านอื่นๆ (ซึ่งเป็นแรงขับจากภายนอก) อยู่ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยตัวเอง เพื่อตัวเองนั้น เป็นไปได้ยากมาก ฉะนั้น เราจึงสนับสนุนให้สังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก่อน หลายๆ อย่าง จะตามมาหลังจากนั้น - - - ผมเคยดูหนังชุดเกาหลี พวกอำมาตย์คิดว่าชาวบ้านมีศีลธรรมเสื่อมโทรม แต่ปราชญ์ข้างถนนบอกว่า ถ้าชาวบ้านไม่อิ่มท้อง เรื่องอื่นอย่างเช่นศีลธรรมก็ไม่ต้องพูดถึง คนเราถ้าอดๆอยากๆ ก็ทำได้ทุกอย่าง นี่แสดงว่าอำมาตย์มองสิ่งต่างๆจาก "โลกของตัวเอง" เอาโลกที่เพียบพร้อมแล้วของตัวเอง ไปครอบ โลกที่อดอยากของชาวบ้าน  การพยายามยัดเยียดศีลธรรมลงไปโดยที่ชาวบ้านยังอดอยากอยู่ก็เห็นจะไม่ได้ผล เพราะปากท้องยังไม่ได้เติม อันนี้ตามเนื้อเรื่องของหนังชุดเรื่องที่ว่านะครับ (คนเกาหลีคิดได้อย่างนี้ เขาถึงเจริญเร็วมาก ?) ......... จากคุณ : รองเมือง - [ 3 มิ.ย. 52 17:47:39 A:58.8.195.177 X: ]

ความคิดเห็นที่ 54 คำว่า "เราจะเอาชนะความคิดเราได้หรือไม่" นี้ โดยส่วนตัวแล้วมองว่า คนที่ต้องการเปลี่ยน ตัวเองนั้น คือผู้ที่เห็นว่า ตัวเองยังไม่ดีพอ และต้องการปรับตัวเองให้ดีขึ้น หรือสำนึกโดยฉับ พลันว่า เรานั้นไม่ดี จึงต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่คนเหล่านี้ ความจริงแล้ว ไม่ได้จู่ๆ ก้อสำนึกได้ว่า ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่างที่บอก ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เรียก ง่ายๆ แบบนี้ดีกว่า คนเหล่านี้ ไม่ได้จู่ๆ ตั้งใจขึ้นมาว่า เอ๊ะ เราผิดไปหรือเปล่า แต่เค้ายังคงก้าวต่อไปในสิ่งที่ ตัวเองเชื่อถือ ฉะนั้น พูดง่ายๆ อีโก้สูงนั่นแหละ คนเหล่านี้ ไม่มีความคิดที่จะเอา"ชนะ"ตัวเองหรอกค่ะ เพราะเค้าคิดว่า ตัวเองเป็น เดอะวินเนอร์ ตลอดเวลาอยู่แล้ว ฉะนั้น สิ่งที่เราจำเป็นต้องให้เกิด สำหรับคนเหล่านี้คือ "สำนึก" มากกว่า การสร้าง สำนึก ที่ถูกต้อง จะเป็นการสร้างความเข้าใจ และสร้างความคิดที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เมื่อคนเกิด สำนึก เค้าจะกลับมามองตัวเองบ่อยๆ แต่ถ้าไม่มีสำนึกแล้ว ก้อจะมองเห็นแต่ คนอื่น และเห็นคนอื่นเป็นพวก ระดับล่างเท่านั้น ถ้าอ้างถึงพจนะว่า สิ่งต่างๆย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาแล้วนั้น.. ต้องอ้างด้วยค่ะว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น มันเปลี่ยนเพราะมันคงสภาพเดิมไม่ได้ และ ไม่มีใครสามารถควบคุม มันได้ (จะได้ครบไตรลักษณ์ อิอิอิ) อย่างไรก้อดี สิ่งที่แน่นอนมีค่ะ นั่นคือ วัฏจักร.. คือ กฏของความเปลี่ยนแปลง ไงคะ ฉะนั้น หากต้องการคาดเดาความเปลี่ยนแปลงให้ได้ละก้อ ต้องหาวัฏจักรมันให้เจอ เท่านั้นเอง หากมัวแต่ปลงอนิจจัง และคิดว่า นี่คือที่สุดแล้ว ก้อยังต้องจมอยู่ในวัฏ ต่อไป แต่หากเห็น แจ้งใน วัฏ แล้ว อาจจะหลุดพ้นได้ สัตว์โลก ย่อมหลุดพ้นได้ทุกตัวตน ค่ะ   ป.ล. ความเห็นนี้ เป็นความเห็นที่คิดแย้งค่ะ แต่ก้อยังอยากเรียกว่า ถก อยู่ดี ลุง.. ไม่เสริฟกาแฟ แล้วรึ? จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 3 มิ.ย. 52 19:47:44 A:58.9.208.78 X: ]

ความคิดเห็นที่ 55 ความคิดเห็นที่ 54  ลุง.. ไม่เสริฟกาแฟ แล้วรึ? --------------------------------------------------------------------------- โห  หัวใจพองโตเลย  ครูน้องพรฯ เรียกใช้บริการ ไม่เสิร์ฟแค่ โกโก้ ร้อนๆ อย่างเดียว จั่งซี่ มันต้อง...แถมครับ จากคุณ : กาแฟดำขม - [ 3 มิ.ย. 52 20:34:42 A:125.27.83.116 X: ]

ความคิดเห็นที่ 56 ให้จิพิสัยเต็ม ในฐานะที่เอาใจใส่การเรียนการสอนดี อิอิ จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 3 มิ.ย. 52 21:51:31 A:58.9.208.78 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 จาก ความคิดเห็นที่ 54 ผมไม่คิดว่า การที่มนุษย์เกิดมา จะมีเป้าหมายติดตัวมาว่า ต้องไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผมค่อนข้างเชื่อเรื่องหนึ่งว่า โลกนี้จริงๆมันไม่มีแก่นสารอะไรสักเท่าไหร่ แก่นสารที่พูดๆกันเป็นการปรุงแต่งหาอะไรทำสำหรับการมีชีวิตอยู่ที่ค่อนข้างนาน จะว่าไปแล้ว วันนึงก็นานมาก 1 ขัวโมงก็นาน ถ้าเป็นปี ก็นานโข การมีอะไรทำทำให้ "เวลา" สั้นลงมากในความรู้สึกจนไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเวลา คนที่อยากทำอะไรมากจะรู้สึกว่าเวลาไม่พอ ที่เรามีกฎกติกาหลักการเยอะแยะก็เพราะ เวลาที่ยาวนาน ทำให้มนุษย์มีเรื่องมีราวกันเยอะ ปกติเขาพูดกันว่า "มากคนมากความ" ผมขอเสริมเข้าไปอีกหน่อยว่า "มากเวลามากเรื่อง" (ขำๆ) อย่างหนึ่งที่รู้สึกจากการคุยกับคุณน้องพรฯ ก็คือ เป็นคนที่คาดหวังผู้อื่นค่อนข้างมาก สังคมเรามีส่วนผสมของคนหลายๆแบบ แบบของคุณน้องพรฯ ก็เป็นแบบหนึ่งที่ทำให้เรามาถกเถียงกันถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นวาระอมตะที่ต้องถกเถียงกันไปตลอดความเป็นมนุษยชาติในการที่จะอยู่กันได้อย่างสงบสุขสำหรับคนหลายพันล้านคนบนโลกใบนี้ ในอนาคตถ้าเรามีการติดต่อสื่อสารคมนาคมกับดาวดวงอื่นได้ ถึงตอนนั้น วาระที่ว่าก็จะกลายเป็นวาระของการอยู่อย่างสงบสุขร่วมกันในจักรวาล (ขำๆ) ผมคิดว่า เราคงไม่จำเป็นต้องให้คนจากดาวอื่นๆ มุ่งสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์ เอาแค่อยู่ร่วมกันได้โดยไม่หงุดหงิดมาก ก็ดีใจแล้ว อย่าลืมว่า ศาสนาพุทธกำเนิดมา 2,500 กว่าปี เมืองพุทธอย่างเมืองไทยก็เป็นได้เท่านี้ ถ้าจะให้ดีขึ้นกว่าเดิมสักเท่าตัว อาจใช้เวลาอีก 2,500 ปี แล้วถ้าให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ตามแนวคิดของศาสนาพุทธ ผมว่าอาจจะใช้เวลาราว 10,000-15,000 ปี (ขำๆ) การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะเหตุว่ารู้สึกของเดิมไม่ดี การเปลี่ยนอาจอุบัติขึ้นมาเองก็ได้ เพราะได้ "รู้" สิ่งใหม่ เช่น นักวิทยาศาสตร์ สังเกตและขบคิด จนได้ความรู้ใหม่ที่เปลี่ยนโลก เช่น อาร์คีมิดิส (ยูเรกา - ปริมาตร) กาลิเลโอ ปาสเตอร์ (วัคซีน) นิวตัน ไอนสไตน์ มาดามคูรี (รังสี) เป็นต้น มีนักประดิษฐ์อีกมากมายที่ช่างสังเกตทำให้เกิดความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์มากมายให้เราได้ใช้อย่างทุกวันนี้ แล้วยังมีการคิดทางปรัญชาต่างๆ ซึ่งมีผลเปลี่ยนแปลงความคิดอ่านของมนุษย์ด้วย การที่คนเราอยากเปลี่ยนแปลง หรืออยากเอาชนะตัวเอง อาจเกิดจากการสังเกต เห็น รู้ เช่น ดูหนังอ่านหนังสือ ฟังคนอื่นพูด แล้วได้แรงดลใจอยากเปลี่ยนแปลงก็ได้กระมังครับ ......... จากคุณ : รองเมือง - [ 3 มิ.ย. 52 23:45:02 A:58.8.204.240 X: ]

ความคิดเห็นที่ 58 แหะๆ  ยิ่งอ่านยิ่ง งง เลยมาแอบจิ้ก ขนม ลุงกาแฟ ไป 1 ชิ้น ชิ้นกลางเน้อ มันใหญ่ดี หุหุ... จากคุณ : ชายพายเรือ - [ 4 มิ.ย. 52 01:13:40 A:203.156.177.171 X: ]

ความคิดเห็นที่ 59 ความคิดเห็นที่ 47 ขอใช้สิทธิ์พาดพิงครับผม ผมไม่ได้มาจากเมืองนอกเมืองนา  ผมแค่ กศน. ม.6 ไม่รู้จักคำว่าแถ แถนี่ภาษาฝรั่งเศสหรือโปรตุเกตครับ  งง ----------------------------------------------------------------------- จะแถเนี่ย.. ใช้แค่ปัญญา ค่ะ ไม่ต้องเอาการศึกษาเข้ามาช่วย.. พวกมีปัญญา สามารถแถได้ เหมือนภูมิปัญญาชาวบ้านไงคะ ผมว่ารักษาได้ มันก้อรักษาได้จริงๆ เรื่องมันจะเข้าประเด็นการศึกษาหรือไม่นั้น อยู่ที่ผู้มี "องค" ความรู้ จะไปศึกษาต่อว่า จะเอาเข้าระบบศึกษาได้หรือไม่ (ทำไมต้องตอบยาวฟระ เรื่องแบบนี้ อิอิอิ :P) จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก    - [ 3 มิ.ย. 52 16:52:56 A:58.9.70.96 X: ]   .............................................................................................. ทั่นปะทานนี่  น่าหยิกแก้มด้วยจมูกซะจริง ๆ ผมขอเถียงแบบหัวชนตอว่า  ถ้ามี "ปัญญา" แล้วจะแถทำไม ไอ้ที่แถนั้นก็เพราะมันมีแต่ "ความรู้" และรู้ที่จะแถ  แต่ไร้ "ปัญญา" เรื่องภูมิปัญญาชาวบ้านนี่ "รู้"  มาก่อน  แล้วจึงตามด้วย "ปัญญา"  ปัญญาในการนำความรู้มารับใช้ปัญญา  ปัญญาในการนำความรู้มาแตกกอต่อยอด ประเภทรู้แต่ไร้ปัญญา  ก็คือรู้ที่จะเชื่อ  แต่ไม่เชื่อที่จะรู้  (เช่น โอ่ว่าจบปริญญาโทแล้วเชื่อว่าคน ๆ หนึ่งโกงบ้านเมืองไปเป็นแสน ๆ ล้าน  แต่ไม่ยอมที่จะรู้ว่าโกงยังไง แบบไหน)   รู้ที่จะใช้ความรู้เพื่อบิดเบือนความรู้และสร้างความเชื่อผิด ๆ   ฯลฯ อีกอย่างครับทั่นปะทาน  การศึกษาของเมืองสารขัณฑ์นี่มีระบบด้วยหรือครับ ผมว่ามันไม่มีระบบนะ  มันมีแค่รูปแบบเท่ ๆ เท่านั้นเอง  แถมเป็นการศึกษาแบบ "จำ" แบบ "จด"  มากกว่าการศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา ภูมิปัญญาชาวบ้านนี่ เป็นการศึกษานอกระบบจริงหรือ ? จบ  เมื่อย จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 4 มิ.ย. 52 08:54:46 A:125.26.235.4 X: ]

ความคิดเห็นที่ 60 คำตอบที่ต้องการในกระทู้นี้คือ 1. คุณต่อสู้เพื่ออะไร 2. เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร ตอบ : 1. คุณต่อสู้เพื่ออะไร >>  ผมต่อสู้เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง << ความต้องการของผม >> - สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายสูงสุดของประเทศ - การยอมรับ นับถือ ในความเป็นไทยเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าสิทธิและเสรีภาพจะถูกใช้/ใช้ได้เฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่มีฐานะ ทางสังคมเท่านั้น  สิทธิ์และเสียงของเราถูกตีค่า ตีราคาโดยบุคคลเหล่านั้น เราไม่ได้รับการยอมรับในความเท่าเทียมกันในสังคม คนอีสานเช่นเราที่ไม่ได้ เรียนสูงๆ ถูกบุคคลเหล่านั้นตราหน้าว่าเป็นคนโง่ รับใช้นักการเมืองเพื่อแลกกับ เศษเงิน 2. เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร -  ความต้องการต่าง ๆ ที่เอ๋ยไว้ข้างต้นได้รับการตอบสนองในระดับที่น่าพอใจ .........  เฮ้อ ..เหนื่อยเหมือนกันกับการประดิษฐ์ถ้อยคำสำนวนเนี่ย...... หวังว่าคุณครูคงให้คะแนนสงสารเยอะๆนะครับ ชอบ คคห. ของคุณรองเมืองมาก ขอบคุณนะครับสำหรับมุมมองดีๆ จากคุณ : หนุ่มเมืองเว - [ 4 มิ.ย. 52 13:38:25 A:125.26.180.194 X: ]

ความคิดเห็นที่ 61 "แบบของคุณน้องพรฯ ก็เป็นแบบหนึ่งที่ทำให้เรามาถกเถียงกันถึงการอยู่ร่วม กันอย่างสงบสุข ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นวาระอมตะที่ต้องถกเถียงกันไปตลอดความ เป็นมนุษยชาติในการที่จะอยู่กันได้อย่างสงบสุขสำหรับคนหลายพันล้านคน บนโลกใบนี้" ถูกต้องที่สุดค่ะ เพราะมนุษยชาติ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กฏและ สิทธิหน้าที่ของผู้คนในสังคม จึงต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยค่ะ นึกไปก้อถูกอีก ที่ว่าเราคาดหวังกับคนอื่น เรื่องนั้นจริงค่ะ เพราะเราถือว่า สังคมของเรานั้นไม่ได้มีเราเพียงคนเดียว ดังนั้นการคาดหวังว่า ผู้อื่นและ/ หรือผู้ใดก้อตามควรมีการยอมรับที่ตรงกันเสียก่อน สังคมจึงสามารถตั้ง กฏเกฑณ์ ที่สามารถครอบคลุมถึงความต้องการของผู้คนทั้งหมดได้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีการรู้สึกผิดพลาดค่ะ นั้นหมายถึง ว่า คนผู้นั้น ไม่ได้มีความต้องการด้านอื่นมากนัก (อาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ ว่า พอเพียงแล้ว) นั่นทำให้คนเหล่านั้นมีเวลาที่จะค้นหาความหมายของสิ่ง ต่างๆในโลกต่อไป เหมือนที่คุณรองเมืองว่าไว้ว่า "เวลา" มีมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับความต้องการของตนเอง เมื่อละความต้องการด้านอื่นๆ แล้ว ความ ต้องการด้าน sellf extreme นั่นจะตามมาเอง และไม่มีวันหมดด้วย เพราะ เกิดขึ้นจากภายใน การคาดหวังกับสังคมวงกว้างแบบที่คุณเห็นเราเป็นนี่แหละ เป็นแรงผลักดัน จากภายในของเราเช่นกัน คาดหวังได้ค่ะ แต่คงไม่ผิดหวังถ้ามันไม่เป็นดั่งที่คาด.. คงต้องใช้เวลาเป็นหมื่นๆปีน่ะหรือ.. เราว่า อาจจะมากกว่านั้น ถ้าทฤษฏีของ sir Isacc Asimov เป็นจริง การพัฒนาการของมนุษยชนครั้งนี้ เรามองว่าเป็น การเสือมถอยเสียแล้ว เห็นได้ว่า จากหนังหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น โดราเอ มอน หรือคนเหล็ก ต่างพูดไว้ว่า ศวรรษที่ 20 นี้ จะมีเรื่องเป็นไปไม่ได้มาก มาย ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดของมวลมุษยชาติ แต่ความเป็นจริงแล้วมัน ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แค่คแมพิวเตอร์เร็วขึ้น ถูกลง เท่านั้นเอง ไม่แน่ การ พัฒนาของมนุษยชาติครั้งนี้ ยังไม่ก่อให้เกิดการก้าวกระโดด.. ยังต้องเสื่อม ก่อนแล้วจึงกลับมาเจริญใหม่อีกครั้ง คงต้องใช้เวลามากกว่าหมื่นปี(แสง) ด้วยซ้ำ (อ้างอิงความเห็นจาก สถาบันสถาปนา The foundation) เพื่อนๆ หาอ่านเอานะ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ โอ้ ชักเบี่ยงไปไกล.. แต่ประเด็นเดียวกันคือ ความคาดหวังในการพัฒนาที่ ก้าวกระโดดของมวลมนุษยชาติ สรุปว่า หนังสือ หรือการศึกษานั้นช่วยให้ผู้คนมีความคิดเห็นไปในทางเดียว กันได้ ถ้าการศึกษานั้น มีระบบมากพอ เราเองต้องขอยอมรับว่า ชื่นชมนายก คนปัจจุบันพอสมควร เมื่อได้ยินว่า ท่านจะรับผิดชอบดูแลเรื่องการศึกษา ด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด เห็นแต่ออกมาลด แลก แจก แถม เหมือนทำ โปรโมชั่นกันอยู่เท่านั้น แต่ตัวโปรดักส์เอง หรือระบบการศึกษาเอง ไม่ได้มี การดูแล หรือขัดเกลาเลย อีกทั้ง หลักสูตรการเรียนของเด็กสมัยนี้ก้อไม่ได้ เรื่องเลย ขอบอก (เหมือนที่เคยมีพี่ๆ หลาบคนในนี้ วิจารณ์เรื่องหลักสูตรกัน ไปแล้วบ้างหลายคน) ----------------------------------------------------------------- คุณ หนุ่มเมืองเว เราไม่ใช่นักจิตวิทยาหรอกนะ แต่บางครั้งชอบวิเคราะห์เจาะลึกถึงความคิด คน คนหลายคนนั้น มีความต้องการพื้นฐานของเราเองอยู่ แต่บางคนเลือกที่ จะถาม "ชาวบ้าน" ก่อนว่า เธอจะเอาอะไร ฉันจะเอาด้วย ซึ่งตรงนี้แหละ เป็น สิ่งที่เป็นปัญหาของการต่อสู้ แต่ในอีกขณะหนึ่ง ก็มีอีกพวกหนึ่งซึ่งพยายามทำให้เราเห็นว่า เค้านี่แหละ เล็งเห้นถึงความต้องการของเรา และพยายามให้เราเข้าไปเป็นแนวร่วมของ เขา หากเป้าหมายของแกนนำเด่นชัด และไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะาเราไปสู่ เป้าหมายได้ แต่หากแกนนำนั้นๆ มีนัยซ่อนเร้นระหว่างการต่อสู่ล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร บางคนอาจจะคิดว่าก้อเลิกสิ ไม่ตามต่อ แต่ถ้าเจอเขา "จูง" ใจขึ้นมาอีก ก้อ จะไปเป็นแนวร่วมให้เค้าอีก แบบนี้ไม่เลิกรา เราจึงอยากที่จะให้เพื่อนๆ ช่วยกันคิดว่า ตัวเองนั้นมีวัตถุประสงค์ และเป้า หมายที่ชัดเจนเด่นชัดแค่ไหน พูดตรงๆว่า หากคุณบอกว่าทำเพื่อตัวเองแล้ว คุณจะเข้าไปเป็นแนวร่วมของผู้อื่นเพื่ออะไร ?? เพื่อตัวเอง ?? ก้อพายเรือกัน อยู่ในอ่านนี่เอง ไม่ได้ไปไหน ไม่ต้องประดิษฐ์คำสวยๆ หรอกค่ะ อิอิ แค่เอาจริงๆเท่านั้นเอง บางคนที่ บอกว่าออกไปร่วมกับม๊อบทุกครั้งน่ะ ไม่มีเป้าหมายแน่ชัด ยังมีเลยค่า.. สา อะไรกับคนที่ไม่เคยไปเลยเช่นเรา 5555 หากเป้าหมายของคุณคือ สิทธิและเสรีภาพ.. ขอถามว่า เมื่อคุณพบการ ตัดสินที่ไม่มีมาตรฐาน คุณจะทำเช่นไรคะ??? แต่ถ้าเป้าหมายคือตัวเอง ก้อแน่ชัดค่ะว่า เราทำได้ คนอื่นอีกเรื่อง ฉะนั้น เราถือว่าคุณตอบผิดนะ.. คิดใหม่ดังๆ สิว่า เราทำเพื่ออะไร ??? ชอบความคิดของคุณรองเมืองเช่นกัน และยินดีมากที่ได้เปิดโลกทัศน์ เห็นด้วยกับความคิดหลายๆ อย่างของคุณ แต่ไม่สามารถร่ายรายละเอียด ได้ดีเท่าคุณ ดีใจที่เพื่อนๆหลายคนได้อ่าน และเห็นสอดคล้องตาม ขอบคุณนะคะ ------------------------------------------------------------------------ นช. ตระกองขวัญ บังอาจบอกว่าครูไม่ถืก หรือคะ ปัญญาน่ะ มีไว้รู้ พวกที่รู้โดยไม่มีปัญญาน่ะ เค้าเรียกว่า จำได้ หรือ เคยชิน หรือ ความชำนาญ สมุนไพรไทยหลายๆ อย่าง มาจากปัญญา จึงถูกเรียกว่า "ภูมิปัญญา" ไงคะ แต่ ภูมิปัญญานั้นๆ จะถูกบรรจุลงในการศึกษาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า มีหลัก การและมาตรฐานแค่ไหน จริงป่ะ ? ตรงนี้แหละ ถึงจะต้องการผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาตรอง อย่างคุณน่ะ ถ้าแถอย่างมีหลักการแล้วล่ะก้อ ถือว่า เป็นผู้มีปัญญาความรู้ แต่ถ้าไม่มีหลักการล่ะก้อ.. เค้าเรียกว่า ปัญญาท่วมหัว เอาตัวไม่รอด :P อยากเป็นแบบไหนคะ ??? จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 4 มิ.ย. 52 18:29:48 A:58.9.65.83 X: ]

ความคิดเห็นที่ 62 นช. ตระกองขวัญ บังอาจบอกว่าครูไม่ถืก หรือคะ ปัญญาน่ะ มีไว้รู้ พวกที่รู้โดยไม่มีปัญญาน่ะ เค้าเรียกว่า จำได้ หรือ เคยชิน หรือ ความชำนาญ สมุนไพรไทยหลายๆ อย่าง มาจากปัญญา จึงถูกเรียกว่า "ภูมิปัญญา" ไงคะ แต่ ภูมิปัญญานั้นๆ จะถูกบรรจุลงในการศึกษาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า มีหลัก การและมาตรฐานแค่ไหน จริงป่ะ ? ตรงนี้แหละ ถึงจะต้องการผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาตรอง อย่างคุณน่ะ ถ้าแถอย่างมีหลักการแล้วล่ะก้อ ถือว่า เป็นผู้มีปัญญาความรู้ แต่ถ้าไม่มีหลักการล่ะก้อ.. เค้าเรียกว่า ปัญญาท่วมหัว เอาตัวไม่รอด :P อยากเป็นแบบไหนคะ ??? จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก    - [ 4 มิ.ย. 52 18:29:48 A:58.9.65.83 X: ] ................................................................................................ ผมว่าคุงคูกำลังหลงป่านะเนี่ย ผมเถียงคุงคูว่า 1. ถ้ามีปัญญาแล้วจะแถทำไม   2. เรื่องสมุนไพรนี่ มันต้องรู้ พอรู้ว่าอะไรกินตายไม่ตาย (ก่อนรู้ก็คงตายไปเยอะแระ) แล้วจึงเกิดปัญญาว่าจะเอาไปใช้อย่างไร (ส่วนใครที่รู้แล้วไม่เกิดปัญญาก็ช่วยไม่ได้ เช่น เลือกพรรคนี้แล้วมันเก่งแต่บริหารการเมือง บริหารบ้านเมืองไม่ได้เรื่อง ก็ยังเลือกอยู่นั่น) พูมปันยานี่มันก็มีหลายระดับ  บางคนรู้น้อยแต่ปัญญามาก เพราะ "รู้เป็น"  บางคนรู้มากปัญญาน้อย เพราะ "รู้ไม่เป็น" 3. ผมว่าปัญญานี่ต้องมาหลังสุดนะ ไม่ใช่จะเกิดปัญญาก่อนแล้ววิ่งหาความรู้ ประเภทรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดนั้น ก็เพราะรู้แบบจำ ไม่ใช่แบบแตกกอต่อยอด  อย่างที่ปูอภิมหาวัฒน์ว่าไว้ มีแต่รู้แบบจำเขามา ลอกเขามา เอาความคิดและประสบการณ์คนอื่นมาทั้งนั้น  ตัวเองไม่เคยที่จะเรียนรู้แล้วคิดใหม่เลย (แบบนายกฯ นกแก้วนกขุนทองของบางประเทศนั่นแระคับ) คุงคูฉับฉนป่าวคับ  ระหว่างควมคึดกับปันยา ถ้าเถียงมาอีก หล่อเอาจริงแน่ สิบอกไห่ จากคุณ : ตระกองขวัญ - [ 4 มิ.ย. 52 20:17:37 A:125.26.236.247 X: ]

ความคิดเห็นที่ 63 ทำไม  ยิ่งเขียนยิ่งยาว ขึ้นเรื่อยๆ พักทานไอติมตัดโบราณกันดีกว่านะ วันนี้ถูกหวยหุ้น  เลี้ยงไม่อั้น จากคุณ : กาแฟดำขม - [ 4 มิ.ย. 52 21:15:03 A:125.27.90.223 X: ]

ความคิดเห็นที่ 64 จขกท. หากเป้าหมายของคุณคือ สิทธิและเสรีภาพ.. ขอถามว่า เมื่อคุณพบการ ตัดสินที่ไม่มีมาตรฐาน คุณจะทำเช่นไรคะ??? แต่ถ้าเป้าหมายคือตัวเอง ก้อแน่ชัดค่ะว่า เราทำได้ คนอื่นอีกเรื่อง ฉะนั้น เราถือว่าคุณตอบผิดนะ.. คิดใหม่ดังๆ สิว่า เราทำเพื่ออะไร ??? ............................ >>  ผมต่อสู้เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง                         << ความต้องการของผม >>                         - สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายสูงสุดของประเทศ        .....................  สิทธิเสรีภาพของเรา (หมายความถึงคนอีสานบางส่วนเช่นผม) ได้รับการปฏิบัติจากภาคส่วนของรัฐแตกต่างออกไปเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งเมื่อเทียบกับ สังคมของเมืองกรุง  สิทธิและเสียงที่เราเลือกตัวแทนของเราเข้าไปทำหน้าที่ในสภากลับ ถูกปฏิเสธโดยใครก็ไม่รู้ ที่เรามองไม่เห็น  การแสดงออกทางการเมืองของเราโดนสื่อมวลชน และนักวิชาการบางส่วนมองว่าเป็นการรับจ้าง และถูกหลอกโดยผู้ได้ประโยชน์  เราตอบโต้ ผู้บุกรุกบ้านเมืองอันสงบของเราด้วยการกระทำที่เสมอภาคกัน แต่สื่อมวลชนกลับนำเสนอ เหตุการณ์เหล่าด้านเดียวว่าพวกเราป่าเถื่อน ... ผมจึงต้องการเรียกร้องสิทธิ์ของผม (และผมก็คิด ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็ต้องการเหมือนผมเช่นกัน) ............ ผมไม่สามารถบอกได้ว่า ... ทำเพื่อคนอื่น / คนส่วนมาก .... เพราะแม้แต่ความต้องการ ของผมคนเดียวยังไม่ได้รับการตอบสนอง ............. ความยอม รับ ความเท่าเทียมกัน  คือความต้องการเบื้องต้นที่เราควรได้จากสังคมเมือง สื่อมวลชน และนักวิชาการผู้กระหายอำนาจ .............. ความหมายของประชาธิปไตย เราเข้าใจ ไม่ต้องยัดเหยียด และเราก็เข้าใจดีด้วยว่า รัฐประหารนั้นเลวร้ายพอๆกับนักการเมืองที่ปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่โหยหาอำนาจการปกครอง มาครอบครอง ....... และแถมนิด  ตอนลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 50 จังหวัดของผม โหวตไม่รับมากที่สุด ของประเทศ ....  พอจะมองออกนะครับว่าผมอยู่ฝั่งไหน ........  ไม่ได้คะแนนไม่เป็นไร ขอแค่ได้คำติชมจากคุณครูก็สุขใจแล้วล่ะครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองเว - [ 5 มิ.ย. 52 13:29:31 A:125.26.180.114 X: ]

ความคิดเห็นที่ 65 ความคิดเห็นที่ 61   หนังสือ หรือการศึกษานั้นช่วยให้ผู้คนมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันได้ ถ้าการศึกษานั้น มีระบบมากพอ เราเองต้องขอยอมรับว่า ชื่นชมนายกคนปัจจุบันพอสมควร เมื่อได้ยินว่า ท่านจะรับผิดชอบดูแลเรื่องการศึกษาด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด เห็นแต่ออกมาลด แลก แจก แถม เหมือนทำโปรโมชั่นกันอยู่เท่านั้น แต่ตัวโปรดักส์เอง หรือระบบการศึกษาเอง ไม่ได้มีการดูแล หรือขัดเกลาเลย อีกทั้ง หลักสูตรการเรียนของเด็กสมัยนี้ก้อไม่ได้เรื่องเลย ขอบอก (เหมือนที่เคยมีพี่ๆ หลาบคนในนี้ วิจารณ์เรื่องหลักสูตรกันไปแล้วบ้างหลายคน) ......... "หนังสือ หรือการศึกษานั้นช่วยให้ผู้คนมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันได้" อันนี้ผมเห็นแย้งนะ โดยเฉพาะการศึกษาควรสอนให้คน "คิดเป็น" ซึ่งการคิดเป็นจะทำให้คนเรามีโอกาสคิดต่างกัน มนุษย์มีความซับซ้อนมาก การจัดการกับมนุษย์จึงต้องใช้ความรู้หลายๆด้านที่เรามีประกอบกัน โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์สาขาต่างๆ เช่น สายวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา มนุษยวิทยา สังคมวิทยา ปรัชญา ศาสนา เศรษฐศาสตร์ ซึ่งสาขาเหล่านี้จะมองเรื่องราวเดียวกันในแง่มุมต่างกัน การศึกษาของเราเน้นสอนให้จดจำความรู้แบบช่างเทคนิคในการทำงานสาขาต่างๆ อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้ว ภาครัฐมักจะพูดว่า แรงงานด้านนั้นด้านนี้ขาดแคลน การศึกษาก็จะไปทางนั้น ขยายจำนวนรับนักศึกษา อย่างเช่น วิศวะ เมื่อหลาย 10 ปีก่อน มีสอนไม่กี่มหาวิทยาลัย ปัจจุบัน มีสอนในหลายมหาวิทยาลัย นโยบายการศึกษาที่ผ่านมา จึงได้ "ช่าง" เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้มีนักคิดเพิ่มขึ้น เพราะเน้นผลิตคนป้อนเข้าตลาดแรงงาน เข้าออฟฟิศเข้าโรงงานหรือไซต์งาน มหาวิทยาลัยชั้นนำควรมีบทบาทสร้างนักคิด (เพราะมักจะได้นักศึกษาที่สติปัญญาสูงเข้ามาเรียน) แต่ที่เห็นกลับเป็นตรงข้าม สติปัญญามีแค่ร่วมลงชื่อเรียกร้องนายกฯพระราชทาน หนุนพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบยึดสนามบิน โจมตีชาวบ้านว่าโง่เลวที่เลือกผู้แทนที่เขาต้องการ แต่คนครึ่งค่อนประเทศก็ด่าพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยว่าไม่ประชาธิปไตย   นับจากกลางปี 2549 ถึงปัจจุบัน ประเทศเราตกต่ำลงไปมาก ไม่ใช่เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้มีส่วนอย่างมากด้วยไม่ใช่หรือ จะให้อภิสทธิ์มาดูแลการศึกษาหรือ ? เอาคนความคิดอ่านแบบพันธมิตรฯ แบบผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ว่ามาดูแลการศึกษาหรือ ? โธ่เอ๋ย ผมได้แสดงความเห็นในกระทู้หนึ่งว่า อภิสิทธิ์ ก็เหมือนนายกฯ ของพันธมิตรฯ เพราะความคิดอ่านคล้ายๆกัน แล้วจะเอาอะไรมาสอน เพิ่มหลักสูตรคุณธรรมจริยธรรมหรือ ? คิดได้เท่านี้อย่าพูดเรื่องการศึกษาเลย ผมว่านายกฯอภิสิทธิ์นี่แยก "ความเชื่อ' กับสิ่งอื่นไม่ออก เทียบแล้วเหมือนเอา ปริญญา เทวนฤมิตร หรือ สุริยะใส มาเป็นนายกฯ  คือ คิดและพูดไม่หนีไปไหนระหว่าง "ทำลายระบอบทักษิณ" "คุณธรรมจริยธรรม" "นักการเมืองคอรัปชั่น" จบ ความคิดอ่านของคนกลุ่มนี้คล้ายกันไหมล่ะ ......... จากคุณ : รองเมือง - [ 5 มิ.ย. 52 17:28:37 A:58.11.67.92 X: ]

ความคิดเห็นที่ 66 คห 64 คะ คุณ หนุ่มเมืองเว ทำเพื่อตัวเองค่ะ ทำได้เลย ไม่ต้องคิดมาก เราว่าใครๆ ย่อมคิดเป็นอย่างแรกอยู่แล้วว่า เพราะเราต้องการ ดังนั้นคนอื่นจึงต้องการด้วย เหมือนท่านคานธี ที่ถูกกดขี่ข่มเหง จึง ต้องออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง นั้นเป็นพื้นฐาน แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ การต่อสู้นั้นมมีผล กว้างขวางมากกว่าตัวเอง นั่นเป็นเพราะท่านมีแนวร่วม หรือผู้สนับสนุน นั่นเอง ถึงแม้จะพูดเรื่องภราดารภาพ หรือ สิทธิเสรีภาพ ย่อมไม่มีใครต่อสู้เพราะรู้สึกว่า ตัวเองมี มากเกินไปหรอกค่ะ หรือมีก้อ อาจจะน้อยมาก... และผู้นั้นอาจจะไม่ใช่นักต่อส้ แต่เป็นผู้ นำ เช่น ประธานธิปดี ที่ชื่ออะไรนะ ที่มีอยู่ในเรื่อง night at the museum ภาค 2 อ่ะ นั่นแหละค่ะ ดีแล้ว แต่ความจริงแล้วอยากให้มองให้ละเอียดว่า คำว่า เพื่อตัวเองนั้น ความ ต้องการที่แท้จริงคืออะไร บางคนบอกว่า ใครจะทำอะไร ขอให้ไม่เกี่ยวกะฉัน ฉันไม่เดือนร้อน ก้อทำไปสิ บางคนบอกว่า ฉันทำเพื่อนเธอนะ แต่ว่าไม่รู้ว่า เพื่อเธอจริงๆ นั้นเพื่อตัวเองทั้งสิ้น คำว่าทำเพื่ออะไรนั้นไม่ได้แปลว่า ทำเพื่อส่วนรวมเสมอไป หรือ.. ถ้าเราจะทำเพื่อส่วนรวม เราก้อทำไปสิ เช่นตอนนี้ เรางดใช้ถุงพลาสติก เราถือว่า เราต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม นั่นแหละ ประเด็น เพราะว่า เมื่อไหรก้อตามที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแล้วเราสนใจทั้งสิ้น แต่อย่างที่คุณว่า สิทธิเสรีภาพ น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย ป.ล. ไม่ได้คิดว่าใครข้างไหนทั้งสิ้นแหละนะ อย่างที่บอกว่า ชื่นชมนายก คนปัจจุบันก้อเหมือนกัน ไม่ได้ ยอเค้าเป็นพิเศษ แต่อยากจะบอกว่า เมื่อเค้าเข้า,า เราก้อเริ่มจากไม่มีอคติ อยู่แล้ว ถึงได้ บอกว่า เค้าพูดดี และนึกว่าจะทำได้ดีด้วย แต่ถึงตอนนี้ก้อยังไม่มีอะไรคืบหน้า อย่างไรก้อดี เราก้อ ไม่รับร่างเช่นกันค่ะ คุณรองเมืองใส่ซะหลายเลย.... เห็นด้วยว่า บางครั้งการศึกษาก้อไม่ได้ทำให้คนดินเหมือนกัน แต่การศึกษาเมืองไทย ต้องยอมรับว่าไม่ได้สอนให้คิด.. แต่ใครจะรู้ การที่ไม่ได้สอนให้คิดนั่นแหละดีแล้ว เพราะ เมื่อไหร่เด็กถูกสอนให้คิด เค้าจะมีระบบความคิดเป็นแบบแผนเดียวกัน (เพราะเค้าถูกสอน มาให้คิด) อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การสอนให้คิดไม่ได้ยากเลย เหมือนพวกคณิตคิดเร็ว สอนให้คิดแบบนี้ มันก้อเร็วได้เหมือนๆกัน แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 52 02:28:09 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 6 มิ.