ความคิดเห็นที่ 1 ต่อ..... ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนคุณ LaL ว่า ในฐานะที่ผมเป็นคนเสื้อแดง คุณก็อาจจะคิดว่าผมเข้าข้างทักกี้ หรือแกนนำเสื้อแดง ก็แล้วแต่ แต่ในฐานะที่ผมเองก็เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนา เคยบวชเรียนจนได้นักธรรมชั้นเอก , ป.ธ. ๑-๒ ผมก็เชื่อมั่นว่าผมมีความรู้ทางพระพุทธศาสนา และเป็นนักปฏิบัติธรรม นักศึกษาธรรมคนหนึ่ง ไม่ด้อยไปกว่าคุณ LaL แน่ๆ และผมได้พิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้วว่า แนวทางของคนเสื้อแดงนั้น ผมเชื่อว่าไม่ได้เป็นไปโดยความเป็นอกุศลธรรม ในกระทู้นั้น ผมเองก็อยากจะเชื่อว่าคุณต้องการนำเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเรื่องกรรม การตัดกรรมมาลง  อันนี้ผมไม่มีความเห็นแย้งใดๆ เพราะผมก็เชื่อในเรื่องกรรมเหมือนกัน เพียงแต่คุณ LaL มีข้อด้อยตรงที่ เวลาที่พี่น้องเสื้อแดงถามถึงเรื่องคนเสื้อเหลือง หรือเรื่องอื่นๆบ้าง คุณก็จะพูดประโยคเดิมซ้ำๆกันมากเกินไป อย่างเช่นว่า น.ช. (นักโทษชาย) แกนนำเสื้อแดง ทำผิด ทำชั่ว ทำเลว อะไรต่างๆเหล่านั้น มาพูดย้ำซ้ำๆซากๆ จนเหมือนกลายเป็นแผ่นเสียงตกร่อง คือโดยความเป็นจริงแล้ว ผมก็เข้าใจว่าคุณเป็นคนเสื้อเหลือง หรือเอาแบบไม่มีอคติ ก็บอกได้ว่าคุณไม่ได้เห็นด้วยกับคนเสื้อแดง คุณจึงมีอคติหรือความรู้สึกในทางไม่ดีต่อทักกี้ หรือแกนนำเสื้อแดง บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งผมไม่แปลกใจ แต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า ในความเห็นว่าคนเสื้อแดง แกนนำเสื้อแดง หรือทักกี้จะทำชั่วทำเลวอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อพี่น้องเสื้อแดงถามกลับว่า เคยนึกตำหนิกลุ่มคนปิดสนามบิน กลุ่มคนยึดทำเนียบ กลุ่มคนปิดทางเสด็จพระราชดำเนิน คนเดียรถีย์อย่างสันติอโศกบ้างหรือไม่ คุณก็ตอบเลี่ยงๆไปเป็นส่วนมาก หรือพยายามจะไม่พูดถึงเอาเสียเลย ซึ่งความจริงแล้ว "ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีแบ่งแยกว่าใช้กับฝ่ายตัวเองเท่านั้น หรือใช้ยกย่องหรือตำหนิกับฝ่ายตัวเองเท่านั้น" พุทธศาสนสุภาษิตจึงมีอยู่บทหนึ่งว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคะหารหัง (ขออภัยถ้าพิมพ์ผิด เนื่องจากพิมพ์ตามความทรงจำครับ)  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ข่มคนที่ควรข่ม ดังนั้น ผมเห็นว่าถ้าหากคุณ LaL จะได้กล่าวตำหนิกลุ่มคนที่ทำชั่วทำเลวในฝั่งคนเสื้อเหลืองบ้าง เช่นเดียวกับกล่าวตำหนิการกระทำชั่วเลว ในฝั่งพี่น้องเสื้อแดง ผมเองก็คงยอมรับได้ เพราะนั่นเป็นการกล่าวโดยใจเป็นธรรม ต่อข้อซักถามที่คุณถามถึงเรื่องเมษาเลือดบ้าง สงกรานต์เลือดบ้าง นั้น ผมก็ต้องเรียนว่า ผมไม่เคยเห็นด้วยกับความรุนแรงทุกชนิด ไม่ว่าจะมาจากการกระทำของคนกลุ่มไหนๆก็ตาม ถ้าหากมาจากพี่น้องเสื้อแดง "จริงๆ" ผมก็ย่อมตำหนิ และถ้าหากมาจากพี่น้องเสื้อเหลือง "จริงๆ" ผมก็ย่อมตำหนิ เช่นเดียวกัน เพียงแต่กรณีต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น พี่น้องเสื้อแดงเองก็สงสัยว่า ตกลงมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยพี่น้องเสื้อแดงจริงๆ หรือการจัดฉากของใครหรือไม่? ซึ่งในขณะนี้ทั้งความผิดกรณีเผารถเมล์ก็ตาม ความผิดกรณีรถแก๊สก็ตาม ก็ยังไม่มีการสั่งฟ้องหรือสอบสวนหาข้อเท็จจริง จะมีบ้างก็กรณีของการปะทะของพี่น้องเสื้อแดงกับเสื้อน้ำเงิน เรื่องที่พัทยา ซึ่งก็ยังอยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูลอยู่ และเรื่องของแกนนำเสื้อแดงที่ถูกจับไปควบคุมตัวไว้หลายวัน ซึ่งก็คงจะสามารถบอกได้ว่า ได้รับโทษตามกฏหมายในเบื้องต้นไปแล้ว (ในขณะที่แกนนำเสื้อเหลืองเอง แม้แต่จะเข้าไปอยู่ในคุก อย่างมากก็ไม่ถึง ๓ วัน แถมยังลอยนวลออกมาชี้ผิดชี้ถูกใครต่อใครกันได้อยู่อีก) และขณะนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างการประกันตัว ก็ขึ้นอยู่กับว่าการดำเนินการต่อไป จะเป็นอย่างไร ถ้าหากคุณ LaL จะมีใจเป็นธรรม และมองทุกสิ่งด้วยใจเป็นธรรมแล้ว ก็คงจะมองออกว่า ตกลงกฏหมายยังเป็นไปโดยยุติธรรมหรือเปล่า? สำหรับเรื่องของเวรของกรรมนั้น ผมเชื่อมั่นตามหลักทางพระพุทธศาสนา ซึ่งคุณเองก็เชื่อเช่นเดียวกัน เท่าที่ผมอ่านดู แต่คุณจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครต่อใครนั้น เช่นเรื่องที่เกิดกับทักกี้ ว่าต้องพรากลูกพรากเมียบ้าง อยู่ในประเทศไม่ได้บ้าง หรืออะไรต่างๆบ้าง จะเป็นเรื่องของกรรมฝ่ายอกุศลกำลังให้ผลนั้น ก็ต้องขอถามว่า "คุณไปมีอำนาจฤทธิ์อะไรไปรู้ว่า เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ มาจากกรรมส่วนไหน กรรมในชาติไหน มาจากกรรมอะไรบ้าง?" เรื่องของการได้รับผลที่ไม่ดีนั้น จะไปบอกว่ามาจากกรรมเก่าอย่างเดียว ต้องบอกว่านั่นผิดหลักพระพุทธศาสนาครับ หลักทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้ถือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุคคลนั้น มาจากกรรมจากชาติก่อนอย่างเดียว แต่มีมาจากกรรมชาตินี้บ้าง มาจากกรรมปัจจุบันบ้าง หรือมาจากความประพฤติที่ผิดพลาดบ้าง ซึ่งแม้จะไม่ใช่อกุศลกรรม แต่อาจเป็นการประพฤติที่ผิดกาล ผิดเวลา ก็ให้ผลในทางไม่ดีบ้าง ถ้าหากจะบอกว่า เพราะกรรมๆ เพียงอย่างเดียว อย่างนั้นพระพุทธศาสนาเรียกว่า เป็นพวก "ลัทธิกรรมเก่า"  เพราะเรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน จะไปบอกว่า นั่นเพราะกรรม นี่เพราะกรรม ก็กล่าวไม่ถูกทั้งหมดครับ เหมือนอย่างว่า คุณ LaL เห็นคนกำลังกินเหล้า ผิดศีลข้อที่ ๕ อยู่เห็นๆ แล้วคุณไปพูดว่า "เฮ้ย เจ้าคนชั่ว กินเหล้าไม่ดีนะ ผิดศีล ๕"  แล้วถูกคนที่กำลังกินเหล้าอยู่นั้น บันดาลโทสะ เอาขวดเหล้าตีกบาลจนหัวแตก เลือดอาบ แล้วมีคนบอกว่า "เห็นไหม นี่เพราะผลกรรมชั่ว" คุณก็คงจะรำพึงว่า "โธ่เอ๋ย เราอุตส่าห์ทำความดี ตักเตือนคนทำชั่วให้เลิกทำความชั่ว กลับถูกทำร้าย" ถามว่า เป็นอย่างนั้นได้ไหม ตอบว่า ไม่ได้ครับ เพราะคุณแม้จะประกอบกรรมดีจริง ตักเตือนผู้ประพฤติชั่ว แต่คุณทำผิดกาล ผิดเทศะ ผิดเวลา ผลมันจึงตรงกันข้าม เอาเป็นว่าเรื่องกรรมนี่ขอข้ามไป ถ้าหากคุณจะมีความเห็นอื่นก็โต้แย้งหรือสอบถามมา ประเด็นต่อไป เกี่ยวกับเรื่องของข้อความบาง้ข้อที่คุณอ้างมาผิด ผมก็ต้องชี้แจงเพิ่มเติมนะครับ เรื่องแรก คุณได้ตอบข้อความของคุณ the zombie เกี่ยวกับเรื่องมารไม่มี บารมีไม่เกิด นั้น  ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้าใจคำนี้แค่ไหน แต่คุณก็อ้างกรณีของพระพุทธเจ้าตอนผจญพญามาร ซึ่งก็บังเอิญว่า เป็นเรื่องที่ผมกำลังสอนนักเรียนในชั้นผม ตอนนี้อยู่พอดี  ก็เอาเป็นว่าผมขออนุญาตเป็นอาจารย์ และกำลังอธิบายให้คุณทราบ คงไม่เกินไป คุณได้พูดใน ความคิดเห็นที่ 9 ว่า -----------------------------------------  ความคิดเห็นที่ 9     คุณ : The Zombie อย่าไป"ยึดติด"เรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง ให้มากนักเลยครับ กิเลสทั้งนั้นนะครับ มีแต่ทำให้เกิด"การปรุงแต่ง" ฯลฯ ละ-วางไว้บ้าง  ก็น่าจะเป็นผลดีต่อตนเองนะครับ "มาร" น่าหมายถึง "ความไม่ดี" "บารมี" น่าจะหมายถึง "ความดี" "มารไม่มี บารมีไม่เกิด" น่าจะหมายถึง "พุทธประวัติ" ที่กล่าวถึง ตอนที่พระพุทธองค์ ชนะ"พญามาร" ช่วงก่อนจะตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" พญามาร ให้ลูกสาว 3 ตน (โลภ  โกรธ หลง) มาทำลายการ "ตรัสรู้" แต่ก็พ่ายแพ้ต่อ "แม่พระธรณี" ที่บันดาลให้มีสายน้ำ(ที่พระองค์เคยสั่งสม กรวดน้ำมามากมายในชาติก่อนๆ) พัดพาลูกสาวพญามารทั้ง 3 ให้หายไป จากคุณ : Learn and Live ----------------------------- ก็ต้องขอบอกว่า ผมทึ่งว่าคุณได้พูดถึงการละวางความยึดมั่นถือมั่น ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการปรุงแต่ง อันจะเป็นไปในทางก่อให้เกิดความอยาก เกิดตัณหา ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปบาท ฯ  ซึ่งขอเรียนว่า ถ้าคุณสามารถละวางได้ดังที่สอนคุณ เดอะซอมบี้ ผมต้องขอกราบเลยครับ เพราะระดับที่จะละวางความถือมั่นใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ได้เนี่ย ต้องถือว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมในระดับที่สูงมากครับ เอาเถอะเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือคุณพูดถึงการผจญมารของพระพุทธเจ้า โดยเล่าว่า (ขอยกข้อความมาอีกที) ----------------------------------------- ตอนที่พระพุทธองค์ ชนะ"พญามาร" ช่วงก่อนจะตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" พญามาร ให้ลูกสาว 3 ตน (โลภ  โกรธ หลง) มาทำลายการ "ตรัสรู้" แต่ก็พ่ายแพ้ต่อ "แม่พระธรณี" ที่บันดาลให้มีสายน้ำ(ที่พระองค์เคยสั่งสม กรวดน้ำมามากมายในชาติก่อนๆ) พัดพาลูกสาวพญามารทั้ง 3 ให้หายไป ----------------------------------------- ตอนที่"พระพุทธองค์" ชนะ พญามาร เนี่ย .. ยังไม่มีธิดามารมาเกี่ยวข้องนะครับ ขอให้ทราบไว้ด้วย และตอนนั้นจะเรียกว่าพระพุทธองค์ก็ยังไม่ได้ ควรเรียกว่า พระสมณะสิทธัตถะ หรือ พระมหาสัตว์ หรือ พระโพธิสัตว์ จะเหมาะแก่พระสถานะในขณะนั้นมากกว่า เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้ เรื่องราวของการผจญมารนี้ มีการเล่าไว้ในหลายลักษณะ บางท่านกล่าวไว้เป็นเชิงธรรมาธิษฐาน ว่า มารในที่นี้ หมายถึง กิเลสมาร ในใจของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้รำลึกถึงกิเลสฝ่ายต่ำที่มาล่อลวงให้นึกถึงความสุขทางโลก แต่พระองค์ได้ทรงชนะความนึกคิดเหล่านั้นได้ ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา พิจารณากองสังขาร จากสมาธิ เข้าสู่ปัญญา จนได้ตรัสรู้ธรรม แต่ในอีกลักษณะหนึ่ง กล่าวเป็นเชิงปุคคลาธิษฐาน ว่าถึงพญามาร วสวัตตี มาราธิราช ผู้ครองแดนสวรรค์ชั้นที่ ๖ ในฝ่ายมาร เกรงว่าพระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พ้นจากอำนาจของตน จึงได้เกณฑ์ไพร่พลมารและเสนามารหมู่ใหญ่ แม้ตัวพญามารเอง ก็ขึ้นสู่ช้างคีรีเมขละ ซึ่งมีกายสูงใหญ่หลายโยชน์ ได้มาประชิด ณ โคนโพธิบัลลังก์ ได้กล่าวสั่งให้พระโพธิสัตว์ลุกจากที่นั่งไปเสีย เพราะนี่เป็นบัลลังก์ของตน แล้วให้เสนามาร เป็นพยาน พระโพธิสัตว์จึงตรัสอ้างเอาทศบารมีเป็นพยาน แผ่นดินเป็นพยานแห่งบารมีธรรมของพระองค์ ก็เกิดอัศจรรย์เป็นรูปสตรีผุดขึ้น นามว่า วสุนธรา กล่าวถึงพุทธการกธรรมบารมี ซึ่งเป็นประดุจสายน้ำอันยิ่งใหญ่ ได้ถูกกักเก็บในมวยผมของตน (เนื้อหาตอนนี้บางแห่งก็มีการพูดถึงว่า ทุกครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์ได้กระทำบารมีธรรมในชาติใด ก็ได้หลั่งน้ำทักษิโณทกลงพื้นดินทุกครั้ง) และพระนางวสุนธราธรณี ได้บีบมวยผม บังเกิดเป็นสายน้ำใหญ่เป็นมหาสมุทรคลื่นยักษ์ ท่วมทับพลมารเสนามารทั้งหลาย แม้ช้างคีลีเมขละซึ่งมีกายสูงหลายโยชน์ ก็ไม่อาจพ้นจากมหาสมุทรแห่งบารมีธรรมนี้ พญามารพ่ายแพ้ต่อบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์ จึงได้กล่าวสรรเสริญ พระโพธิสัตว์โดยมีใจความโดยย่อ ว่า นมัสการพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนในสามโลก พระองค์จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ เป็นอันว่าไม่มีการพูดถึงธิดามาร ธิดามารมาตอนไหน?  ธิดามารมาหลังจากนั้นหลายสัปดาห์ครับ ธิดามารเข้ามาหาพระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้แล้ว อยู่ในขณะเสวยวิมุตติสุข ในสัปดาห์ที่ ๕ ที่ต้นอชปาลนิโครธ ธิดามาร คือ นางตัณหา  นางราคา  นางอรตี ได้เห็นบิดาของตนคือพญามาร เศร้าโศกที่พ่ายแพ้ต่อพระพุทธเจ้า จึงตั้งใจจะมาแก้มือให้บิดา โดยแสดงอาการยั่วยวนพระพุทธเจ้าต่างๆนาๆ โดยแปลงเป็นหญิงในวัยต่างๆ เช่น วัยเด็ก วัยรุ่น วัยสาว หญิงท้องแก่ หญิงคลอดแล้ว 2 ครั้งบ้าง 3ครั้งบ้าง หญิงวัยกลางคน หญิงชรา โดยหวังว่าพระพุทธเจ้าอาจจะชอบหญิงในวัยต่างๆเหล่านี้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระทัยใดๆ เพราะทรงหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาแล้ว ที่คุณบอกว่าธิดา 3 ตน คือ โลภ โกรธ หลง อาจจะบอกว่า เป็นความหมายของคำว่า ตัณหา ราคา อรตี ก็พอจะเข้ากันได้ แต่ถ้าใช้ชื่อที่ถูกต้องตามจริง จะดีกว่า ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณอาจจะจำชื่อของธิดามารไม่ได้ หรืออาจจะเดาสุ่มก็แล้วแต่ แต่คุณจำลำดับเหตุการณ์ผิดนะครับ ถ้าหากไปศึกษามาไม่กระจ่างไม่แจ่มแจ้ง หรือศึกษามาผิดๆ แล้วเอามายกมาอ้าง จะอันตรายต่อหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาครับ ถือเป็นการทำร้ายพระสัทธรรมนะครับ แต่ถ้าไม่มีเจตนาเช่นนั้น อาจจะเพราะจำผิดหรือจำมาพลาด ก็ไม่เป็นไร จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 02:14:27 A:58.9.51.130 X:

ความคิดเห็นที่ 2 เรื่องต่อไป ที่คุณอาจจะเข้าใจไม่ชัด หรือแม้จะอ้างพระสงฆ์ที่ได้อธิบายไว้ แต่ท่านก็ยังไม่เข้าใจถึงหลักจริงๆ ก็แล้วแต่ คือเรื่องพระเวสสันดร ------------------------------------------- เรื่องคำอธิบายที่ชัดเจน ในชาติสุดท้ายฯ พระเวสสันดร และการทำทานที่ยิ่งใหญ่ และตอบที่บางคนสงสัยได้ชัดเจน ผมเคยอ่าน ที่ท่าน ว.วชิรเมธี ได้อธิบายไว้ อ่านแล้วเข้าใจดี น่าจะประมาณนี้นะครับ (ผิดถูกต้องขออภัย) การทำทาน คือ การทำบุญที่ยิ่งใหญ่ เป็นอุปมา อุปไมยหมายถึงการสละแล้วทุกสิ่งปล่อย-วางทุกสิ่ง เพื่อการหลุดพ้น ภรรยาของพระเวสฯ ตามที่อ่าน มีเทวดา (พระอินทร์) แปลงกายมาขอ และถวายคืน ส่วนลูกทั้งสอง (กัณหา ชาลี) ที่ยกให้ "ชูชก"นั้น ในความเป็นจริง ชูชก ย่อมเดินทางผ่านเมือง ตา-ยาย ที่เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ก่อนถึงบ้านของชูชก   ดังนั้น ตา-ยาย ย่อมนำแก้วแหวน-เงินทองมาแลก หลานทั้งสองไว้ และภายหลังก็จะกลับคืนไปยัง พระเวสฯ และมารดา อยู่ดี ผมอาจเล่าได้ไม่ดี ผิดพลาดประการใด หรือมีสิ่งใดบกพร่อง ขอน้อมรับแต่ผู้เดียว จากคุณ : Learn and Live   --------------------------------------------- ก่อนอื่นผมต้องขออนุโมทนาครับว่า คุณจะน้อมรับความผิดพลาดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ผมว่าการทำเช่นนั้นไม่แก้ปัญหาครับ ที่ควรทำคือ ไปแก้ไขความเข้าใจ และแก้ไขข้อความเสียใหม่ให้ถูกต้อง สำหรับกรณีของพระเวสสันดร บริจาคบุตร และภรรยา เป็นทานนั้น แม้จะมองในสายตาของคนทั่วไปแล้วเป็นการใจร้าย ใจไม้ใส้ระกำ (จนถ้าอธิบายไม่ดี คนจะเข้าใจพระโพธิสัตว์ผิดๆ ซึ่งตอนนี้คุณ King hades เข้าใจผิดไปแล้ว) แต่โดยนัยที่แฝงอยู่นั้น เราจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์ได้ดีมาก ๑. เรื่องของการให้ลูกเป็นทาน (ขอพูดถึงเรื่องการมอบพระโอรสพระธิดาเป็นทานก่อน) นั้น เป็นหนึ่งใน ปัญจมหาบริจาค ของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญทานบารมีจะต้องฝ่าฟันไปให้ได้  ซึ่งในเรื่องก็คือ พระโอรสชาลี พระธิดากัณหา ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า "ไม่มีระบุไว้ในพระไตรปิฎก อรรถกถา" ใดๆเลยว่า พระโพธิสัตว์เวสสันดร หมายใจจะให้พระบิดาและพระมารดาของพระองค์ (ในที่นี้คือพระเจ้าสญชัย และพระนางผุสดี) ซึ่งเป็นพระเจ้าตาและพระเจ้ายายของพระโอรสธิดากัณหา ชาลี จะได้ไถ่ตัวเสีย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่า ทานบารมีนั้นไม่บริสุทธิ์ กอปรไปด้วยเสน่ห์เล่ห์กล ย่อมไม่อาจกระทำทศธรรมบารมีให้เต็มรอบ อันจะเป็นเครื่องนำข้ามพ้นวัฏสงสารได้ การบริจาคลูก อันเป็นประดุจแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ยิ่งทรงทราบว่า พระโอรสและพระธิดานั้น จะทรงได้รับความทุกข์ทรมานลำบากเพราะเหตุที่ชูชกพราหมณ์เฒ่า มีจิตใจหยาบช้าดุร้าย  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ด้วยทรงเห็นว่า หากความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารถสละได้ ไฉนเลย จะสามารถสละสิ่งที่ใหญ่หลวงกว่านั่นคือชีวิตของตนเองได้ และยิ่งไม่อาจจะสละความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์อันยิ่งคือการพามวลหมู่สัตว์ข้ามพ้นสงสารสาครแห่งวัฏฏ์ได้ด้วย เพราะเหตุนี้ เมื่อคราวจะบำเพ็ญบุตรบริจาค (ปุตตปริจาคัง) พระโพธิสัตว์เวสสันดรจึงตรัสกับพระกุมารกุมารี ซึ่งกำลังอยู่ในสระ ว่า "ขอให้ลูกจงเป็นประดุจยานนาวา พาพ่อไปถึงฝั่ง คืออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จงได้เป็นทานบารมีของพ่อด้วย" (เนื้อหาตามที่จำได้ ยังมีเนื้อหาเต็มกว่านี้ในเวสสันดรชาดก) ส่วนการที่ชูชกพาพระกุมารกุมารีมาถึงเมืองสีพี ของพระเจ้าสญชัยนั้น ก็ด้วยว่าเทวดาทั้งหลาย ปรารถนาจะให้พระกุมารกุมารีพ้นจากเคราะห์ภัยจากชูชก และด้วยเห็นว่า พระโพธิสัตว์เจ้าได้บำเพ็ญปุตตบริจาคอย่างบริบูรณ์แล้ว เทวดาจึงได้ปรารถนาจะช่วยคนดีๆ อย่างพระกุมารกุมารี จึงดลใจให้ชูชก เดินหลงทาง แทนที่จะกลับไปที่บ้านของตน ในหมู่บ้านทุณวิตถ์ (อาจพิมพ์ผิดนะครับ) กลับหลงทางมาถึงเมืองสีพีของพระเจ้าสญชัย ซึ่งชาวเมืองเห็นพระกุมารกุมารี ก็จำได้ว่าเป็นพระโอรสพระธิดาของพระเวสสันดร และเป็นพระหลานของพระเจ้าสญชัย จึงคิดว่าชูชกได้ลักพาพระกุมารมา ตั้งใจจะจับไปส่งให้ทางการ ปรากฏว่าพระเจ้ากรุงสญชัยทรงทราบ จึงได้ให้เรียกตัวมาสอบสวน เมื่อได้ทราบว่าพระเวสสันดรประทานพระโอรสชาลี พระธิดากัณหา มาจริง ก็รู้สึกสงสาร จึงขอไถ่ถอนพระหลานทั้งสองด้วยทรัพย์สินต่างๆ สรุปโดยรวมว่า การไถ่ถอนตัวพระกุมารนั้น ไม่ได้อยู่ในพระวิสัยหรือในพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นว่า พระโพธิสัตว์มีเล่ห์กล ไม่ได้มีจิตในการบริจาคปุตตทานจริง จึงขอให้เข้าใจเสียใหม่ ป.ล. พระโอรสชาลี ในชาตินั้น เข้าใจดีถึงน้ำพระทัยของพระบิดาคือพระเวสสันดร จึงไม่มีจิตผูกโกรธ ในชาติต่อมาจึงได้มาอุบัติเป็นพระราหุล โอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ  ส่วนพระธิดากัณหานั้น ยังเด็ก จึงไม่เข้าใจในพระบิดา จึงไม่พอใจ คิดว่าพระบิดาไม่รัก เป็นเหตุให้ในพระชาติต่อมา ไม่ได้เป็นลูก แต่ได้อุบัติเป็นพระนางอุบลวรรณาเถรี พระสาวิกาองค์สำคัญของพระพุทธเจ้า ๒. เรื่องการบริจาคภรรยาเป็นทานก็เช่นเดียวกัน พระเวสสันดรนั้นทรงทราบดีว่า การจะทำให้ทานบารมีบริบูรณ์ ยังเหลือแต่ "ทาระปริจาคัง" (ทารบริจาค หรือ การบริจาคภรรยา) ซึ่งในเรื่องนี้ ทรงตั้งพระทัยดีแล้วว่าจะบริจาคพระชายาคือพระนางมัทรี ซึ่งพระนางมัทรีเองก็ได้ทรงเข้าพระทัยและยินดีในการจะบริจาคของพระเวสสันดรอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของพระอินทร์นั้น ต้องทราบก่อนว่าพระเวสสันดรไม่ทรงทราบหรอกนะครับ ว่าพราหมณ์ที่มาขอพระนางมัทรีนั้นเป็นพระอินทร์แปลงมา เมื่อพราหมณ์พระอินทร์แปลงได้ทูลขอพระนางมัทรี พระองค์ก็ได้ยินดีสละให้เป็นทาน แม้พระนางมัทรีเองก็ได้รำลึกอยู่ว่า หากพระองค์จะเป็นเหตุให้พระเวสสันดรได้บรรลุจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ยินดีจะเป็นทาน ดังนั้นในเวสสันดรชาดก จึงมีคาถาของพระนางมัทรีตอนหนึ่ง ที่ทูลต่อพระเวสสันดร ว่า " หม่อมฉันผู้ยังเป็นสาว      เป็นเทวีของพระองค์ ท่านใด  พระองค์ท่านนั้นเป็นพระภัสดาเป็นใหญ่ของ หม่อมฉัน   พระองค์ท่านทรงปรารถนาจะพระราชทาน แก่บุคคลใด   ก็จงพระราชทานแก่บุคคลนั้น    หรือจะ พึงตายพึงฆ่าเสียย่อมได้." หลังจากนั้น เมื่อพระอินทร์ได้รับถวายพระนางมัทรีแล้ว ก็ได้กล่าวสรรเสริญในมหาทานบริจาคอันยิ่งของพระเวสสันดร และได้ถวายคืนพระนางมัทรี ซึ่งการทำเช่นนี้ของพระอินทร์ เพื่อให้พระเวสสันดร ไม่ต้องบริจาคพระนางมัทรีให้กับบุคคลอื่น ซึ่งอย่างไรก็ตาม ในการบริจาคพระนางมัทรีพระอินทร์แปลงนั้น ก็ได้ถือว่า มหาทานบริจาค คือ ทาระบริจาคได้บริบูรณ์แล้ว เมื่อได้ถวายคืนพระนางมัทรี ก็ได้กลับเพศเป็นพระอินทร์ดังเดิม แล้วได้ถวายพระพรแก่พระเวสสันดร ๘ ประการ  (เนื้อหาโดยพิศดารพึงหาอ่านได้จากเวสสันดรชาดก) สุดท้ายก็ต้องขอสรุปก่อนว่า พระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้มีจิตใจที่จะบริจาคหรือยกลูกยกเมียให้คนอื่นโดยไม่คำนึงถึงความลำบากของลูกเมีย แต่เพราะคำนึงว่า หากสิ่งเหล่านี้สละไม่ได้ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมไม่มีทางจะได้มา และพระองค์ทรงมองเห็นอยู่ว่า การได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่สรรพสัตว์ ไม่เพียงแต่แก่ครอบครัว แก่บุตรและภรรยาของพระองค์เท่านั้น เพราะเหตุดังนี้ พระพุทธเจ้า เมื่อทรงนำพระชาดกนี้มาตรัสเล่า ถึงเรื่องที่ทรงบำเพ็ญปุตตะทาระบริจาค จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า "  เราตถาคตเมื่อสละชาลีโอรส     กัณหาชินาธิดา   และมัทรีเทวีผู้เคารพต่อภัสดามิได้คิดเสียดายเลยเพราะ   เหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น   ลูกทั้งสองเป็นที่เกลียด   ชังของเราก็หามิได้    มัทรีเทวีไม่เป็นที่รักของเราก็หา   มิได้      พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า   เพราะฉะนั้น  เราจึงได้ให้บุตรธิดาและเทวีผู้เป็นที่รักเสีย." นั่นหมายความว่า ลูกและเมีย ย่อมเป็นที่รักของคนทุกคน ใครเลยจะสละลูกเมียได้  แต่หากมีสิ่งที่ใหญ่หลวงกว่านั้น ก็จำเป็นต้องสละทุกสิ่ง หรือแม้ชีวิตของตน ประดุจทหารกล้าผู้รักลูกและเมีย และปรารถนาจะออกรบเพื่อปกป้องไว้ซึ่งประเทศชาติ ก็จำเป็นต้องละจากลูกเมีย ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าลูกเมียไม่เป็นที่รัก แต่ประเทศชาติสำคัญกว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ใช่ว่า ลูกและเมียไม่เป็นที่รัก แต่พระองค์จำเป็นต้องสละเสีย เพื่อจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ คือทศธรรมบารมี อันเป็นอาวุธที่จะจับถือเพื่อก้าวลงสู่สมรภูมิอันใหญ่ คือการรบกับกองทัพพลมารและเสนามารทั้งหลาย เพื่อเข้าสู่ชัยชนะเหนือกิเลสมารทั้งปวง ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ---------------------------- ที่ผมพิมพ์มายืดยาวนี้ อาจจะนอกเรื่องไปบ้าง พูดมากไปบ้าง แต่ต้องขอเรียน คุณ LaL ไว้ ณ ที่นี้นะครับว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่แท้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าจะนำมาประหัตประหารหรือใช้เป็นเครื่องมือในการด่าว่าคนอื่น โดยมีจุดประสงค์แอบแฝง   จุดประสงค์หลักของพระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้น มีอยู่ที่ "เพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์และความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย" ไม่ใช่เพื่อวิวาทะ เพื่อหาข้อโต้แย้ง เพื่อกล่าวว่าร้าย หรือเพื่อยกตนว่าดีกว่าคนอื่น  แต่เพื่อชี้แจง แนะนำ เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ผมไม่ได้มีอำนาจญาณวิเศษ หรือฌานสมาบัติอะไรจะไปล่วงรู้ในใจของคุณหรอกครับว่า จุดประสงค์ในการยกธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า มาแสดง ของคุณนั้น มีจุดประสงค์เพื่อกล่าวกระทบกระเทียบคนอื่น เพื่อวิวาท หรือเพื่อบอกว่า ตนดี คนอื่นเลว หรือ ฉันดี แกเลว  เพราะถ้ามีใครบังอาจกระทำเช่นนั้น ถือว่าทำร้ายพระสัทธรรม เพราะนำ "สิ่งสูงค่า" มา "ทำให้ด้อยค่าด้วยการขว้างปาใส่ผู้อื่น" เหมือนกับการยกสถาบันสำคัญของชาติ มาขว้างปาใส่ผู้อื่นว่า ไม่จงรักภักดีนั่นเอง เช่นเดียวกัน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีฐานะประดุจน้ำทิพย์ที่ช่วยชำระจิตใจและการกระทำของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้บริสุทธิ์ ความงดงาม (กัลยาณ) ของธรรมนี้ จึงอยู่ที่ "เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนทั้งหลาย" แต่ไม่ใช่ "เป็นไปเพื่อการยกตนข่มท่าน เพื่อข่มขี่ผู้อื่น เพื่อใส่ร้ายผู้อื่น" ผมต้องขอเรียนนะครับ ฝากไปถึงทุกๆคนในห้องราชดำเนินนี้แหละครับ ว่า ผมไม่ได้เก่งเรื่องการเมืองเหมือนคนอื่นๆ แต่คุณธรรมความดีที่ผมได้สั่งสมอบรมมา และศีล สมาธิ  (ยังไม่ถึงปัญญาตัดสิ้นกิเลส แต่ก็พอมีปัญญาจากการอบรมมาบ้าง) ที่ได้รับการอบรมมา ของผม ก็พอจะมองออกว่า ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนไม่ดี โดยไม่ต้องมีการชี้นำสั่งการ หรือหลอกลวงจากใครๆ แต่ถ้ามีใครหน้าไหน ที่บังอาจนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็น"สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของผมและสิ่งสูงค่าที่สุดอันไม่มีอะไรมาเทียบได้" มาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อตี ประหัตประหาร หรือกล่าวข่มขีกระทบกระเทียบผู้อื่น หรือแม้แต่ กล่าวยกอ้างในทางที่ผิดๆ หรือเพื่อ "อย่าเถียงนะ นี่คำสอนของพระพุทธเจ้านะ" ผมเองก็เชื่อมั่นว่าความรู้ของผมที่ได้สั่งสมอบรมมา มีเพียงพอที่จะบอกว่า "นั่นผิด นั่นไม่จริง นั่นไม่ใช่คำสอนของพระบรมศาสดา" เหมือนกันครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 02:15:44 A:58.9.51.130 X:

ความคิดเห็นที่ 3 อ่านจบแล้ว คาราวะ 1 จอก กับคุณภาพของ จขกท. แต่ผมขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะผมคิดว่า เค้าคงไม่อ่านหรืออย่างมากไม่เกิน 5 บรรทัด เพราะใจที่มีแต่ "อคติ" จะทนอ่านไม่ได้.... ^^ จากคุณ : เฟืองเหนือ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 05:04:21 A:124.121.202.73 X:

ความคิดเห็นที่ 4 "......ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่แท้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าจะนำมาประหัตประหารหรือใช้เป็นเครื่องมือในการด่าว่าคนอื่น โดยมีจุดประสงค์แอบแฝง   จุดประสงค์หลักของพระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้น มีอยู่ที่ "เพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์และความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย" ไม่ใช่เพื่อวิวาทะ เพื่อหาข้อโต้แย้ง เพื่อกล่าวว่าร้าย หรือเพื่อยกตนว่าดีกว่าคนอื่น  แต่เพื่อชี้แจง แนะนำ เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งหลาย" เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ คุณจขกท อธิบายได้อย่างเป็นกลาง มีเหตุผลหักล้าง และตรงประเด็น มนุษย์ที่นำคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาใช้แบบผิดๆ ตลอดจนเพ่งโทษผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง พวกนี้ยังมิได้แม้แต่กระผีกริ้นในการเข้าถึงธรรมะค่ะ จากคุณ : ItchyScratchy เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 05:10:14 A:75.36.211.148 X:

ความคิดเห็นที่ 5 โอ...........   โมทนาในธรรมอันปราณีตบรรจง ขอจงเป็นผู้รักษ์ซึ่งโอภาสแห่งองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อไป นับถือ  นับถือจริง ๆ ครับ งามทั้งเหตุ  ผล  และเรียงร้อยถ้อยคำอย่างหาได้ยากยิ่งในปัจจุบันกาล จากคุณ : Dman เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 05:14:44 A:58.9.19.190 X:

ความคิดเห็นที่ 6 แม้เนื้อหาจะยาวไปนิด แต่อ่านแล้วเข้าใจดีครับคุณ จขกท   ผืดกับคุณที่ชอบยกคำสอนพระพุทธองค์โดยให้การขีดเส้นใต้เพื่อเน้นเอามาด่า"คนที่ต้องการจะด่า"เท่านั้น  แม้จะอ่านได้ง่ายกว่า แต่เขียนโดยใจอคติ คนที่มีใจ"อคติ" แต่เที่ยวเอาธรรมะมาสอนนั้น  แทนที่จะได้บุญกลับคือ"บาปที่ตัวเองทำโดยไม่รู้ตัว"ครับ ฤ  เขาคิดว่านักการเมืองอีกฝากหนึ่งตายแล้วไม่ต้องลงนรกเหมือนกับนักการเมืองที่เขาพยายามจะบอกว่า"พวกนี้เลว" ครับ จากคุณ : เรารักเมืองไทยเหมือนกัน เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 06:34:03 A:124.120.73.31 X:

ความคิดเห็นที่ 7 ขออนุญาตครับท่านเจ้าของกระทู้ครับ กระทู้ต้นเรื่อง  ใช่นี้เปล่าครับ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8217450/P8217450.html ........ ฝาก ท่าน จขกท. ช่วยท่าน Learn and Live หน่อยครับเขาน่าจะหลงทางธรรม แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 07:02:51 จากคุณ : rikpfa เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 07:01:07 A:118.174.142.237 X:

ความคิดเห็นที่ 8 ถูกใจมาก..เสียดาย give หมดซะแล้ว.. ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ จากคุณ : กาแฟยามบ่าย เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 07:48:41 A:124.122.27.44 X:

ความคิดเห็นที่ 9 อ่านทั้งหมด ด้วยใจที่เคารพ ขอคุณธรรมความดีของท่าน จขกท. จงบันดาลให้ท่าน ได้บรรลุพระนิพพาน ในชาตินี้ ภพนี้ สาธุ จากคุณ : ทิวหญ้าเหนือยอดภู เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:01:41 A:118.174.63.55 X:

ความคิดเห็นที่ 10 เอาไป 3 กิฟท์ (ช่องละกิฟท์) จากคุณ : kit_108 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:09:55 A:119.46.55.74 X:

ความคิดเห็นที่ 11 ขออนุโมทนาสาธุการ แด่เจ้าของกระทู้ ในการแสดงธรรมอันวิเศษขององค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ให้ทรงไว้ซึ่งพระบริสุทธิคุณ อันประเสริฐ ไม่ให้มัวหมอง อาจให้ผู้รู้ทุกท่าน ที่มีใจเป็นบุญเป็นกุศล มีความรู้คู่ คุณธรรมอันประเสริฐ เช่นเจ้าของกระทู้ ได้ช่วยกันพยุงพระศาสนาไม่ให้ผู้ใดมาบิดเบือนคำสอน มาแอบอ้าง คำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อประโยชน์แห่งตน อีกต่อไป สาธุ สาธุ สาธุ จากคุณ : รุ่งฟ้าสาง เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:32:53 A:125.24.127.218 X:

ความคิดเห็นที่ 12 08.41 น. ๏ พระสอน pond 'สระ' นี้ ......... ใช่ 'สละ' พระสัตว์ทิด สิทธัตถะ .............. พุทธเจ้า คำเทศ case ทำมะ ................. ไทยเทศน์ ธรรมแล สละสิทธิ์ ฤทธิ์สระเผ้า .............. พระเจ้าปลงผม -->(สระเผ้า มีคู่คำพ้องเสียงว่า สะเพร่า) ๏ ลากปม ลมปาก บ้า ............... ยุพา-ยุเวย ดม nude ดูดนม มา ................. แต่น้อย เสียงดับ ศัพท์ เดียงสา .............. เสียงเด็ก ดังแน ดิ้ว nude ดูดนิ้ว ข้อย ................ ไม่ข้องคำครู ๏ รู้ธรรม รำทู้ ใช่ ..................... ธรรมดา บัณทิต บิด done มา ................. อย่าเพี้ยน ผวนคิด ผิดควร หา .................... สติไตร่ ตรองแล อาถรรพ์จิต อาทิตย์จันทร์ เฮี้ยน ... จิตเพี้ยนผีหลง-ทางธรรม ธรรมชาติ ธรรมดา แลนาบารนี ๚ะ๛ 09.22 น. ----------------------------------------------------------------------------- นกผี กวีคำผวน ห้องกวีการเมือง ... ขอคารวะท่าน จขกท. ผู้เข้าถึงธรรม ธรรม-ธรรมดา-ธรรมชาติของโลกราหูที่ต้องมีคู่ต่างขั้วตรงกันข้ามกันทุกคู่ คู่ต่างขั้วตรงกันข้ามย่อมมีคุณสมบัติต่างตรงกันข้ามทุกด้าน เพื่อคานสมดุลกัน ไม่มีใครห้ามใจคู่ต่างขั้วตรงกันข้ามได้ ...  เขาต้องห้ามใจของเขาเอง จากคุณ : นกโก๊ก เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:37:39 A:110.49.33.49 X:

ความคิดเห็นที่ 13 "ขอบคุณค่ะ จขกท...." ศรัทธาพะรเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ เช่นเดียวกันค่ะ ฝากตัวเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ตามหลักปฏิบัติของพระเดชพระคุณได้ห้าหกปีแล้ว หาห้วงเวลาสงบให้แก่ชีวิต ทุกปีใหม่ และวันเกิด เพื่อปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานค่ะ โดยมากแล้วจะไปที่ ขอนแก่น เพราะเป็นบ้านเกิด เคยพาเพื่อนชาวต่างชาติไปด้วยค่ะ เจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ เมตตาเพื่อนมากๆ ยังไม่เก่งอะไรหรอกค่ะ แค่พอเอาตัวรอด พอได้รู้วิธี เจริญ"สติ" เพื่อพึงระลึกรู้ เพื่ออยู่ในศีล ในธรรม ดำเนินชีวิตในโลกอันวุ่นวาย อย่างสงบ สิ่งหนึ่งที่ เข้าใจ เมื่อปฏิบัติธรรมคือ มีธรรมะไว้สร้างสติ เพื่อพึงระลึกรู้แก่ตนเองค่ะ.... การจะบอกเล่าแก่ใคร ก็ต้องบอกเล่าด้วยใจกุศล จะบอกเล่าแก่คนๆ นั้นโดยตรง เพื่อให้เกิดกุศลจิต และสนใจศึกษาธรรมเท่านั้นเอง ส่วนทางโลก......ก็ขอให้ปฏิบัติด้วยกฎทางโลก จะดีกว่า... ขออนุโมนาบุญ สำหรับกระทู้นี้ค่ะ จากคุณ : SassyKate เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 10:27:35 A:202.47.224.130 X:

ความคิดเห็นที่ 14 มารอดูว่าจะเข้ามาอ่านเปล่า จากคุณ : Shooting Star เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 10:43:13 A:202.57.168.72 X:

ความคิดเห็นที่ 15 แต่ที่เห็นได้จากกระทู้ต้นเรื่องคือ learn and live นั้นยังไม่ปล่อยวางเพราะ learn and live โต้ทุกความคิดเห็นความคิดเห็นกว่าครึ่งเป็นการตอบโตท่านอื่นๆ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 11:55:25 จากคุณ : ป๋าบอม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 11:54:24 A:125.25.200.213 X:

ความคิดเห็นที่ 16 ขอแสดงความนับถืออย่างสูงครับ ของแท้มันต้องแบบนี้ ส่วนของเทียม ที่ชอบยกธรรมะมาถล่มฝ่ายตรงข้ามนั้น แค่พวกดัดจริตครับ ไม่ได้เข้าใจหลักธรรมถ่องแท้ลึกซึ้งอะไรเลย จากคุณ : คอบอล เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 12:03:08 A:172.29.16.213 X:203.170.234.21

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ จขกท. ... สำหรับคำอธิบายดี ๆ ครับ (เพราะเอ่ยถึงชื่อผมใน #2) (ได้อ่านคำตอบแล้ว....เห็นความลุ่มลึกของการตอบคำถามที่แตกต่าง ระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนา 2 ท่านเลยนะครับ .... อิ อิ อิ อิ) ในซีรี่ย์ "ทศชาติ" นั้น ... ผมว่า เรื่องพระเวสสันดรนั้น มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่าง จุดมุ่งหมายที่เรื่องนี้ต้องการจะสื่อ  ก็คือ เรื่อง "การเสียสละในสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง" แต่การที่จะสื่อให้ได้ดีนั้น.....มันทำได้ยากมาก ๆ เพราะมันมีหลายแง่มุมให้ต้องนำมาคิด มุมมองของผมในเรื่องนี้ก็คือ นี่เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย(หรือใกล้เคียง) เมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา ก็คือ ในอดีต..ประเทศอินเดียมีการเข้มงวดเรื่อง "วรรณะ" มาก และสิทธิสตรี...ก็ไม่ค่อยดีนัก (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงต้องหาสินสอดไปสู่ขอฝ่ายชาย, หรือต้องรับใช้ครอบครัวสามีอย่างหนัก, ฯลฯ) ดังนั้น การที่ฝ่ายชายจะทำอะไรกับฝ่ายหญิงนั้น....ก็เป็นเรื่องที่สังคมสมัยนั้น (อาจจะ)ยอมรับกันได้ แต่เมื่อผ่านมา 2500 กว่าปีล่ะ...ในประเทศที่ไม่ใช่อินเดียล่ะ เวลาเปลี่ยน...สถานที่เปลี่ยน...สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน...วัฒนธรรมเปลี่ยน เรื่องเหล่านี้....จะถูกตีความว่าอย่างไร? ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วน่ะครับ.... จขกท. เป็นถึงอาจารย์วิชาสังคมและเชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา...มาเอง ผมขอทำตัวเป็น "เจ้าหนูจำมัย...ที่ไม่ค่อยน่ารัก" ของท่านอาจารย์ ก็แล้วกันนะครับ 1. ถึงแม้จะเพื่อผลอันยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องเสียสละบางอย่าง      เช่น การเสียสละครอบครัว เพื่อผลประโยชน์ของคนหมู่มากนั้น   มุมมองของผู้ที่ได้ประโยชน์(คนหมู่มาก)....ย่อมยกย่องยินดีในความเสียสละนั้น   แต่มุมมองของผู้ที่เสียสละ(เช่น เมียและลูก ๆ ของพระเวสสันดร)ล่ะ....เขาจะคิดอย่างไร?                                       เสียสละส่วนน้อย เพื่อคนส่วนใหญ่?                                                       หรือ                ขนาดคนส่วนน้อยยังปกป้องไม่ได้ แล้วจะปกป้องคนส่วนใหญ่ได้จริงหรือ? 2. ใครสมควรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ทำทานบารมีอันยิ่งใหญ่   ระหว่าง...    พระเวสสันดร...สละลูก-เมียเพื่อสนองความต้องการของตน    เมียและลูก....สละตนเองเพื่อให้ความต้องการของสามี(หรือพ่อ)เป็นจริง    หรือ    พระเวสสันดร...สละลูก-เมียเพื่อตนเองจะได้ทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก    เมียและลูก....สละตนเองเพื่อให้สามี(หรือบิดา)ทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก    ในเมื่อ ระดับชั้นของการเสียสละของ "เมียและลูก" ... สูงกว่า(....หรือเปล่า?)     หากความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารถสละได้ ไฉนเลย จะสามารถสละสิ่งที่ใหญ่หลวงกว่านั่นคือชีวิตของตนเองได้ 3. ในเมื่อความต้องการสูงสุดก็คือ การเสียสละตนเอง   ทำไมพระเวสสันดร ถึงไม่สละตนเองไปเป็นทาสผู้อื่น?   เหตุใดจึงจำต้องให้ลูกเมียเสียสละแทน? (ขนาดลูกบางคนไม่เต็มใจ..ก็ยังยกให้ชูชกอีก)    ทำไมการทำทานบารมี...ต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย?    ในเมื่อถ้าสละตนเองไปเป็นทาส ก็ต้องทำใจจากลูกและเมียอยู่แล้ว    (และคงไม่ต่างจากบริจาคเมียและลูกให้"ใครที่ไหนก็ไม่รู้"...เท่าไหร่นักหรอก)     4. ทำไมพระเวสสันดร...ไม่หาวิธีทำทานบารมีที่ win-win ทั้งตนเองและลูกเมีย?    เช่น บริจาคลูกและเมียคืนให้พ่อตาแม่ยาย ...น่าจะดีกว่าบริจาคให้ "ใครที่ไหนก็ไม่รู้" 5. "ลูกและเมีย ย่อมเป็นที่รักของคนทุกคน ใครเลยจะสละลูกเมียได้      แต่หากมีสิ่งที่ใหญ่หลวงกว่านั้น ก็จำเป็นต้องสละทุกสิ่ง หรือแม้ชีวิตของตน"    ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างทหารหาญกล้าที่ปกป้องประเทศนั้น...เป็นเรื่องดี...ที่น่ายินดีครับ    แต่ข่าวการก่อการร้าย....ไม่ว่าจะเป็นระเบิดพลีชีพ หรือปิดสนามบิน, ปิดถนน ฯลฯ ต่างก็ถือหลักข้อนี้เช่นกัน เอาเบาะ ๆ แค่นี้ก็แล้วกันนะครับ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ปล.  เพียงแต่คิดว่า ... ถ้าเรายกอะไรมากล่าวอ้าง คนอื่นก็มักจะมีข้ออ้างแย้งได้เช่นกัน เช่น       ถ้าเราพูดถึง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" เราก็มักจะได้ยิน "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" คู่กัน       หรือ ถ้ามีกรณี "ลูกทิ้งพ่อทิ้งแม่" มาเปรียบเทียบกับ "พระเวสสันดร"...เราควรจะมีการอธิบายอย่างไร?          ที่เขียนมาทั้งหมดนี้...ไม่ได้คิดจะกวนหรือหลบหลู่ใด ๆ นะครับ      ผมเองก็นับถือพุทธศาสนาเช่นกัน....(แต่ก็ไม่ได้ศึกษาอะไรลึกซึ้งหรอกครับ)      เฮ้อ...คิดนานอยู่เหมือนกันว่า จะเขียนดีหรือไม่เขียนดี      การถกเถียงโต้แย้งความเห็นทางด้านการเมืองและศาสนา...ก็อาจนำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรงได้      ดังนั้นถ้าผมใช้ถ้อยคำไม่สุภาพหรือรุนแรงเกินไป....ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ จากคุณ : King Hades เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 13:32:56 A:125.26.251.149 X:

ความคิดเห็นที่ 18 เรียนคุณ จ้าวนรกฮาเดส..  (เมโอ ฮาเดส)  ขออนุญาตตอบตามนี้นะครับ ---------------------------------- มุมมองของผมในเรื่องนี้ก็คือ นี่เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย(หรือใกล้เคียง) เมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา ก็คือ  ในอดีต..ประเทศอินเดียมีการเข้มงวดเรื่อง "วรรณะ" มาก และสิทธิสตรี...ก็ไม่ค่อยดีนัก(ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงต้องหาสินสอดไปสู่ขอฝ่ายชาย, หรือต้องรับใช้ครอบครัวสามีอย่างหนัก, ฯลฯ) ดังนั้น การที่ฝ่ายชายจะทำอะไรกับฝ่ายหญิงนั้น....ก็เป็นเรื่องที่สังคมสมัยนั้น (อาจจะ)ยอมรับกันได้ --------------------------------------- กรณีเรื่องของวรรณะ นั้น เป็นคตินิยมอินเดียที่เกิดขึ้นจากศาสนาพราหมณ์เป็นผู้กำหนดขึ้น และถูกปลูกฝัง ในอินเดียมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมหลายประการที่เน้นเรื่องของการอย่าถือเรื่องวรรณะ สำคัญกว่าการกระทำของบุคคล ส่วนเรื่องของแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิสตรีที่ถูกกีดกันเป็นอันมากนั้น ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการถือชนชั้นวรรณะของอินเดีย ในสังคมของพราหมณ์ ผมเข้าใจว่าคุณคงจะคิดว่า การที่พระเวสสันดร จะ "ทำอะไร" กับพระนางมัทรี ก็ได้ ตามความตั้งใจของท่าน เป็นรูปแบบหนึ่งของการกดขี่ความเป็นสตรี แต่สิ่งที่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อพระเวสสันดรท่านจำเป็นจะต้องออกมาอยู่ป่านั้น เนื่องจากท่านได้มอบช้างปัจจัยนาค ซึ่งเป็นช้างคู่บารมีของพระเวสสันดร ให้กับชาวแคว้นกลิงครัฐ ซึ่งได้มาทูลขอ เพราะช้างปัจจัยนาคเป็นช้างมงคล อยู่ในถิ่นที่ใดๆ ก็เกิดความร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาลในถิ่นนั้นๆ แต่ชาวเมืองสีพี คิดว่าช้างตัวนี้เป็นประจำของเมือง เป็นสมบัติของเมือง พระเวสสันดรได้มอบช้างอันเป็นสมบัติประจำเมือง ให้กับชาวแคว้นกลิงครัฐ ก็เหมือนกับยกสมบัติชาติให้กับผู้อื่น จึงมาร่วมกับขับไล่  พระเจ้าสญชัยจึงมีรับสั่งให้พระเวสสันดร ทำตามข้อเรียกร้องของชาวเมือง พระเวสสันดรนั้น เจตนาของท่านคือต้องการไปอยู่ป่าเพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวด้วยลูกและเมีย แต่เนื่องจากว่าลูกและเมียของท่านนั้น มีจิตตั้งใจจะตามเสด็จไปเอง โดยท่านไม่ได้บังคับหรือขอร้องใดๆ เมื่อไปอยู่ในป่าแล้ว พระนางมัทรีก็ได้ปฏิบัติพระเวสสันดรเป็นอย่างดีในฐานะของภรรยา โดยทำหน้าที่ในการหาของป่า หาผลไม้ต่างๆมาเป็นอาหารให้กับพระโอรส พระธิดา และพระสวามี ข้อนี้เป็นข้อที่ต้องรู้ก่อนว่า การไปอยู่ป่าของพระนางมัทรีและพระโอรสพระธิดานั้น เป็นด้วยความประสงค์ของท่านเอง ประเด็นต่อไป ------------------------------------- 1. ถึงแม้จะเพื่อผลอันยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องเสียสละบางอย่าง     เช่น การเสียสละครอบครัว เพื่อผลประโยชน์ของคนหมู่มากนั้น  มุมมองของผู้ที่ได้ประโยชน์(คนหมู่มาก)....ย่อมยกย่องยินดีในความเสียสละนั้น   แต่มุมมองของผู้ที่เสียสละ(เช่น เมียและลูก ๆ ของพระเวสสันดร)ล่ะ....เขาจะคิดอย่างไร?     เสียสละส่วนน้อย เพื่อคนส่วนใหญ่? หรือ ขนาดคนส่วนน้อยยังปกป้องไม่ได้ แล้วจะปกป้องคนส่วนใหญ่ได้จริงหรือ? -------------------------------------- - คุณอาจจะเข้าใจประเด็นผิดไปบ้างนะครับ คือการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น  จุดประสงค์หลัก คือ เพื่อผลอันยิ่งใหญ่จริงๆ นั่นคือทศบารมีธรรมที่เต็มรอบ เพื่อเป็นเครื่องอบรมทศบารมีญาณ อันจะนำไปสู่การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด การเสียสละของพระเวสสันดรนั้น ในสายตาของปุถุชนแล้ว อาจจะมองว่า เป็นการเห็นแก่ตัว หวังแต่ประโยชน์ของตนเอง แต่ไม่คำนึงถึงจิตใจผู้อื่น ทั้งๆที่ความจริงแล้ว  ก่อนที่จะได้มอบทานบริจาค ในระดับสูงสุดนั้น ท่านต้องทราบแล้วว่า ผู้ที่จะเป็นทานบริจาคนั้น มีจิตยินดี พร้อม ในการจะ "ช่วยทำให้เป้าหมายของพระโพธิสัตว์สำเร็จบริบูรณ์"   จริงอยู่ว่าในความรู้สึกของปุถุชนนั้น อาจจะน้อยใจบ้าง เพราะ "อยู่ๆพ่อก็จะมายกเราให้ไปเป็นทาสคนอื่น" หรือ "อยู่ๆผัวก็จะยกเราให้กับคนอื่น" แต่นั่นก็ได้พิจารณาแล้วว่า "เราจักเป็นทานบริจาคอันยิ่งใหญ่ของพ่อ" "เราจักเป็นทานบริจาคอันยิ่งใหญ่ของพระสวามี" เพราะความรู้สึกของบุคคลทั้งสอง คือลูก และภรรยา ที่เต็มใจจะ "ช่วยให้พระโพธิสัตว์เข้าถึงฝั่งแห่งทศบารมีญาณ" ท่านจึงได้สามารถสละบุตรและภรรยาได้ แม้ในขณะจะสละลูก ก็มีความรู้สึกปวดหัวใจรวดร้าว ถึงกับคิดจะสังหารชูชกพราหมณ์เฒ่า ที่บังอาจตี บังอาจทำร้ายพระโอรสและพระธิดาต่อหน้า แต่ก็ต้องอดทนด้วยขันติธรรม และด้วยน้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์ให้ได้ เพื่อ "ให้ทานบริจาคนั้น บรรลุผลอย่างสมบูรณ์" และสุดท้าย คนดีก็ไม่ต้องตกระกำลำบาก เมื่อทานบริจาคนั้นสมบูรณ์ดีแล้ว  ในภายหลัง พระโอรสและพระธิดาของพระองค์ ก็ได้พ้นจากความเป็นทาส ด้วยบุญกุศล และการช่วยเหลือของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ทำให้ได้ไปอยู่ในความดูแลของพระเจ้าตา พระเจ้ายาย สำหรับพระนางมัทรีเอง ก็มีนัยเช่นเดียวกันครับ   สำหรับเรื่องที่คุณถามว่า ขนาดคนส่วนน้อยยังปกป้องไม่ได้ จะไปปกป้องคนส่วนใหญ่ ได้อย่างไร นั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องคนละประเด็นกัน เพราะจุดมุ่งหมายของพระโพธิสัตว์นั้น คือ เสียสละทุกสิ่ง เพื่อจุดหมายยิ่งใหญ่ คือจะช่วยเหลือคนทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของตนเอง  เพราะเหตุนั้น จุดหมายของพระโพธิสัตว์จึงอยู่ที่ เสียสละความสุขแม้ในช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่เมื่อบรรลุผลสำเร็จแล้ว เราก็สามารถช่วยได้ทั้งลูก ทั้งเมีย ทั้งครอบครัว หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ข้ามพ้นสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะจุดหมายของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ที่การพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พูดกันง่ายๆก็คือว่า ลูกเมียได้พบกับแต่เพียงชาติภพหนึ่ง ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันบ้าง แต่ก็มีโอกาสต้องจากกัน  แต่การได้ตรัสรู้ธรรมวิเศษ นั้น ล้ำเลิศ เพราะสามารถช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์จากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงให้พ้นได้ ถ้าจะสรุปไปแล้ว คุณถามว่า มุมมองของผู้ที่เป็นทานบริจาค นั้น จะเป็นอย่างไร เมื่อมีเหตุและผลที่สมควร มุมมองของผู้เป็นทานบริจาคนั้น ก็จะกลายเป็น "เรามาช่วยให้เสด็จพ่อ" หรือ "เรามาช่วยให้พระสวามี" "ได้บรรลุผลสำเร็จคือการพาสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมทั้งเราด้วย ให้ข้ามพ้นวัฏฏ์สงสารกันเถิด" นั่นแหละครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 16:33:43 A:61.90.77.188 X:

ความคิดเห็นที่ 19 คำถามข้อที่ ๒ ------------------------------------ 2. ใครสมควรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ทำทานบารมีอันยิ่งใหญ่  ระหว่าง...    พระเวสสันดร...สละลูก-เมียเพื่อสนองความต้องการของตน   เมียและลูก....สละตนเองเพื่อให้ความต้องการของสามี(หรือพ่อ)เป็นจริง   หรือ    พระเวสสันดร...สละลูก-เมียเพื่อตนเองจะได้ทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก  เมียและลูก....สละตนเองเพื่อให้สามี(หรือบิดา)ทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก   ในเมื่อ ระดับชั้นของการเสียสละของ "เมียและลูก" ... สูงกว่า(....หรือเปล่า?)    หากความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารถสละได้ ไฉนเลย จะสามารถสละสิ่งที่ใหญ่หลวงกว่านั่นคือชีวิตของตนเองได้ ------------------------------------- ถ้าคุณถามว่า ใครสมควรได้รับการยกย่องว่าได้ทำทานบารมีอันยิ่งใหญ่ ผมขอตอบว่า ทุกๆคนทุกๆท่านนั่นเอง  เพราะ ๑. พระเวสสันดร ได้บำเพ็ญทานบารมีอันยิ่ง คือบุตรบริจาค และทาระ (ภรรยา) บริจาค ๒. พระกัณหา พระชาลี พระเจ้านางมัทรี ได้เสียสละตนเองเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อได้เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์แล้ว ทั้ง ๓ ท่านที่กล่าวมา จึงพร้อมใจจะเสียสละ เพื่อให้พระเวสสันดรได้บรรลุผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ สรุปว่า ทุกๆตัวละครที่มีส่วนแห่งทานบารมีครั้งนี้ ล้วนแต่เป็น "ผู้เสียสละความสุขส่วนตนเอง เพื่อผู้อื่น ด้วยกันทั้งนั้น" และ สิ่งที่ต้องไม่ลืมเลย และอย่าลืม ก็คือ  พระเวสสันดร ไม่ได้ทำเพื่อ"สนองความต้องการของตน" เพราะการบอกว่า สนองความต้องการของตน นั้นหมายถึง การทำให้ตนเองดี ได้ เพียงคนเดียว แต่พระเวสสันดร ได้ทำเพื่อ  ให้ตนเองมีคุณธรรมสูงพอที่จะเข้าสู่การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการต่อกรกับมวลกิเลสมารทั้งปวง เพราะ ถ้าหากความสุขสูงสุดทางโลกธรรม คือการมีครอบครัว ไม่อาจเสียสละลงได้แล้ว ก็ไม่อาจจะทำใจสละความสุขจอมปลอมจากการมีกิเลสอยู่ในใจ เพื่อเข้าถึงการสิ้นทุกข์โทษภัยทั้งปวงได้ครับ คำถามข้อที่ ๓ ------------------------------- 3. ในเมื่อความต้องการสูงสุดก็คือ การเสียสละตนเอง  ทำไมพระเวสสันดร ถึงไม่สละตนเองไปเป็นทาสผู้อื่น?  เหตุใดจึงจำต้องให้ลูกเมียเสียสละแทน? (ขนาดลูกบางคนไม่เต็มใจ..ก็ยังยกให้ชูชกอีก)   ทำไมการทำทานบารมี...ต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย?   ในเมื่อถ้าสละตนเองไปเป็นทาส ก็ต้องทำใจจากลูกและเมียอยู่แล้ว   (และคงไม่ต่างจากบริจาคเมียและลูกให้"ใครที่ไหนก็ไม่รู้"...เท่าไหร่นักหรอก) ----------------------------------- การเสียสละตนเองเป็นทานนั้น พระโพธิสัตว์ไม่ได้ทำในชาติที่เป็นพระเวสสันดร (แต่ถ้ามีผู้ต้องการชีวิต ก็สามารถมอบให้ได้) แต่เคยทำในชาติอื่นๆมาก่อนแล้ว  ดังเช่นครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ เป็นหัวหน้าพระฤาษีในป่า แล้วปรากฏว่า หัวหน้าพระฤาษีได้ไปพบกับเสือแม่ลูกอ่อนที่ไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน กำลังจ้องจะกินลูกของตน หัวหน้าพระฤาษีจึงได้บอกว่าพวกลูกศิษย์ ไปหาเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว มาให้เป็นอาหาร เพื่อที่เสือจะได้ไม่กินลูกตนเอง เมื่อลูกศิษย์หายไปกันหมดแล้ว หัวหน้าพระฤาษีได้มาครุ่นคิด ร่างกายของมนุษย์นั้นไม่เที่ยงแท้ ถาวร เป็นรังของโรค เป็นของเน่าเปื่อยผุผัง เหตุไฉนเราจักต้องไปเที่ยวแสวงหาเนื้ออื่นเล่า เรามีเนื้อตัวของเรานี้ เราพึงสละตัวเองเป็นชีวิตทานแก่แม่เสือในบัดนี้เถิด แล้วจึงได้กระโดดจากหน้าผา มาถึงปากถ้ำแม่เสือ แม่เสือได้ละจากลูกตัวเองมากินเนื้อหัวหน้าพระฤาษีแทน ส่วนที่คุณถามว่า ทำไมพระเวสสันดรไม่สละตนเองเป็นทาสผู้อื่น คุณคงลืมข้อสำคัญไปอย่างหนึ่งนะครับ ว่า "ไม่มีใครมาขอตัวพระเวสสันดรไปเป็นทาส" และที่แน่ๆ ถึงเขาจะขอลูกเมีย แต่พระเวสสันดรบอกว่าตนเองจะยอมไปแทนลูกเมีย  เขาเหล่านั้นย่อมไม่ยินยอม แล้วทานบริจาคเหล่านั้น จะเกิดประโยชน์อันใด? คำถามข้อที่ ๔ ------------------------------------- 4. ทำไมพระเวสสันดร...ไม่หาวิธีทำทานบารมีที่ win-win ทั้งตนเองและลูกเมีย?   เช่น บริจาคลูกและเมียคืนให้พ่อตาแม่ยาย ...น่าจะดีกว่าบริจาคให้ "ใครที่ไหนก็ไม่รู้" ------------------------------------- ถ้าบริจาคลูกและภรรยาคืนให้พ่อตาแม่ยาย แบบนั้นจะเรียกว่าทานบริจาคหรือครับ แล้วอีกอย่างหนึ่ง พ่อตาแม่ยาย หรือพระเจ้าสญชัย พระนางผุสดีเอง ก็ไม่ได้มาเรียกร้อง ขอรับลูกและเมียคืน ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าหากพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี หรือ พระสัสสุระ (พ่อตา) ของพระเวสสันดร มาขอหลาน มาขอลูก คืนจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรก็ยินดีจะยกให้ แล้วตัวท่านก็ไปบำเพ็ญพรตภาวนาในป่าเพียงคนเดียว ทานบริจาคนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ๑. มีผู้ขอ ๒. มีผู้ให้ ๓. ผู้ให้ ยินดีสละ ๔. ผู้ขอ ได้รับของนั้นตามที่ต้องการ อย่าลืมจุดสำคัญนี้นะครับ ^_^ คำถามข้อที่ ๕ ------------------------------------ 5. "ลูกและเมีย ย่อมเป็นที่รักของคนทุกคน ใครเลยจะสละลูกเมียได้     แต่หากมีสิ่งที่ใหญ่หลวงกว่านั้น ก็จำเป็นต้องสละทุกสิ่ง หรือแม้ชีวิตของตน"   ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างทหารหาญกล้าที่ปกป้องประเทศนั้น...เป็นเรื่องดี...ที่น่ายินดีครับ   แต่ข่าวการก่อการร้าย....ไม่ว่าจะเป็นระเบิดพลีชีพ หรือปิดสนามบิน, ปิดถนน ฯลฯ ต่างก็ถือหลักข้อนี้เช่นกัน ------------------------------------- การสละชีวิตนั้น จุดมุ่งหมายที่จะเป็น ปรมัตทานบารมี หรือ ชีวิตบริจาค นั้น ก็คือ เมื่อกระทำไปแล้ว ผู้อื่นไม่เดือดร้อนใดๆ ตนเองก็ได้บริจาคชีวิตตามสมควร แต่การทำตัวเองเป็นระเบิดพลีชีพก็ตาม การปิดสนามบิน (แหม... ทั้งๆที่รู้ว่าผมเป็นคนเสื้อแดงก็ยังถามเรื่องนี้ แบบนี้ผมอาจจะตอบด้วยอคติส่วนตัวนะครับว่าทำไม่ได้อยู่แล้ว ^^")ก็ตาม การได้ปิดถนนก็ตาม นั้น ๑. ตนเองไม่ได้สละชีวิต เพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น และเป็นความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง ๒. ไม่มีใครเรียกร้องให้ทำเช่นนั้น ๓. ผู้อื่นแม้ไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็ต้องเดือดร้อน เรื่องเหล่านี้ จะไม่อยู่ในขอบเขตของ การสละชีวิตเลยครับ ^_^ ไหนๆก็ไหน ผมขอยกชาดกเกี่ยวกับการสละชีวิตเป็นทานในหลายๆเรื่อง ซึ่งน่าจะทำให้คุณได้เข้าใจว่า การสละชีวิตเป็นทานนั้น ที่แท้เป็นอย่างไร เรื่องแรก ชัยทิสชาดก เรื่องนี้เล่าถึงพระเจ้าปัญจาลราชา นามว่า ชัยทิส ถูกยักษ์จับตัวไว้และกำลังจะกิน พระเจ้าชัยทิสได้ขออนุญาตยักษ์กลับมาเมืองเพื่อมอบทรัพย์ให้กับพราหมณ์ที่ได้กล่าวธรรมคาถาถวาย และต้องการจะสั่งเสียมอบราชสมบัติให้พระโอรส เมื่อยักษ์อนุญาต พระเจ้าชัยทิสกลับไปถึงแล้ว ได้มอบทรัพย์สมบัติให้กับพราหมณ์ที่กล่าวธรรมคาถาถวาย และได้ประกาศมอบราชสมบัติให้กับพระราชกุมาร พระนามว่า อลีนสัตตุ (พระโพธิสัตว์ของเรา) เจ้าชายอลีนสัตตุ รู้ว่าพระบิดาต้องไปเป็นอาหารให้กับยักษ์ จึงอาสาจะไปเป็นอาหารแก่ยักษ์แทน  แต่พอไปถึง ยักษ์เห็นความสัตย์ของพระเจ้าชัยทิส และความกตัญญู จิตใจที่เด็ดเดี่ยวของเจ้าชายอลีนสัตตุ จึงได้ยกเลิกไม่กินเนื้อเสีย เรื่องที่สอง กระต่ายโพธิสัตว์ ใน สสชาดก เรื่องมีอยู่ว่า ลิง สุนัขจิ้งจอก และตัวนาก  เป็นสหายกับ กระต่ายโพธิสัตว์ผู้เป็นบัณฑิต มีศีลมีธรรม พญากระต่ายมักสอนธรรมให้สหายตั้งอยู่ในศีล แล้วหมั่นให้ทานแก่บุคคลอื่น  โดยพญากระต่ายตั้งใจว่า ตัวเองกินแต่เพียงหญ้าและใบไม้ ถ้ามีสมณพราหมณ์เหล่าใดปรารถนาอาหาร มาในป่านี้ ตนเองจะสละชีวิตเป็นทาน ปรากฏว่าท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ ได้ทราบเรื่องนี้ จึงได้จะมาทดลองพญากระต่ายป่า  จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาเดินอยู่ในป่า ซึ่งทั้งลิง สุนัขจิ้งจอก และตัวนาก ก็มอบอาหารของตนๆให้กับพราหมณ์แปลง  จนกระทั่งพญากระต่าย เห็นพราหมณ์แล้วก็กล่าวว่า ตนเองไม่มีอาหารที่มนุษย์จะรับประทาน เพราะตนเองกินแต่พวกหญ้าและใบไม้ ขอให้พราหมณ์จงก่อไฟขึ้น แล้วตนเองจะกระโดดเข้ากองไฟเพื่อกลายเป็นอาหารให้แก่พราหมณ์ ปรากฏว่า ไฟที่พราหมณ์พระอินทร์แปลง ก่อเอาไว้ ไม่ทำความร้อนใดๆให้แก่พญากระต่าย พญากระต่ายจึงสงสัย พระอินทร์แปลงได้คืนร่างเดิม แล้วกล่าวสรรเสริญจิตใจที่มุ่งสละชีวิตเป็นทานของพญากระต่าย และกล่าวว่าคุณงามความดีของพญากระต่ายจงปรากฏอยู่แก่คนทั่วไปตลอดกาลนาน  เรื่องปรากฏว่าพระอินทร์ได้ให้มีภาพของกระต่าย อยู่บนดวงจันทร์ (จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้นะครับ^_^) เป็นสื่อถึงทานบารมีธรรมของพญากระต่ายนี้เอง เรื่องเกี่ยวกับการสละชีวิตเป็นทานของพระโพธิสัตว์ยังมีอยู่อีกมากครับ ทั้งที่ได้สละชีวิตจริงๆ และที่ได้รอดชีวิตมาด้วยความดีงามอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสื่อให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์  ที่ "เพื่อเสียสละตนเอง ประกอบคุณอันยิ่งใหญ่" ผมคิดว่าได้อธิบายให้คุณจ้าวนรกฮาเดส เข้าใจ ตามภูมิธรรมภูมิปัญญาของผมอย่างเต็มที่แล้วนะครับ หวังว่าคงจะได้รับความกระจ่างตามสมควร จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 16:34:02 A:61.90.77.188 X:

ความคิดเห็นที่ 20 เรื่องจริง 41 ข้อ เกี่ยวกับ Lear and Live !!! 1.น้ำตาของ Learn and Live สามารถ รักษามะเร็งได้ แต่ Learn and Live  ไม่เคยร้องไห้ 2. Learn and Live ไม่เคยใส่นาฬิกา เพราะขณะนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ Learn and Live 3. การวิดพื้นของ Learn and Live ไม่ใช่การออกแรงดันตัวให้สูงขึ้นจากโลก แต่เป็นการออกแรงดันโลกให้ต่ำลงจากตัว 4. ทฤษฎี neuronal selection ไม่เป็นจริง เพราะสิ่งมีชีวิตจะดำรงเผ่าพันธุ์ได้หรือไม่ Learn and Live เป็นผู้อนุญาต 5. Learn and Live สามารถฆ่ากระสุนสองนัด ด้วยนกตัวเดียวได้ 6. ทุกครั้งที่คุณตอบกระทู้ของ Learn and Live คุณต้องทำตามที่ Learn and Live เลือกให้คุณตอบอะไร 7. Learn and Live สามารถวิ่งรอบโลกเพื่อต่อยหลังหัวตัวเองได้ 8. คอมพิวเตอร์ของ Learn and Live ไม่มีปุ่ม Ctrl เพราะ Learn and Live   สามารถ ควบคุมทุกอย่างได้อยู่แล้ว 9. ถ้า Learn and Live มีเงินห้าร้อยบาท คุณมีเงินห้าร้อยบาท Learn and Live มีเงินมากกว่าคุณ!!! 10. Learn and Live มีดวงจันทร์บริวารอยู่ 12 ดวง หนึ่งในนั้น ชื่อว่า "โลก" 11. Learn and Live สามารถเล่นรัลเซี่ยน รูเร็ท โดยมีกติกาว่า "ใส่กระสุนเต็มทุกช่อง และ Learn and Live เป็นฝ่ายเริ่มก่อน" ให้ชนะได้ 12. Learn and Live สามารถฟังประกาศ คมช. เพียงครั้งเดียวได้ 13. Learn and Live สามารเป่าลมใส่กอไผ่จนหักโค่นได้ทั้งกอ 14. ถ้าคุณได้ก้าวเข้ามาสู่ความเป็น Learn an Live คุณจะไม่มีวันได้กลับออกมาสู่โลกอีก 1 5. ลีโอนาโด้ ดาร์วินชี่ เป็นผู้ให้กำเนิดศาสตร์และศิลป์มากมายที่มีคุณประโยชน์ต่อโลก แต่ Learn and Live เป็นผู้ให้กำเนิด ลีโอนาโด้ ดาร์วินชี่ 16. อักษร "แอล" ซึ่งเป็นตัวอักษรนำหน้าชื่อของ Learn and Liveได้ถูกนำไปใช้นำหน้าชื่อให้แก่ผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก อาทิ แอลจอร์ท วอชิงตัน, แอลจอร์ท บุช, แอลจอร์ท ลูคัส, แอลจีน เกรย์, แอลจอน แมคเคลน, แอลแจ๊ค สแปโร่ว, แอลแจ๊ค เดอะริปเปอร์ และ แอลแจค แฮปปี้ทรีเฟรน 17. นักชีววิทยา ได้แบ่งสิ่งมีชีวิตตามความซับซ้อนของโครงสร้างร่างกาย ไว้เป็น 8 phylum โดยให้มนุษย์อยู่ใน phylum chordata แต่ Learn and Liveอยู่ phylum "GOD" 18. Learn and Live สามารถสั่งบิ้กแมค ที่เบอร์เกอร์คิง ได้ 19. Learn and Live หากตกน้ำตัวจะไม่เปียก แต่น้ำจะเปียก Learn and Live 20. Learn and Live สามารถกินเลย์เพียงชิ้นเดียวได้ แต่คนอื่นอร่อยชิ้นเดียวไม่เคยพอ 21. สาเหตุของโลกร้อน ก้คือ Learn and Live หนาว เขาเลย ทำไห้พระอาทิตย์ร้อนขึ้น 22. จากทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์ Learn and Live สามารถตบ หัวคุณในเวลาเมื่อวานได้ 23. การอุตสาหกรรม ไม่ใช่สาเหตุของการตัดไม้ทำลายป่า แต่เพราะ Learn and Live ต้องการไม้จิ้มฟัน 24. ในประเทศไทย มีการประหารชีวิต ที่ถูกกฎหมาย 3 วิธี นั่นคือ ฉีดยาพิษ ยิงเป้า และให้คุณคุยกับ Learn and Live 25. โนอาห์ เป็นคนเดียวในโลกที่รู้ทัน ก่อนที่ Learn and Live จะกระโดดลงมหาสมุทร 26. Learn and Live เป็นคนเดียวที่สอบโทเฟล ได้คะแนนเต็มด้วยการ ตอบทุกคำถามว่า Learn and Live 27. บางคนเเต่งตัวตามศิลปินที่เค้าชอบ เเต่ศิลปินที่เค้าชอบเเต่งตัวตามLearn and Live 28. Learn and Live สามารถจาม ในขณะที่ตาเปิดได้ 29. Learn and Live วิ่งรอบโลกอยู่ และเบรคที่อเมริกาเนื่องจาก ยีราฟเดินตัดหน้า ผลคือทำให้เกิดรอยแยกบนโลกกลายเป็นแกรนด์แคนย่อน และ ยีราฟโดนแรงลมพัดปลิวไปอยู่ที่แอฟริกา 30. การซักผ้าในทะเลของ Learn and Live เป็นหนึ่งในสาเหตุของ Tsunami 31. ฉากหนึ่งที่โดนตัดออกในหนังเรื่อง Jurassic Park คือฉากในขณะที่ Rex กำลังไล่รถ jeep ความจริงคือทั้ง 2 กำลังหนี Learn and Live 32. ใน 3 วินาที โจ๊กโซคูล สามารถฆ่าคุณได้ . . . สี่สิบเจ็ดครั้ง 33. สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลกคือ แขนขวา, แขนซ้าย, ขาขวา, ขาซ้าย , หมอนข้าง, กีต้า, เเว่นดำ ของ Learn and Live 34. Learn and Live สามารถนอนโดยที่มีหมอนอยู่ใต้ปืนได้ 35. Learn and Live สามารถแยกอะตอมให้เป็นโมเลกุลได้ 36. ในโลกนี้ไม่มีเลสเปี้ยน มีเเต่ผู้หญิงที่ยังไม่เคยเจอ Learn and Live 37. มีการเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดถึงการมีอยู่จริงของผีและวิญญาณ ความจริงคือมันมีอยู่จริง และ Learn and Live พบว่ามันกินได้ 38. เมื่อ Learn and Live จาม เขาไม่ได้ร้องว่า"ฮัดชิ่ว"  เเต่กลับร้องว่า "เคี้ยวจนสิ้นรสน้ำตาล หมดความหวานกลายเป็นซากอ้อย" 39. Learn and Live ได้ใบขับขี่เมื่ออายุ 16 (วินาที) 40. Learn and Live สามารถทำให้หอมใหญ่ร้องไห้ได้ 41. Michael Jackson เต้นมูนวอล์คเกอร์ เพราะ Learn and Live  นั่งดูอยู่ติดเวที จากคุณ : ตระกองขวัญ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 17:35:18 A:125.26.235.76 X:

ความคิดเห็นที่ 21 อีก(สัก)ประเดี๋ยวจะเข้ามาตอบให้ "มหาฯ" คนดี ?  ให้นะครับ กำลังรวบรวมข้อมูลของ "มหาฯ" คนดี ? อยู่ว่าจะตอบอย่างไร (ดี) นะครับ แบบว่า... กำลังใช้กลยุทธ์ "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" ของ "ซุนหวู่" อยู่ครับ จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 18:00:04 A:10.212.40.21 X:10.212.6.12, 203.149.16.43

ความคิดเห็นที่ 22 #18 - #19 ขอบคุณครับ จากคุณ : King Hades เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 18:00:18 A:125.26.253.48 X:

ความคิดเห็นที่ 23 ผมไม่ได้ดู แต่ถ้าพูดถึงขนาดนั้นจริงล่ะก็ .. http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8213989/P8213989.html ถ้าฟ้าดินพิโรธจริง ก็ให้ฟ้าผ่าลงกลางกบาลพี่น้องเสื้อแดงเลยครับ เรื่องเหตุการณ์ธรรมชาติ ก็แล้วแต่จะมองกันในมุมมองแต่ละคน คุณอาจจะคิดว่าฟ้าดินพิโรธ แต่คนเสื้อแดงก็มองอีกแง่มุมหนึ่ง ไอ้แป๊ะลิ้ม ! จงดู ! นี่แหละขบวนถวายฎีกาแห่งความจงรักภักดี ที่เอ็งไม่มีทางจะทำให้เกิดขึ้นได้ ขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงทุกท่าน ในการร่วม "ทูลเกล้าถวาย มหาฎีกา เพื่อมหัศจรรย์แห่งแผ่นดิน" ในครั้งนี้ทุกท่านครับ เอาข้อมูลที่ มหาคนดี ? เขียนไว้้ มาฝากให้ลองซ้อม(เล่นๆ)ตอบผมดูก่อนนะครับ สิ่งที่ มหาคนดี ? เขียนไว้ข้างบนนี้  น่าจะเขียนด้วย สติปัญญา ฯลฯ ผมจึงใคร่อยากถามสักคำถาม  สองคำถามในเรื่อง ธรรมะ ซึ่ง มหาคนดี ? น่าจะพอมีคำตอบ ให้ผู้รู้ด้านธรรมะน้อยอย่างผมหายสงกะสัยได้(บ้าง) นะครับ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น นะครับ มหาคนดี ? ผมพยายามมีสติให้มากช่วงที่เขียน คำนี้ ไม่ใช่อะไร กลัวเขียนผิด(พลาด) นะครับ ฮิฮิ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 18:13:31 แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 18:09:41 จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 18:08:40 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.146.104.41

ความคิดเห็นที่ 24 .....ในฐานะที่ผมเองก็เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนา เคยบวชเรียน จนได้นักธรรมชั้นเอก , ป.ธ. ๑-๒ ผมก็เชื่อมั่นว่าผมมีความรู้ทาง พระพุทธศาสนา และเป็นนักปฏิบัติธรรม นักศึกษาธรรมคนหนึ่ง ไม่ด้อยไป กว่าคุณ LaL แน่ๆ และผมได้พิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้วว่า แนวทางของคนเสื้อแด...นั้น ผมเชื่อว่าไม่ได้เป็นไปโดยความเป็นอกุศลธรรม... ======================================= ผมจะลองตอบให้นะครับ มหาคนดี ? ดูจากการได้บวชเรียน ได้ศึกษาธรรมะหลายด้าน (ดู)น่าเลื่อมใส ?  เพราะความรู้ที่มี ? น่าจะทำให้วิเคราะห์ออกได้ชัดเจนว่า ใครเป็น คนดี  หรือ คนพา ล คนเล ว ฯลฯ หลังจากสึกออกมาเป็น "ฆราวาส" ผมไม่แน่ใจว่า มหาคนดี ? ได้ศึกษาอะไรเพิ่มเติมบ้าง ? ได้คบหาใครบ้าง ? คบคนดี หรือ คนเลว ? แต่ดูจากที่เขียนไว้หลายกระทู้ ผมพอตอบได้ชัดเจนครับ ฯลฯ ผมว่านี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต การศึกษาเมื่อ"อดีต"ต่อให้รู้มากแค่ไหน แต่ถ้าเอามาใช้ใน"ปัจจุบัน"เพื่อ เลือกคบคนดีไม่ได้ ? เอามาใช้เพื่อเป็นคนดีไม่ได้ ? ฯลฯ ก็จบกัน  มิใช่หรือ ?   อุตส่าห์มีความรู้เสียมากมายแต่ไม่สามารถทำให้ หลุดออกจาก "อคติ" ? ได้ ? เป็น คนดี ? ได้ ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย  ใช่หรือไม่ ? ผมว่าป่วยการที่คุณ...จะเอามเรื่องในอดีต มาท้าวความ เพราะกลับจะยิ่งทำให้คุณ... ดูน่าสงสารหนักขึ้นไปอีก ? ดูน่าเป็นห่วงว่าได้ความรู้...มาเพราะอะไร ? ฯลฯ เพราะประเภท มีความรู้ท่วมหัว แต่ยังไม่สามารถเอาตัวรอดจาก "ทุคติ" ? ได้เลย ? คล้ายๆ กับ "นช" ต่อให้มีความรู้ทางโลกแค่ไหน แต่ช่างอ่อนด้อยด้านธรรมะ  เสียเหลือเกิน จึงทำให้ยังหลง ยึดติดใน ตัณหา (ความทะยานอยาก) ฯลฯ ผมยังอดขำไม่หายที่สมัยก่อน "นช" มักพูดถึง "ตถตา" แต่สิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันนี้กลับตรงกันข้ามกับที่ท่องไว้  บ่นไว้ เพื่อหลอก ? เพื่อการตลาด ฯลน ให้ดูว่าเป็นคนดี แต่สุดท้าย ก็เป็นได้แค่เปลือก ฯลฯ ดูจากข้อความในกระทู้ที่คุณ...เขียนไว้ แค่กระทู้เดียวก็เกินพอที่จะทราบว่าคุณ...เป็นคนอย่างไร ? ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดมีชื่อ นายใจฯ อย่างชัดเจนในกระทู้...นั้น คุณ...ยังกล้า หรือ โ ง่ ? แสดงความคิดเห็นอย่างนั้นออกไป ผมหวังว่าคุณ...ครอบครัวคุณ.. บุพการีคุณ...จะเป็นคนไทย ? คนไทยที่ดี  ต้องแสดงออกในสถาบันด้วยความเคารพ  ยกย่อง เชิดชู ฯลฯ ใช่หรือไม่ ? ผมว่าคุณ..รู้เรื่องเรื่อง นายใจฯ ที่กระทำการจาบจ้วงสถาบันฯ ผมว่าคุณ...รู้ว่านายใจฯ ขึ้นเวทีกลุ่มไหน ขึ้นไปเพื่อทำอะไร ? แต่ผมว่า คุณ... ขาดสติ ? ขาดปัญญา ? มีมิจฉาทิฐิ ? ฯลฯ อาจเกิดจากคุณ..มีอคติ(รัก-ชอบ นช) มากเกินไป  ? จนนำมาใช้นำหน้าความถูกต้อง ดีงาม ? ฯลฯ น่าเสียดายความรู้ด้านธรรมะที่มีอยู่มากมาย ที่ไม่สามารถ ? ช่วยให้คุณ...เป็น "คนดี" ? ได้ และไม่เข้าใจว่านี่คือการกระทำที่เป็น "อกุศลกรรม" อย่างแท้จริง (พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความกตัญญู กตเวที คือ เครื่องหมายของคนดี) จากกระทู้...เรื่องสถาบันฯ ที่ผมยกมาอธิบายนี้ ผมว่ากระทู้อื่นๆที่คุณเขียนไว้   คงไม่จำเป็นอีกแล้วที่จะนำมาอธิบายว่าคุณเป็นคนอย่างไร ? เพราะผมรู้(หมด)ไส้(หมด)พุง ว่าคุณ...เป็นคน...อย่างไร ? จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 19:51:28 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.146.104.41

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนเรื่องธรรมะที่คุณยกมาอธิบายนั้น ก็ขอขอบคุณอย่างสูงในความกรุณา ฯลฯ แต่เชื่อไหม ? ข้อความที่คุณยกมาแสดง หาได้ไม่ยากหรอกครับ  ใช่หรือไม่ ? จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 19:53:56 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.149.16.43

ความคิดเห็นที่ 26 สำหรับเรื่องของเวรของกรรมนั้น ผมเชื่อมั่นตามหลักทางพระพุทธศาสนา ซึ่งคุณเองก็เชื่อเช่นเดียวกัน เท่าที่ผมอ่านดู แต่คุณจะบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับใครต่อใครนั้น เช่นเรื่องที่เกิดกับทักกี้ ว่า ต้องพรากลูกพรากเมียบ้าง อยู่ในประเทศไม่ได้บ้าง หรืออะไรต่างๆบ้าง จะเป็นเรื่องของกรรมฝ่ายอกุศลกำลังให้ผลนั้น ก็ต้องขอถามว่า "คุณไปมีอำนาจฤทธิ์อะไรไปรู้ว่า เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ มาจากกรรมส่วนไหน กรรมในชาติไหน มาจากกรรมอะไรบ้าง?" ----------------------------------------------------------- ผมว่า มหาคนดี ? ไม่ได้ตอบตรงประเด็นที่ผมถามไว้ว่า ถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีเสื้อแด...คนไหน ตอบได้  แม้แต่ มหาคนดี ? ว่าที่ "นช" ได้รับผลกรรม ในปัจจุบันนี้ เกิดจาก "กรรมดี" หรือ "กรรมเล ว" จะลองยกเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ หรือจาก พุทธประวัติ ฯลฯ มาประกอบก็ยินดีอย่างมากครับ ว่าที่ "นช" ได้รับกรรมในขณะนี้ คือ กรรมดี  ไม่ใช่ กรรมเล ว ? ผมรอคำตอบอยู่นะครับ มหาคนดี ? ======================================== อีกอย่าง ที่ "นช" แกนนำฯ และบางคน ได้กระทำไว้ที่พัทยา , ที่กรุงในช่วงสงกรานต์เลือด , ทำร้ายรถยนต์และคน ที่มหาดไท ฯลฯ อยากให้คนกลุ่มเสื้อแด...ทุกคน ที่เข้ามาในกระทู้นี้  ลองตอบให้ผมชื่นใจว่า คุณยินดี ชื่นชม ยกย่อง ฯลฯ นช , แกนนำฯ และบางคน ในการกระทำครั้งนี้ ผมรอคำตอบ พวกคุณทุกคน..อยู่นะครับ คนดี ? คนเคารพกฎหมาย ? พยายามค้นหาสติปัญญา  สัมมาทิฐิ ฯลฯ ที่พอหลงเหลืออยู่บ้างให้เจอ ก่อนตอบผมนะครับ  ด้วยความหวังดีนะจ๊ะ คนดี ? ของครอบครัว ฯลฯ คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ ฯลฯ จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 20:32:12 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.146.104.42