ย. 52 02:26:59 A:58.9.252.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 67 ความคิดเห็นที่ 66   แต่ใครจะรู้ การที่ไม่ได้สอนให้คิดนั่นแหละดีแล้ว เพราะเมื่อไหร่เด็กถูกสอนให้คิด เค้าจะมีระบบความคิดเป็นแบบแผนเดียวกัน (เพราะเค้าถูกสอนมาให้คิด) อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การสอนให้คิดไม่ได้ยากเลย เหมือนพวกคณิตคิดเร็ว สอนให้คิดแบบนี้ มันก้อเร็วได้เหมือนๆกัน ......... ผมกำลังค่อยๆอ่านกระทู้นี้อยู่ครับ [fallacy] คุณใช้เหตุผลอย่างเหมาะสมหรือไม่ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7930761/X7930761.html นี่เป็นตัวอย่างของ การ "คิดเป็น" มีทักษะในการแยกแยะ fallacy ในชีวิตประจำวัน เช่นในบ้าน ในการทำงาน ในการสังคมที่คนมาสังสรรสันทนาการกัน ลองคิดดูสิครับว่า สมมตินักศึกษาระดับปริญญาตรี มีทักษะทางตรรกะ ไม่ค่อย fallacy บ้านเมืองจะเจริญแค่ไหน แต่ก็เป็นไปได้ว่า ระบบการศึกษา ไม่เน้นการคิดในระดับ ป.ตรี แต่ไปเน้นในระดับ ป.โท และเอก เพราะการศึกษามันแฝงการจัด "ชั้นงาน" เอาไว้ด้วย หมายความว่า จบแค่ ป.4 เรียนน้อยมาก สิ่งที่เรียนมีน้อย ก็ได้งานที่ไม่ต้องใช้สมองมาก จำพวกใช้แรงงาน ถ้าจบแค่ ม.3 ถือว่ารู้ตัวหนังสือได้มากขึ้น งานก็อาจดีขึ้นมาอีกระดับหรือเป็นผู้ช่วยผู้คุมกลุ่มจบ.ป4 จบ ป.ตรี ทำงานในออฟฟิศในห้องแอร์ มีความรู้ทางเทคนิคที่ต้องใช้ปัญญา จบ ป.โท ได้งานที่มามาเป็นหัวหน้ากลุ่มจบ ป.ตรี การศึกษาของป.โท เข้มงวดมากขึ้น ผลการศึกษาต้องดีมาตลอด ได้เกรด B ขึ้นไปมาตลอด ทดสอบความรู้รายคน ระดับ ป.เอก เรียนถึงยอดความรู้ มีศักยภาพในการสร้างความรู้ใหม่ จัดเป็นส่วน "มันสมอง" ของสังคม ที่พูดมานี้ ไม่ได้หมายถึงว่า พวกเราถูกกำหนดคุณภาพจากการศึกษาอย่างตายตัว "ชั้นงาน" ก็คล้าย "ชนชั้น" ที่คนเราสามารถขวนขวายไต่ชั้นกันได้ โดยการเรียนต่อ (ถ้าเกรดถึง) หรือทำงานยาวนานมีประสบการณ์จนเชี่ยวชาญเอกอุ ซึ่ง อาจมีการออกวุฒิบัตรแบบพิเศษรับรองคุณวุฒิเทียบเท่า ป.เอก หรือ จัดเป็นระดับมันสมองในความรู้ความสามารถบางด้าน เช่น ศิลปินแห่งชาติ แต่การศึกษาของเรา ทำได้แบบนี้ไหม ? อาจงอาจาน ม.ดัง เป็น "ทาส ASTV" ซึ่งเป็นแหล่งผลิต fallacy มหาศาล แพทย์ไทยไม่น้อยก็ ทาส ASTV เปิด ASTV ในโรงพยาบาล นายกฯ พันธมิตรฯ (มาร์ค) ก็แนวคิดแบบ ASTV แล้วจะหวังอะไรกับการศึกษา การสอนคิด ก็เพื่อให้คิดอย่างอิสระ เพื่อคิดไปถึงสิ่งที่ไม่เคยคิด เช่น กาลิเลโอ คิดแหกไปจากความคิดคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าโลกแบน การคิดเป็นทำให้คนที่คิดแบบเก่าไม่พอใจ ถึงขั้นจะฆ่าจะแกง นี่แหละ การคิดเป็นทำให้เกิด ความคิดต่างที่เราอาจไม่พอใจหงุดหงิดโกรธ การสอนให้คิดเหมือนสอนให้คนมาเถียงเรา จึงถามว่า จะจัดการศึกษาเพื่ออะไร หากเพื่อจัด "ชั้นงาน" ก็ไม่ต้องคิดเป็น แต่ถ้าจะ สร้างปัญญา ให้สังคม ก็ต้องพูดว่า ต้องมี "ใจที่ใหญ่" ที่จะสอนให้เด็กรู้จักเถียงเราอย่างมีคุณภาพ คืออย่างน้อยไม่เถียงแบบ fallacy ......... จากคุณ : รองเมือง - [ 6 มิ.ย. 52 09:25:49 A:58.8.181.40 X: ]

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณ คุณ รองเมือง ที่เอากระทู้ดีๆ มาให้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกขอบคุณเลยว่า เนี่ย เป็นสิ่งที่คนเป็นกันอยู่จริงๆ และเราทุกคนเองอาจจะเป็น แบบนั้นได้ในบางโอกาส การอ้างเรื่องตรรกะเนี่ย สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่มาพิสูจน์ตรรกะ หรือก้อคือเหตุผลต่างๆ นั่นเอง (เอ พูดแบบนี้ เลยทำให้คิดว่าเป็น fallacy กะเค้าด้วยหรือเปล่า :P) อย่างที่เป็นที่ถกเถียง กันในกระทู้มหากาพย์ นั่นเอง เอ.. เพราะคุณ รองเมืองไม่เคยบอกว่า เห็นด้วยจึงชี้แจง หรือ ไม่เห็นด้วยจคงชี้แจง แต่ มาชี้แจงอย่างเดียว เลยไม่รู้ว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยตรงไหน เลยตอบไม่ค่อยจะถูกแฮะ แต่ไม่เป็นไร คำว่า เห็นด้วย ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจในการตั้งกระทู้หรือการตอบคำถาม เปลี่ยนไป แต่อาจจะทำให้ตอบได้ไม่ตรงประเด็นก้อเป็นได้ แต่ในใจลึกๆ ยังคงคิดว่า เพราะการใช้เหตุผล ที่ไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลนี่แหละ ทำให้เกิด ความขัดแย้งขึ้นมากมาย และการใช้เหตุผลโดยที่บรรทัดฐานต่างกันนั้นเอง ทำให้เกิด เป็น fallacy ในลักษณะต่างๆ กัน โดยจะเห็นว่า การเกิด fallacy นั้น ผู้ให้เหตุผลเอง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ฉะนั้น ผู้ที่น่าจะเข้ามายุติไกล่เกลี่ยปัญหา เหล่านี้แก่สังคมได้ น่าจะเป็นพวกนักวิชาการ ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับ แต่เป็นพวกที่ทำหน้าที่ตอบคำถามของ สังคมจริงๆ อย่างเช่น เมื่อมีกระแสข่าวว่า ชาเขียวมีคุณสมบัติอย่างนั้น อย่างนี้ ก้อจะมีศูนย์วิจัย หนึ่งๆ ทำการพิสูจน์และแถลงว่า เป็นจริง และประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน เพื่อเป็นการลด การขัดแย้งต่อสังคมว่า ชาเขียวลดมะเร็งได้จริง หรือแค่เป็นการโฆษณาเครื่องดื่มยี่ห้อ หนึ่งๆ เมื่อมีศูนย์พัฒนาและวิจัยที่สามารถพึงพาและอ้างอิงได้ ความขัดแย้งต่างๆ หรือความไม่ เข้าใจต่างๆ น่าจะลดลงได้หลายระดับ การให้เหตุผล หรือการหาเบื้องหน้าเบื้องหลังของข่าวสมัยนี้ เน้นไปที่ตัวบุคคลที่เป็นที่รู้จัก ของใครหลายคนเป็นหลัก การให้สัมพาษย์ หรือให้ข้อคิดเห็นของพวกเขาเหล่านั้นดูเหมือน จะเป็นเหตุผลหลักของการเชื่อของผู้คนในสังคม ด้วยเหตุผลข้อนี้เราเชื่อว่า การศึกษาน่าจะ เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหา สำหรับเราการศึกษาไม่ใช่การให้ความรู้ เท่านั้น แต่เป็นการ "สร้างกรอบความรู้" ควบคู่ เข้าไปด้วย การสร้างกรอบความรู้ ไม่ได้แปลว่า "จำกัด" ความรู้ให้อยู่ในวงแคบ แต่เป็น การ "สร้างรูปแบบ" ในการเรียนรู้ ซึ่งแน่นอน หากใครสามารถหลุดพ้นจากรูปแบบของการ เรียนรู้ได้ นั้นหมายถึงการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ เหมือนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น "น่าจะ" มาจากการที่บุคคลต่างๆเหล่านั้น รู้ถึง "รูปแบบ" ในสิ่งต่างๆ ค่อนข้างดีแล้ว จึงได้คิดหลุดออกจากรูปแบนั้นๆได้ แต่ความเป็นไปได้ต้อง อาศัยความเป็นอัจฉริยะ ส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ การสร้างรูปแบบของความคิด ก้อไม่ได้การันตีว่า ทุกคนจะสามารถคิดไปในทางเดียวกันได้ เหมือนกัน vise versa :) แต่"น่าจะ"ทำให้คนส่วนใหญ่ คิดไปในทางเดียวกันได้เท่านั้น เอง อย่างที่บอกว่า การศึกษา ไม่ได้สร้างปัญญา ที่แท้จริง เพราะปัญญาที่แท้จริงเกิดจาก การ เรียนรู้ เป็นส่วนใหญ่ เหมือนที่บอกว่า ชาวนาไม่เรียนหนังสือ ยังปลูกข้าวได้ นั่นคือความรู้ ของเขา แต่นักเรียน จะสามารถเรียนรู้วิธีปลูกข้าว และสามารถนำไปปรับปรุงเพื่อปลูกพันธ์ ไม้อื่นๆ ได้อีก นี่คืออีกความสำคัญหนึ่งของการศึกษา (ทั้งๆ ที่ในการปฏิบัติจริง นักเรียน อาจจะไม่สามารถปลูกอะไรได้ซักอย่างด้วยซ้ำ) แต่นั่นไม่ได้ถือว่า นักเรียนหรือชาวนาไม่มี ความรู้ไม่ใช่หรือ การบัญญัติคำ และการตีความหมาย ก้อเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการขัดแย้งอีกเช่นเดียวกัน อีนนี้ไม่รู้จะพูดอะไร เดี๋ยวประเด็นเบี่ยง ผ่านไปดีกว่า แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ในเมืองไทยยังคงอ้างอิงกันเป็นบุคคลอยู่ ตรงนี้สิ ไม่รู้จะแก้ไขกันไห้ อย่างไร นักวิเคราะห์ต่างๆ ที่ทำงานภายใต้กลุ่มงานของศูนย์ปฏิบัติงานเอง ก้อเหมือนกัน ไม่มีผู้ดูแลกันอย่างเด่นชัด หรือพูดง่ายๆ ว่า เอานักศึกษาเพิ่งจบเข้ามาทำงาน แบบเหมือน กับว่า ให้เป็นที่ฝึกงานอย่างไรอย่างนั้น โดยเมื่อทำงานได้จนเกิดความคิดที่ดีแล้ว ก้อจะ แยกตัวออกไปทำงานวิจัยเดี่ยว เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนแล้ว ก้อจบกัน คิดดูอีกที ถ้าคนไทยยังยึดติดอยู่กับตัวบุคคล คนทำงานก้อต้องยิ่งอยากได้ชื่อเสียงเป็นราย บุคคล อยู่แล้ว.. จริงป่ะ ฉะนั้น เราจึง "คิดว่า" การสร้างรูปแบทางความคิดเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่จะไปสร้างกันที่ไหนได้ ถ้าไม่ไปสร้างที่ รร. ซึ่งเป็นสถาบันนอกบ้านแห่งแรกที่มนุษย์ สังคมอย่างเราๆ ต้องมี แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 52 21:28:44 จากคุณ : น้องพรผู้น่ารัก - [ 6 มิ.ย. 52 21:23:00 A:58.9.230.96 X: ]