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องของการได้รับผลที่ไม่ดีนั้น จะไปบอกว่ามาจากกรรมเก่า อย่างเดียว ต้องบอกว่านั่นผิดหลักพระพุทธศาสนาครับ หลักทางพระพุทธศาสนา ไม่ได้ถือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุคคลนั้น มาจากกรรมจากชาติก่อนอย่างเดียว แต่มีมาจากกรรมชาตินี้บ้าง มาจากกรรมปัจจุบันบ้าง หรือมาจากความประพฤติที่ผิดพลาดบ้าง ซึ่งแม้จะไม่ใช่อกุศลกรรม แต่อาจเป็นการประพฤติที่ผิดกาล ผิดเวลา ก็ให้ผลในทางไม่ดีบ้าง ========================================= ผมไม่เคยบอกว่า กรรม...ที่ "นช" ได้รับ คือกรรม...ในชาติไหน   เรื่องแบบนี้ผมคงไม่สามารถบอกได้แน่นอน ผมถึงไม่เคยเขียนถึงไงครับ รบกวน ลองหามาแสดงให้คนที่มาอ่านดูว่า ผมบอกไว้อย่างนั้น อยากให้ข้อคิดจากการกระทำของ "นช" , แกนนำฯ และบางคน ที่มีพิธีตัดกรรม ให้คนแบบพวกคุณทุกคน ลองใช้สติปัญญา สัมมาทิฐิ ฯลฯ ที่มีพิจารณาและตอบตนเองให้ได้ว่า นชทำเพื่อตัดกรรมจาก "กรรมชั่ ว" หรือ "กรรมดี" ลองตอบตนเองให้ได้นะจีะ คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ ถ้าตอบว่าเป็น "กรรมดี" ให้หาเหตุผลเยอะๆ จะถาม มหาคนดี ? ก็ได้ นะครับ เอามาจากพระไตรปิฏก ฯลฯ ก็ได้ นะครับ ฯลฯ และรบกวนถามตนเอง และครอบครัวว่า คนดี คนปกติแบบไหนจะมาตัดกรรมจาก "กรรมดี"  ใช่ไหมครับ ? คนดี ? ของ นช คนดี ? ของ ครอบครัว แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 21:06:13 จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 20:57:15 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.146.104.42

ความคิดเห็นที่ 28 เขียนถึง คนชอบบอล และคนดี ? ของ นช , แกนนำฯ ฯลฯ นานๆ ถึงจะเห็นคุณโผล่...มา   ถือว่าเป็นบุญของผมยิ่งนัก อย่าลืมอดีต ที่คุณ...เคยคุยกับผมไว้ช่วงหลัง 7 ตุลาคม นะครับ คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ ? ถ้า องค์กรกลาง ( น่าจะเป็น ป.ป.ช.) ตัดสินแล้ว ไม่ตรงกับที่เคยคุยกับผมไว้ จะกราบขอโทษผม ? ก็ได้นะครับ  จะให้อภัย คนแบบคุณ...ผมรู้ดีว่าเป็นอย่างไร บัวประเภทไหน คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ (หวังว่าคุณคงภาคภูมิใจมากในสิ่งนี้ ? น่าจะภาคภูมิใจ เพราะคุณได้เลือกแล้ว ? และโปรดอย่าลืมนำสิ่งที่คุณภาคภูมิใจมาก ไปสอน...คุณ...ด้วย จะได้มีความสุข ? ความเจริญ ? ในชาตินี้และชาติหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 21:04:55 จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 21:04:14 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.146.104.41

ความคิดเห็นที่ 29 ช่วงหลังผมไปอ่านความคิดเห็นจาก กรุงเทพธุรกิจฯ น่าชื่นใจ  ที่มีคนเห็นว่า นช , แกนนำฯ และบางคน ทำอะไรไว้มากมาย ผมไม่ได้ชื่นใจว่ามีความเห็นตรงกับผม แต่ผมชื่นใจที่เหตุผลการไม่เห็นด้วย กับ นช , แกนนำและบางคน เป็นเหตุเป็นผล  จากความจริงที่มองเห็นได้ด้วยตา  ได้ยินด้วยหู อย่างชัดเจนในสิ่งที่ นช , แกนนำฯ และบางคนทำไว้ต่อแผ่นดินไทย ตั้งแต่อดีต ตราบจนถึงทุกวันนี้ และ นช , แกนนำฯ และบางคน คงทำต่อไป แม้ว่าคนจะเริ่มน้อยลงๆ เพราะ ยังมี คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ เช่น คนชอบบอล , บางคนที่ผมรู้จัก ในบางห้อง , พวกกลุ่มมือปืนรับจ้าง ฯลน  ให้การสนับสนุน  ยกย่อง  ชื่นชม ก็ขอให้เป็น คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ (เห็นแก่ส่วนตนมากกว่า ส่วนรวม ขอให้ทำแบบนี้บ่อยๆ อย่าได้ละเว้นนะครับ ) เพราะจะทำให้พวกคุณทุกท่านไปสู่...ที่ให้ผลกรรม ตามที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ นะครับ คนดี ? ของ นช , แกนนำฯ และบางคน อีกไม่นานเท่าไหร่หรอกแค่ไม่กี่พันวัน มิใช่หรือ ? แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 21:27:54 จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 21:25:35 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.149.16.44

ความคิดเห็นที่ 30 สิ่งที่เลวร้ายที่สุดทำหรับผู้ปฏิบัติ นั่นคือ ความหลง.. หากหลงแล้ว ไม่ว่าจะหลงไปในทางธรรม หรือ อธรรม นั่นคือ ความหลง ความไม่รู้ ู่แล้วความไม่รู้นั่นแหละ มัวแต่หลอกเราว่ารู้แล้ว รู้แล้ว.. ความเลวร้ายนั่นก้อคือเสียง รู้แล้ว รู้แล้ว ที่ดังอยู่ในหัว แต่มิได้รู้ด้วยปัญญา แต่เป็นสมมุติที่สร้างขึ้นมาเอง จากคุณ : มิได้บวชเรียน แค่เป็นชาว"พุทธ" (น้องพรผู้น่ารัก) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 22:12:48 A:58.9.57.99 X:

ความคิดเห็นที่ 31 เรียนคุณ LaL นะครับ ข้อความที่คุณถามผมมานั้น ต้องขอเรียนว่า ผมอาจจะตอบได้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด เพราะบางเรื่อง ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจในประเด็นคำถาม และบางข้อความผมรู้สึกว่าไม่ได้เป็นคำถามที่จะให้ผมตอบ แต่ผมดูแล้ว เหมือนกับว่าจะเป็นการกระแนะกระแหน กระทบกระเทียบ และไม่ได้ต้องการคำตอบ เสียมากกว่านะครับ แต่คงต้องขออนุญาตก่อนนะครับว่า  กระทู้ของผม คือกระทู้นี้ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะวิวาทะอะไรๆกับคุณ แต่ผมเรียนชี้แจงเกี่ยวกับความเข้าใจผิดในเรื่องหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในบางข้อ ที่คุณแสดงไว้ในกระทู้ก่อน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ผมพอจะตอบได้บ้าง  และอธิบายว่า ผมไม่อยากให้ใครก็ตาม เอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาเป็นเครื่องมือในการด่าว่า หรือบังคับคนอื่นๆ ว่า "แกต้องเชื่อฉัน เพราะนี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า" ทั้งๆที่ตัวผู้พูดเอง ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าแค่ไหน สำหรับประเด็นที่คุณถามเสริมมานั้น เท่าที่ผมอ่านดูแล้ว เป็นข้อความที่ถามผม ถึงความเห็นส่วนตัวของผม เกี่ยวกับทักกี้ หรือบรรดาแกนนำเสื้อแดง มากกว่าจะเน้นในเรื่องที่ผมเอามาชี้แจงกับคุณ ผมขอสันนิษฐานเอาว่าคุณคงจะยอมรับในความผิดพลาดของตัวคุณเองแล้ว ในเรื่องการอ้างหลักธรรมะที่ผิดพลาดต่างๆมา แล้วอาจจะได้แก้ไขความเห็นผิดของตนเองในบางเรื่อง ก็เลยไม่ได้พูดถึงหรือไม่ได้สอบถามเพิ่มเติม แต่ได้เปิดประเด็นใหม่โดยสอบถามเกี่ยวกับเรื่องโดยส่วนตัวของผมและความเห็นอื่นๆของผมที่มีต่อทักกี้หรือบรรดาแกนนำอะไรต่างๆ ซึ่งบางเรื่องผมก็อาจจะตอบได้ หรือตอบไม่ได้บ้าง ก็แล้วแต่ แต่ก็ขอให้ถือว่านั่นเป็นความเห็นส่วนตัวของผม ที่ผมได้พิจารณาแล้วว่าผมเข้าใจไม่ผิด อ้อ อีกนิดหนึ่งนะครับ ที่คุณว่า "แต่เชื่อไหม ? ข้อความที่คุณยกมาแสดง หาได้ไม่ยากหรอกครับ  ใช่หรือไม่ ? " ผมตอบว่า ใช่ครับ ข้อความที่ผมยกมาแสดงนั้น หาไม่ยากเลยครับ ขอเพียงรู้จักสืบค้น และค้นหาข้อมูลซักหน่อย แต่ถึงจะหายากหรือหาไม่ยากก็แล้วแต่ ผมก็ต้องยกต้องหามาแสดงครับผม เพื่อให้ข้อมูลถูกต้องที่สุด และผมคงจะอนุโมทนามาก ถ้าหากว่าข้อมูลที่หาไม่ยากเหล่านั้น คุณได้หาข้อมูลดีแล้ว มาแสดงในกระทู้นั้น ซึ่งจะทำให้ผมไม่ต้องมาตั้งกระทู้นี้น่ะครับ ^_^ อย่างไรก็ตาม ต้องขออภัยด้วยนะครับที่วันนี้คงต้องขอตัวก่อน ไม่สามารถที่จะตอบปัญหาให้คุณได้ทุกข้อ เพราะต้องรีบไปนอน เนื่องจากว่า พรุ่งนี้มีนัดกับคุณหมอในตอนเช้า (ผมเป็นโรคกรดไหลย้อนน่ะครับ) กว่าจะกลับบ้านก็คงเที่ยงๆ ถ้าไม่ยุ่งจนเกินไป ผมก็คงจะมาตอบปัญหาของคุณได้ โดยอาจจำเป็นต้องไปเปิดประเด็นใหม่นะครับ ถ้ายังไงก็ขอให้รอหน่อย หากต้องการคำตอบจากผมนะครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 22:13:54 A:61.90.77.188 X:

ความคิดเห็นที่ 32 เ จ้า L a L นี่ เที่ยวเอาธรรมะในศาสนาพุทธ "มายกตนข่มท่าน" มานานแล้ว นับร้อยกระทู้แล้วมั่ง . . นี่ดีน่ะ คนพุทธเป็นคนใจเย็น นี่ถ้าเป็นศาสนาอื่นมันเที่ยว "ส" ใส่เกือก มาดูถูกคนอื่นเค้า ป่านนี้ เงา. .ก็ไม่รู้จะมีให้เห็นหรือเปล่า. . คนมาใหม่ ๆ มักหลงไปตอบกระทู้ของเจ้า "พิษน้อยหยิ่งยโส" แมลงสาบนี่  แต่คนเก่า ๆ ที่นี่เค้ารู้ทันกันหมดแล้ว ต่อให้มันชูหางเทียมฟ้า ก็ไม่มีใครมาตอแยมัน ให้โรคจิตมันลำพองหรอก . . จากคุณ : น้ำองุ่น เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 23:46:13 A:222.123.136.66 X:

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ได้ถกกับคุณ : Learn and Live มานานแล้ว วันนี้เอาสักนิดดีกว่านะคะ ห่างราชดำเนินไปหลายวัน เหงาๆ ก่อนอื่นป้าขอถามคุณ : Learn and Live หน่อยเถอะค่ะ ว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมานี้คุณต้องการอะไรมีเจตนาเช่นไร ถ้า คุณมีเจตนาอยากจะถ่ายทอดความรู้เป็นวิทยาทาน ป้าก็ขออนุโมทนาสาธุ ด้วย แต่ถ้าคุณใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของสาวกของพระองค์มา ร้ายคนอื่น เจตนาส่อเสียด หรือเสียดสีคนอื่น ป้าว่า เป็นการกระทำที่ไม่ เหมาะไม่คอยด้วยประการทั้งปวง ทุกอย่างต้องอาศัยปัจจัย ความเหมาะสม กาละเทศะ ทั้งสถานที่และเวลา คุณ : Learn and Live เอาคำพระมาเป็น เครื่องมือในห้องการเมือง ดูยังไง มันก็ไม่เข้าท่า มันเหมือนคุณกำลังเอา ช่อฟ้าใบระกา และธรรมจักรไปประดับในบ่อนไก่ชน จะจิกใครคุณก็ยก ช่อฟ้ามากระทุ้งเขา จะโดนรุมอัดบ้างคุณก็เอาธรรมจักรมาป้องเอาไว้ อย่างนี้ เขาเรียกตามหลักทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ เขาจะวิเคราะห์ว่า คุณ : Learn and Live ไม่มีวุฒิภาวะ เลือกใช้เครื่องมือไม่เหมาะสม ยังต้องพัฒนาจิตให้สมวัยอีกเยอะ และข้อสำคัญอย่างทำบ่อยเกินไปนะคะ ป้าเป็นห่วง มันจะรักษาไม่ได้ รักษาไม่หาย แล้วคุณ : Learn and Live จะลำบากเมื่อปลายมือจ้า จากคุณ : Paviewเองจ๊ะ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 00:31:43 A:118.173.208.166 X:

ความคิดเห็นที่ 34 ต้องขอโทษทุกคนเป็นอย่างสูง ที่วันนี้ไม่ว่างจริงๆ ทำให้ไม่สามารถตอบ(ให้หายคับข้องใจ)ได้ พรุ่งนี้ถ้าพอว่างมากๆ (แต่น่าจะว่างไม่มากเหมือนวันนี้อีก) จะตอบให้นะครับ จากคุณ : Learn and Live เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 17:23:52 A:10.212.40.21 X:10.212.6.11, 203.146.104.42

ความคิดเห็นที่ 35 ขอแตกประเด็นนะครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 52 15:43:08 A:58.9.39.208 X: